Less is now.
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
4 ตุลาคม 2557

To Rome with love 27.09.14

  เป็นทริปที่เพิ่งจบลง แต่อยากเอามาลงบล็อกซะก่อนที่จะหมดไฟ เป็นทริปสามคืน นั่งรถไฟ รถเมล์ รถใต้ดินครบรส โรมครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของพวกเราค่ะ ตามชมตามอ่านได้ ณ บัดนี้


บันทึกการเดินทางของเราสองคน All roads lead to Rome ณ EternalCity หลังจากที่หน้ามันหัวยุ่งเหนื่อยปากเหนื่อยกายอยู่กับแขกผู้มีอุปการะคุณจากที่ทำงานของอิชั้นแล้ว ถึงเวลาพักเบรค สักสามสี่วันหนีออกจากเขตเดิมๆ ไปหาของกินอร่อยๆอากาศอุ่นๆ สูดควันพิษในเมืองซะบ้างฮ่าๆๆ ตอนแรกมีแพลนที่จะไปโน่นนี่นั่นเยอะมาก อยากไปซะทุกที่เลย หวยมาออกที่กรุงโรมอีกรอบ นี่คือกรุงโรมในรอบที่สองของเราสองคนค่ะไม่ได้เน้นชมเมืองหรือสถานที่ๆทุกคนต้องไป แค่เดินผ่านๆโฉบๆพอให้ระลึกถึงวันเก่าๆที่เคยมาก็เท่านั้นแต่เน้นไปกินพาสต้าคาร์โบนาร่าต้นตำรับ,พาสต้าอะมาตริชาน่า pasta alla amatriciana ดอกอาร์ติโช้คทอดกรอบ carciofi alla giudia ,เนื้อแกะอบ Abacchio Romana บลาๆๆๆ


เราตัดสินใจจองตั๋วรถไฟความเร็มสูง FrecciaRossa ของอิตาลีหนึ่งอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันเดินทางทำให้ที่นั่งชั้น standard หมดมีแต่ชั้น business ซึ่งก็จ่ายเพิ่มไปคนละประมาณสิบยูโรราคาที่นั่งของรถไฟสายนี้ขึ้นๆลงๆเพราะเค้ามีโปรโมชั่นตลอดแล้วแต่ว่าตอนจองเจอราคาไหนแต่ส่วนใหญ่แล้วจองก่อนเนิ่นๆราคาก็มักถูกลงเราสองคนจองได้ในราคาไปกลับ ตกหัวละ 115 euro จากมิลานถึงกรุงโรมสามชั่วโมง กับระยะทางหกร้อยกิโลเมตรเร็วทันใจ วิ่งตรงไม่แวะที่ไหนเลยบางขบวนอาจแวะฟลอเร้นซ์หรือโบโลนญ่า


เราสองคนเริ่มต้นการเดินทางเช้าตรู่วันที่ 27 กันยาซึ่งเป็นวันเกิดอิชั้นเอง ตื่นตีห้าครึ่งล้างหน้าเปลี่ยนชุดอย่างเร็วๆเพื่อขับรถไปจอดรอรถไฟท้องถิ่นออกเวลา 06.20 ที่จะพาเราไปถึงสถานีมิลานระยะทางไม่ถึงสองร้อยกิโลเมตรนั่งรถไฟไปสองชั่วโมงกว่าๆค่าตั๋วขาเดียว 11 euro ถึงสถานีมิลานรถไฟสายท้องถิ่นปีนี้เค้าพัฒนาขึ้นเยอะ ด้านในสะอาดขึ้นมาหน่อยนึงแต่ข้างนอกก็ยังเต็มไปด้วยลายกราฟฟิกสีเสปร์ยพ่นรูปทรงแปลกๆนั่นแหละ





พอถึงสถานีมิลานเราสองคนรีบถอดเสื้อแขนยาวยัดเข้าเป้ทันทีเพราะอากาศแถวดอยบ้านเราเริ่มหนาวๆแล้วแต่ที่มิลาน ณ ตอนนั้นคงราวๆ 25 องศาสบายตัวดี ไม่ร้อนและไม่หนาวและถ้าครั้งใดมีเหตุให้ต้องใช้บริการหัวลำโพง ณ เมืองมิลานเราสองคนมักแวะดื่มกาแฟแกล้มครัวซองค์ใส้แฮมที่ร้าน Bistrot Centrale Milano อยู่ใกล้ๆกับร้านเบอเกอร์คิง เค้านวดแป้งและอบกันที่ร้านเลยทีเดียวร้านก็ตกแต่งออกแนวชิคๆ มีไวไฟฟรี มีรหัสให้ไปเปิดประตูเข้าห้องน้ำฟรีด้วยแต่ราคาอาจสูงนิดนึงครัวซองค์ใส้แฮมขนาดกลางๆตกอันละสี่ยูโรแน่ะ





หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับมื้อเช้า ณ หัวลำโพงมิลานกันแล้ว ก็นั่งรอเวลารถไฟความเร็วสูงไปโรมรถไฟออกเวลา 10.00 ออกตรงเวลาเป๊ะพอสักสิบสิบห้าทีต่อมามีการเสริฟเวลคัมดริ้งสำหรับชั้นธุรกิน มีให้เลือกเอาน้ำส้มน้ำสับปะรดไวน์แดงไวน์ขาว แหงละ ป้าปุ๊กกี้เป็นนางเอกยุคใหม่จึงเลือกน้ำสับปะรด ฮ่ะๆๆ มีของว่างพวกคุ๊กกี้แซนวิชชิ้นเล็กๆให้กินเล่นๆไปด้วย มีหนังสือพิมพ์ให้หยิบอ่านมีพนักงานเข็นรถเข็นคันเล็กๆพร้อมเครื่องชงกาแฟอิลลี่ แหม ยี่ห้อโปรดเสียด้วยแต่ตอนเช้ารับคาปูชิโน่ไปแล้วเลยไม่รับกาแฟ เอาแค่น้ำสับปะรดก็พอ ที่พูดมานั้นมีบริการสำหรับชั้นธุรกินเท่านั้น ชั้นธรรมดา ก็หาซื้อกินเองได้ ณ โบกี้ห้องอาหารที่อยู่ส่วนกลางๆของขบวณรถไฟค่ะ





นั่งชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ มีจอทีวีบอกให้รู้เป็นระยะว่าเราอยู่ถึงไหน สลับกับโฆษณาของการรถไฟ บางทีก็บอกว่าวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เฉลี่ยๆแล้วรถไฟวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอใกล้ๆจะถึงฟลอเร้นซ์รถไฟจะวิ่งมุดอุโมงค์เยอะมากๆเพราะเมืองนี้มีหุบเขาล้อมพอผ่านฟลอเร้นซ์ก็มุดอุโมงค์ออกอีกรอบ พอหมดช่วงอุโมงค์ไปแล้วก็หมายถึงว่า ใกล้แล้วใกล้ถึงกรุงโรมเข้าไปทุกที





ในที่สุดบ่ายโมงตรงเราก็ถึงเมืองเก่าที่ยิ่งใหญ่ในอดีตนี้เสียทีเดินหิ้วกระเป๋าตุเลงๆเอาเป้หนังใบเล็กมาคล้องคอไว้ด้านหน้าเพราะได้ข่าวว่าโจรกรุงโรมนั้นมือเบายิ่งนัก ทำงานกันเป็นทีม เลยต้องเซฟตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน เดินออกมาด้านหน้ามีลานจอดรถเมล์เข้ากรุงเราซื้อตั๋วราคา 1.50 ยูโรใช้ได้ภายใน 100 นาทีหลังจาก valid ตั๋วแล้วใช้ได้หมดไม่ว่ารถไฟ รถราง รถเมล์หรือรถไฟใต้ดิน(ไม่เหมือนบ้านเราใช่มั้ยรถเมล์เจ้านึง รถไฟฟ้าอีกเจ้านึงรถไฟใต้ดินก็ต้องซื้อตั๋วแยกกันซื้อตั๋วจากซุ้มร้านขายของจิปาถะในสถานีนั่นแหละหรือในภาษาอิตาเลี่ยนจะเขียนไว้ว่า Tabacchi ขายบุหรี่ขายหวยขูดขายล็อตเตอรี่ขายลูกอม หนังสือพิมพ์ บลาๆๆ แล้วแต่ว่าจะยัดอะไรเข้าไปได้ในซุ้มเล็กๆเหล่านั้นหรือถ้าเป็นร้านในเมืองแทบจะทุกมุมเมืองมีร้าน tabacchi และที่ขายดีที่สุดคงเป็นหวยขูดราคาเริ่มต้นที่ใบละหนึ่งยูโร ชาวบ้านชาวช่องซื้อมาขูดเล่นกันพอให้ลุ้นรางวัลกันพอหอมปากหอมคอส่วนใหญ่คนแก่ๆวันเกษียณแหละชอบนักหวยขูดแบบนี้


วิธีการใช้ตั๋วรถสาธารณะของอิตาลีก็คือเอาตั๋วไป valid วันเวลาตอนขึ้นรถบนรถ หลังคนขับมักจะมีเครื่องแสตมป์เหล่านั้นเอาด้านลูกศรนั่นจิ้มลงไปอย่าลืมนะคะ ต้อง valid ตั๋วทุกครั้งที่ซื้อใบใหม่มิฉะนั้นจะโดนปรับเค้าจะมีเจ้าหน้าที่สุ่มขึ้นมาตรวจบนรถเราสองคนโดนตรวจแล้ว เช้าวันจันทร์นั่งรถเมล์ออกไปสองสามป้ายมีเจ้าหน้าที่ห้าคนขึ้นรถมาพร้อมกัน แล้วตรวจตั๋วโดยสารได้ข่าวว่าถ้าขึ้นรถโดยไม่มีตั๋วหรือไม่แสตมป์วันเวลาที่ใช้จะโดนปรับถึง 50 euro เลยทีเดียว ดีที่เราซื้อตั๋วสามวันไว้แล้วและ valid ทุกอย่างถูกต้อง ตั๋วสำหรับสามวัน ราคา 16.50 euro หรือใครอยู่ยาวกว่านั้นซื้อ Roma Pass จำไม่ได้แน่นอนว่าราคาเท่าไหร่น่าจะราวๆ 30 euro


ปล valid อิชั้นนึกคำภาษาไทยไม่ออกเค้าใช้คำไหนกันเนี่ย(กระแดะนึกไม่ออกณ ตอนนี้ ฮ่าๆๆ)




เรานั่งรถเมล์เบอร์ 64 เข้ากรุงโรมผ่านถนนสายหลักๆของเมืองในที่สุดก็ถึงป้ายที่ต้องลง B&B ที่จองไว้ใกล้กับวาติกันมากๆ ห้องเล็กๆ อาหารเช้านิดหน่อย ห้องไม่เก็บเสียงเลยไม่อยากแนะนำให้ไปพักแต่ภายในห้องสะอาดสะอ้านดีค่ะอาหารเช้าแบบบริการตัวเองต้องต้มกาแฟเอง หยิบขนมนมเนยเอามากินในห้อง เพราะในครัวมันแคบแต่ราคาต่อคืนอยู่ที่ 80 euro ใกล้วาติกันเลยหยวนๆกันไป




เข้าห้องพักผ่อนพอให้หายเหนื่อยถึงเวลาออกหากินค่ะ นั่งรถเมล์เดินไปตาม via vai คือเป็นคำเรียกถนนที่มีคนพลุกพล่านเจอร้านอาหารแนวคาเฟ่มีโต๊ะเก้าอี้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชิลล์ๆ มีเซ็ตเมนูอาหารต่อคนราวๆ 12 euro มีอาหารจานแรกจานเล็กๆให้เลือกส่วนใหญ่เป็น bruchetta หรือสลัดผักและจานหลักอย่างพาสต้าหรือจานเนื้อพร้อมเครื่องดื่มให้เลือกว่าจะเอาน้ำเปล่า หรือน้ำอัดลมหรือเบียร์แก้วเล็กคือราคาประมาณนี้กินไปชมวิวคลื่นมนุษย์ไปด้วย บร๊ะ รสชาติอาหารก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรก็กินได้นะคะเพราะร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยวเค้าจะทำอาหารไม่รสจัด ไม่ออริจินัลแบบคนท้องถิ่นกินเอาให้รสกลางๆ กินกันได้ถ้วนหน้า ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารอิตาเลี่ยนกินร้านแบบนี้ก่อนก็ได้ค่ะวันหลังๆค่อยไปกินร้านแบบ local แล้วค่อยมาเปรียบเทียบรสชาติกันทีหลังว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน ส่วนอิชั้นที่อยู่อิตาลีมาแปดปีและกินอาหารอิตาเลี่ยนเป็นหลักอาหารไทยเป็นรอง (เพราะขี้เกียจ หาเครื่องปรุงวัตถุดิบยากและบางวันไม่มีเวลาทำขอบอกว่ากินได้หมดทุกร้านค่ะ ลิ้นจระเข้มากมาย


คุยเรื่องน้ำดื่มที่อิตาลีกันหน่อย น้ำเปล่าอัดก๊าซ คล้ายๆโซดาบ้านเรา ที่นี่เรียก acqua frizzante ส่วนน้ำเปล่าธรรมดา acqua naturale คนไทยไม่คุ้นกับน้ำอัดก๊าซอยากได้น้ำเปล่าก็บอกพนักงานเสริฟไปได้เลยว่า water no gas จบข่าว เข้าใจกันทุกคน


ในรูปพิซซ่าของพี่เมาและพาสต้า amatriciana (อะมาตริชาน่าของป้าปุ๊กกี้เองค่ะ




หลังจากอิ่มท้องกันแล้วถึงเวลาย้อนรอยกรุงโรมได้แผนที่มาแผ่นนึงก็เดินไปตามลายแทงตามฝูงชนไปเรื่อยๆแหละค่ะผ่าน piazza Novana น้ำพุเทรวี่ fontana di trevi ที่ปิดซ่อมอดโยนเหรียญลงน้ำพุเลยจะปิดซ่อมไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าค่ะ แต่ปีนี้รู้สึกชอบ Pantheon จังชอบเสากลมๆด้านหน้าเข้าไปชมด้านในฟรีนะคะไม่เสียตังค์ ถ้าเป็นประเทศอื่นคงได้เสียเงินเข้าชมกันแล้วเก่าแก่เสียอย่างนี้ แต่อย่างว่ากรุงโรมเค้ามีของเก่าของโบราณเยอะให้ชมฟรีสักที่สองที่คงไม่เป็นไร


ปล ถ้าคิดค่าเข้าชมคนละหนึ่งยูโรวันนึงคงได้หลักพันยูโรเอามาเป็นค่าบำรุงรักษาจะดีกว่ามั้ยคะ






สุดท้ายแล้วนั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่ Colosseo ถ่ายรูปยามเย็นโพล้เพล้นักท่องเที่ยวก็ยังเต็มอยู่เค้าปิดถนนแถบนั้นด้วยนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปเซลฟี่กันสบายใจ อ้อ ธุรกิจที่ขายดิบขายดีตอนนี้ในกรุงโรมคือก้านเหล็กที่เอามือถือมาติดแล้วเอาไว้ถ่ายรูปเซลฟี่อันละกี่ยูโรไม่รู้ จะมีพ่อค้าแขกชาวอินเดียหรือบังคลาเทศหรือคนโมร็อคโคเดินเร่ขายกันเกลื่อนเมืองพ่อค้าพ่อขายเหล่านี้เค้าก็ไม่ได้ตื้อขายอะไรมากมายนะคะถ้าไม่สนใจก็แค่ส่ายหน้าหรือพูดว่า No, Grazie เค้าก็หันไปสนใจนักท่องเที่ยวคนอื่นแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไร


ปล คำว่า grazie ในภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่า ขอบคุณ ให้ออกเสียงว่า กรา-ซิ-เอะ ออกเสียง เอะ นิดนึงนะคะ จะทำให้เพราะขึ้นมากมาย 






จาก Colosseo เดินไปขึ้นรถเมล์กลับที่พักต้องผ่าน Monumentoa Vottorio Emamuele II ชอบรูปปั้นด้านหน้าและด้านบนผ่านจุดนี้คิดถึงอนุเสาวรีย์ชัยบ้านเราขึ้นมาทันที เอ๊ะ ไม่เกี่ยวกันนี่หว่า



ถึงเวลามื้อเย็นเจ้าของที่พักแนะนำให้ไปกินที่ร้านใกล้ๆเลือกเมนู pasta al cacio e pepe คือเป็นพาสต้าที่ใส่ชีสแข็งขูดที่ทำมาจากนมแกะและใส่พริกไทยมาเต็มกระบุงคือชื่อมันก็บอกในตัวแล้วว่ามันมีพริกไทยแต่อยากลองกินอ่ะนะทนกินไปได้แค่ครึ่งนึงเท่านั้นเหลือบานเบอะ นี่ขนาดชินกับแกงไตปลาบ้านเราแล้วนะ มาเจอพริกไทยในอาหารจานโรมันเข้าไปถอดใจ ปากพอง กลัวแผลร้อนในจะขึ้นในปากแทน


พูดถึงชีส pecorino romano คือชีสแข็งที่ทำมาจากนมแกะเมนูส่วนใหญ่ของชาวโรมและละแวกนี้ จึงใช้ชีสแบบนี้เป็นหลักในการปรุงอาหาร รสจะเข้มข้นถึงใจแรงกว่าชีสพาร์เมซานที่คนไทยเราคุ้นเคยกันมากกว่า




จบวันแรก กลับที่พัก หลับสนิทมากมาย รู้สึกตัวตอนเช้าเพราะได้ยินเสียงแขกคนอื่นๆออกจากห้องพัก ปิดเปิดประตูกันโครมคราม นะน่ะก็ห้องพักมันผนังบาง แต่ทนได้ค่ะทนได้ ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก แขกคนอื่นก็ออกไปตั้งแต่เช้า กลับเข้าห้องมาดึกๆก็นอนเก็บแรงไว้เที่ยววันอื่นต่อ


พรุ่งนี้ค่อยมาต่อบล็อกที่สองของกรุงโรมค่ะ 




Create Date : 04 ตุลาคม 2557
Last Update : 9 มีนาคม 2558 21:19:07 น. 1 comments
Counter : 1463 Pageviews.  

 
เล่าเก่งจังค่ะ โรมยิ่งใหญ่อลังการสมกับที่ว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่โรมจริงๆ


โดย: ชื่นหฤทัย วันที่: 6 ตุลาคม 2557 เวลา:17:50:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

settembre
Location :
Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




A minimalist mindset>>>minimalist lifestyle.
I try to pay attention to everything I buy and keep.
Now I live by the concept of BALANCE.




เริ่มนับจำนวนคนอ่าน วันที่ 22/04/15




New Comments
[Add settembre's blog to your web]