ตกหลุมรัก พักเมือง Florence 1.2
สวัสดีค่ะมาต่อกันกับฟลอเร้นซ์ ตอนที่ 1,2 กันค่ะ หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเที่ยงแสนอร่อยไปจนพุงกาง เราสองคนก็เดินตุปัดตุเป๋ออกจากร้านอาหารมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วรถเมล์ราคาคนละ 1,20 ยูโร โดยเข้าไปในซื้อในสถานีที่ร้าน Tabacchi ขายบุหรี่,นิตยสารสัพเพเหระและขายล๊อตเตอรี่ (เรื่องล๊อตเตอรี่นี่เดี๋ยวเล่าให้ฟังในบล็อกอื่นเพราะเรื่องนี้ก็โม้เม้าท์ชาวอิตาเลี่ยนได้สนุกเช่นกัน) ออกมาด้านหน้าสถานีรถไฟจะเป็นที่จอดรถเมล์หลากหลายสาย เราจะขึ้นรถเมล์ไปชมวิวเมืองฟลอเร้นซ์กันค่ะกับรถเมล์สาย 12 ให้มองหาคิวแท๊กซี่เค้าจอดรอผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า ป้ายรถจะอยู่บริเวณนี้ยืนหันหลังอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟให้มองเหลือบซ้ายมือเข้าไว้ หาป้ายรถเมล์เบอร์ 12 ไปยืนรอตรงนั้น พอรถมาให้ขึ้นประตูด้านหน้าใกล้คนขับ เอาตั๋วรถเมล์ไปแสตมป์ตั๋วหนึ่งใบใช้ได้ 90 นาทีนั่นหมายความ คุณนั่งรถไปสุดสายที่ Piazzale Michelangelo ที่มีรูปปั้นคุณเดวิดปลอมตั้งอยู่เดินลงไปถ่ายรูปวิวดูโอโม่ วิวฟลอเร้นซ์ทั้งเมืองสวยๆก็จะเห็นได้จากที่นี่ ยิ่งวันที่เราไปนั้น หมอกลงนิดๆสวยงามโรแมนติกจริงๆ ชมวิวไปสักพักได้เวลากลับก็เดินมารถรถเมล์สาย 12 หรือ 13 ก็ได้นั่งกลับลงมาในเมืองต่อ ลงป้ายก่อนถึงสถานีรถไฟก็ได้ค่ะฟลอเร้นซ์ไม่ใช่เมืองใหญ่นัก ลงระหว่างทาง เดินชมวิวซอกแซ่กไปในถนนบางซอยพอให้ตื่นตาตื่นใจ เราสองคนใช้ตั๋วราคา 1,20 นี้ทั้งขาไปและกลับ คุ้มค่าจริงๆค่ะ โดยขากลับก็ขึ้นรถไปเฉยๆไม่ต้องแสตมป์ตั๋วแล้ว แต่เก็บไว้ใกล้มือเผื่อมีการตรวจ ปล อย่าแอบโกงโดยการไม่แสตมป์ตั๋วหรือขึ้นรถโดยไม่ซื้อตั๋วเพราะจะมีการสุ่มตรวจ เราสองคนเจอมาแล้ว ขากลับมีนายตรวจขึ้นมาตรวจตั๋วค่ะ แต่เรามีก็สบายๆไป ใครโกงตั๋วค่าปรับอยู่ที่ราวๆ 50 ยูโรนะคะ
หลังจากชมวิว หลานเอมี่ถ่ายเซลฟี่ไปพันรูปแล้ว เรานั่งรถเบอร์ 13 มาลงระหว่างทาง เดินชมเมืองไปเรื่อยๆเดินผ่านไปหน้า Palazzo Pitti แวะดื่มกาแฟเข้าห้องน้ำที่บาร์กาแฟตรงกันข้าม ในร้านมีพนักงานผู้ชายล้วนๆ แถมรูปร่างหน้าตาผ่านหมด ผ่านเข้ารอบนะคะ 555 รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นเดินผ่านสะพานเก่า อันเดียวที่รอดจากการถล่มในสงครามโลกครั้งที่สอง Ponte Vecchio ที่มีร้านเจเวอรี่เพชรพลอย ทองคำ โอย อยากได้เพชรเม็ดงามๆกับเค้ามั่งบอกใครดี อ่ะ ใครก็ได้ กระซิบบอกสามีอิชั้นหน่อยค่ะ เราสองคนก็แวะเดินผ่านไปยังสถานที่สำคัญๆของฟลอเร้นซ์ท่ามกลางหมอกบางๆ ทำเอาหลานเอมี่ถึงกับเพ้อฝันหลงเสน่ห์เมืองฟลอเร้นซ์นี่เข้าอย่างจัง แต่อยากเพิ่งเพ้อไปมากกว่านี้ต้องเดินกลับไปโรงแรมอีก กลับไปกินขนมขาไก่ที่นางหอบมาฝากอิชั้นกันเถอะ มื้อเย็นนั้นเราสองคนขอข้ามค่ะยังอิ่มเนื้อเสต็กกันอยู่ ความจริงมีมาม่ารสต้มยำน้ำข้นที่นางเอามาจากไทยด้วยนะคะ แต่ก็ไม่ได้เอาออกมากิน เข้านอนไวตื่นไว หกโมงเช้าหลานเอมี่ตื่นค่ะลงไปจัดการอาหารเช้าที่เริ่มต้นตอนเจ็ดโมงเช้า มีอาหารอย่างนึงที่เซอร์ไพรส์เราสองคนสุดๆ คือมีข้าวหุงปนผักนิดหน่อยให้แขกกินด้วย อาหารอย่างอื่นก็มีครบครัน ไข่คน ไส้กรอก มูสลี่ ผักดอง ครัวซองค์ โยเกิร์ต มีครบ หลานอิชั้นจัดการอาหารเช้าซะเรียบ นางเป็นสาวสายกินอยู่แล้ว เอ้า เต็มที่เลยค่ะ หลังจากนั้นเราสองคนแต่งตัวมิดชิดรัดกุมเดินออกไปสถานีรถไฟอีกเช่นเคย ประมาณห้านาทีเอง ซื้อตั๋วไปหอเอนเมืองปิซ่ากับตู้อัตโนมัติ เที่ยวเดียวคนละ 8,40 ยูโร แสตมป์ตั๋วก่อนขึ้นรถไฟอีกเช่นเคย ตอนที่อิชั้นกำลังหาตู้แสตมป์ตั๋วอยู่นั้นรถไฟก็ใกล้จะออก มีนักท่องเที่ยวพ่อแม่ลูกน่าจะชาวเกาหลีหรือจีนหรือจะเป็นญี่ปุ่น? ยืนมุงตู้แสตมป์ตั๋วอยู่ ทำท่างงๆ ยืนทำหน้ามึนจะแสตมป์ก็ไม่ ยืนล้อมตู้ทำไมคะ แล้วอิชั้นก็รีบ รถไฟจะออกแล้วนะเนี่ย เลยทำท่าขอเข้าไปแสตมป์ตั๋วหน่อยเถอะพร้อมกับพูดพลีสๆ แล้วอิชั้นก็ยื่นตั๋วเข้าไปปั๊มพรืดๆ เสร็จเรื่องไป คือถ้าไม่รีบจะช่วยบอกวิธีการแสตมป์ตั๋วนะ แต่ตอนนั้นไม่มีเวลาแล้ว วิ่งหูลีบตูดเด้งมาที่รถไฟ ปรากฏว่า รถไฟเลทไปห้านาที แล้วที่วิ่งเมื่อตะกี้ เพื่ออะไรกัน
หน้าตาของตั๋วรถไฟที่ซื้อจากตู้ขายอัตโนมัติ ตั๋วมีหลายแบบนะคะ อย่าตกใจ ถ้าซื้อมาแล้วหน้าตามิใช่อย่างในรูป
นั่งรถไฟชมวิวมาเรื่อยๆหนึ่งชั่วโมงถึงสถานี Pisa Centrale เดินออกมาด้านหน้าสถานีรถไฟถ่ายรูปกับแอ๊บบอกอุณหภูมิอากาศตอนเช้า 09.40 อยู่ที่ 4 องศา เดินไปตามถนน Corso Italia ซึ่งมีร้านค้ามากมายก่ายกอง เราสองคนเดินผ่านถนนเส้นนี้อย่างโคตรช้า เพลินเพลินไปกับเหล่าบรรดาวินโดว์ช้อปปิ้ง และยังได้เดินผ่านสะพานหินเก่าๆวิวแม่น้ำสวยๆ อากาศก็ดี๊ดีอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ราวๆ 10 องศาแวะดื่มกาแฟร้อน caffe' macchiato คือกาแฟเอสเพรสโซ่ใส่ฟองนมถ้วยเล็กๆซดกันคนละถ้วย ให้คาเฟอีนดีดคุณให้คึกคะนอง ดั่ง กูปลีคลั่ง (กูปลีคลั่งเคยเห็นคำนี้ตอนเพื่อนๆเล่นเกมส์ทายวันเดือนที่เกิดในเฟสบุ๊คแต่จนถึงบัดนี้ หน้าตาสัตว์กูปลีเป็นเช่นไรยังไม่เคยเห็นเลย) ในรูป อิชั้นเขียนวันที่ผิดไปค่ะ ความจริงต้องเป็นวันที่ 28 ธันวาคม
ส่วนรูปนี้อิชั้นเองค่ะ อยากให้เห็นว่าแต่งตัวแบบนี้กับอุณหภูมิสิบองศาตอนเกือบๆเที่ยง ใส่บู๊ทยาว เสื้อยืดสีขาวแขนสั้นด้านใน แล้วใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวผ้านิ่มสีขาวทับ ตามด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวไม่ใช่ขนเป็ด หมวกไหมพรมถักเองเป็นวูลร้อยเปอร์เซ็นต์ ถุงมือบางๆสีดำ ถุงน่องสีเข้มๆมีเนื้อผ้าวูลปนมาด้วยนิดหน่อย สำหรับคนขี้ร้อนอย่างอิชั้นจะเริ่มร้อน แต่หลานสาวอิชั้นที่ขี้หนาว ชีแต่งประมาณนี้ก็โอเค เอาอยู่ ชีใส่เลคกิ้งไปชั้นนึงก่อนทับด้วยยีนส์
พอเข้าเขต Piazza dei Miracoli เริ่มเห็นหอเอนเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล โอ้ ความสวยงามของสถานที่บวกวันอากาศดีฟ้าใสกิ๊งแบบนั้น เราสองคนแฮบปี้ เซลฟี่ไปอีกพันรูปเช่นเคย
ถ่ายรูปจนหนำใจให้พ่อหนุ่มชาวรัสเซียถ่ายรูปคู่ให้สักหน่อย ฮีทักเราว่า หนีห่าว อืม หน้าตาผิวพรรณเราสองคนกระเดียดไปเผ่าพันธ์นั้นจริงๆรึ? ถึงเวลาร่ำลาหอเอนเดินกลับออกมา แวะซื้อกระเป๋า หลานเอมี่ชีซื้อไปฝากแม่ ถามคนแถวนั้นว่ามีร้านอาหารอร่อยๆแถวนี้ไหม ฮีแนะนำร้านใกล้ๆนี่แหละ ปรากฏว่า อาหารอร่อยจริงๆร้านก็ตกแต่งสวย แต่ที่ได้ใจกว่าคือ น่าจะเป็นเจ้าของร้านพูดจาดีมาก แนะนำอาหารและไวน์ที่คู่กัน กริยามารยาทแบบนี้กับนักท่องเที่ยวให้ไป 100 คะแนนเต็มค่ะชื่อร้าน Osteria Enoteca il Capodaglio พิกัดคือ Via del Carmine 32/34 tel. 050 20038 เราสองคนเลือกขนมปัง bruschetta (ขนมปังหั่นเป็นชิ้นโป๊ะด้วยมะเขือเทศสดหั่นคลุกน้ำมันมะกอกเกลือและใบกะเพราอิตาเลี่ยน) เป็นสต๊าท์เตอร์ก่อนแล้วตามด้วย พาสต้าเส้นสดแบนๆกับซอสหมูป่า อร่อยโฮก ซดไวน์แดงท้องถิ่นไปอีกแก้ว ฟินาเล่ จบเห่ เข้ากั๊นเข้ากัน สมกับ quote ประจำบล็อกของอิชั้นคือ Eat well...travel often จริงๆ
ยังไม่จบค่ะ ทริปเรายังมีเรื่องเล่าอีกเยอะ เดี๋ยวมาต่อกับบล็อกที่สาม ของเมืองฟลอเร้นซ์กันอีก ตอนนี้อิชั้นเมื่อยมือแล้วจริงๆ ขอลาไปพักแปร๊บ แล้วจะกลับมาร่ายรัวบนแป้นพิมพ์อีกค่ะ Bye for now...
Create Date : 11 มกราคม 2560 |
Last Update : 11 มกราคม 2560 21:21:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1095 Pageviews. |
|
|
|