Less is now.
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
8 มกราคม 2560

ตกหลุมรัก พักเมือง Florence 1.1











มาต่อกับวันที่สองของทริป "Italy Amy พาเพลิน" กันค่ะ เช้าวันที่ 27 ธันวาคม 2016 พวกเราสองคนตื่นไม่สายมาก แปดโมงเช้าเราก็ลงไปรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว หลานเอมี่ของอิชั้นนางแทบจะกวาดอาหารเช้าทั้งห้องลงท้อง นางเป็นสาวทึนทึกสายกินค่ะ เรื่องกินไม่มีแพ้ใคร แต่ที่พีคสุดของเช้านั้น  คือนางตักสลัดผักที่มีชีสมอซซาเรลล่าลูกกลมๆสีขาวเม็ดเท่าไข่นกกะทามาสองลูก นางบอกอิชั้นว่า ดีจังมีไข่นกกะทาด้วย เนี่ยไม่กล้าตักมาเยอะกลัวโคเรสเตอรอล นางปล่อยมุกใส่อิชั้นใช่ไหมคะ 555


หลังจากนั้นเราสองคนเข้าไปจัดแจงยกกระเป๋าลงมาเช็คเอ้าท์ จุดนี้เองที่ทำให้อิชั้นอึ้งกับค่า city tax หัวละคืนละ ยูโรแพงแบบกะเอาไปสร้างดูโอโม่ที่ใหม่หรือคะ แต่เอาเถอะค่ะ ถ้าเอาไปปรับปรุงทำนุบำรุงเมืองให้มันดีขึ้นก็ถือว่ายอมจ่ายได้ เข้าเรื่องเถอะค่ะ เนื่องด้วยโรงแรมอยู่ติดกับสถานีรถไฟเช็นทราเล่เสียขนาดนั้น อิชั้นจองรถไฟความเร็วสูงไปฟลอเร้นซ์ไว้ตอน 10,20 เรามีเวลาถมเถเดินเตร็ดเตร่ไปมาอ้อยอิ่งถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย พอใกล้ถึงเวลารถไฟออกเดินไปเข้าคิวตรวจตั๋วรถไฟก่อนเข้าไปในชานชาลา แหงนหน้ามองดูตารางรถไฟว่าขบวนของเราอยู่ชานชาลาไหน รถไฟความเร็วสูงของอิตาลีขบวนสีแดงมีชื่อว่า Freccia Rossa จองออนไลน์ได้ค่ะ ระบุที่นั่งเรียบร้อยรถไฟ วิ่งเร็ว เบาะนิ่ม สะอาด ห้องน้ำก็ดีงาม นั่งไปแค่ชั่วโมงครึ่งเราก็ถึงเมืองฟลอเร้นซ์ อิชั้นเลือกเมืองนี้ให้หลานมาเยี่ยมเยียนกันเป็นที่แรกแทนที่จะลงใต้ไปโรมหรือออกไปทางฝั่งตะวันออกอย่างเวนิซ เพราะเมืองนี้มันเล็กกะทัดรัดสองวันก็เอาอยู่ หรือวันเดียวก็ยังได้ หากไม่เข้าพิพิธภัณท์เหมือนพวกเรา รถไฟถึงฟลอเร้นซ์ตอนเที่ยงวันเราสองคนเดินลากกระเป๋าตามหาโฮสเทล Archi Rossi ที่พักยอดนิยมของคนไทยในพันทิป การเดินลากกระเป๋าบนถนนที่เป็นหินขรุขระนั้นช่างลำบากเหลือเกิน แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือการต้องหลบหลีกกองอุนจิของเหล่าน้องหมานั่นเจ็บใจกว่า เสียดายมาก เมืองสวยงามเต็มไปด้วยศิลปะอันตีราคามิได้ กลับต้องมาเสียราคาเพราะเจ้าของหมาไร้หัวใจ รักหมาแต่ไม่รักเมืองแบบนี้





การเดินเท้าไปสู่โฮสเทลที่เราจองไว้ก็ง่ายดายอีกเช่นกัน เดินออกจากชานชาลาให้เลี้ยวซ้ายเข้าไว้จะเห็นร้านขายยา ป้ายสีเขียวๆ เดินออกไปทางนั้นจะเห็นว่ามีถนนทางม้าลายให้ข้ามถนนไปสองช่วงเอ๊ะ หรือสาม แต่ช่างมันเถอะค่ะ รอสัญญาณไฟเขียวให้คนข้ามอีกเช่นเคยเดินข้ามจนหมดทางม้าลาย เลี้ยวซ้ายค่ะ (หรือจะเลี้ยวขวาก็ได้แต่เลี้ยวซ้ายใกล้กว่าเดินง่ายกว่าเดินไปจนสุดมุมตึกจะเห็นร้านเบอเกอร์คิงให้เลี้ยวขวาตรงมุมตึกนี้ เดินไปอีกนิด ข้ามถนนอีกหนึ่งม้าลาย ตรงนี้รถวิ่งทางเดียวข้ามถนนไม่มีไฟเขียว มองซ้ายก่อนข้าม เดินไปอีกไม่ถึงร้อยเมตรเจอถนน Faenza ที่โฮสเทลตั้งอยู่เลี้ยวขวาเข้ามาไม่ถึงยี่สิบเมตรเจอป้ายโรงแรมเด่นเป็นสง่า เราสองคนเดินไปหน้าโฮสเทลก็พบป้ายว่าให้ไปเช็คอินที่โรงแรม Mia Cara อ่านว่า มิอา คาร่า (มิอา อ่านเร็วๆควบเสียงเป็น เมียแปลว่าที่รักของฉัน สองโรงแรมนี้เค้าเป็นเครือเดียวกันอยู่ติดกันเลยค่ะ ก็เลยได้ไปพักที่โรงแรมนี้แทนได้ห้องสองเตียง ห้องน้ำในตัวห้องเล็กๆไม่กว้างมากทุกอย่างโอเค ใช้งานได้ไม่มีอะไรชำรุด สมราคาที่ 80 ยูโรต่อคืนรวมอาหารเช้า เท่าที่เจอแขกในห้องอาหารเช้าคือเป็นแขกที่พักคู่ ผู้ใหญ่ๆ คือเค้าคงจับแขกกลุ่มนี้มาพักโรงแรมส่วนเด็กวัยรุ่นก็คงให้พักโฮสเทลเวลาเสียงดังจะได้ไม่รบกวนแขกวัย สว  อย่างเราๆ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่ในอิตาลีในเมืองเก่าๆแบบนี้จะเอาบ้านเก่าที่สร้างมานมนานมาปรับปรุงเป็นโรงแรม ผนังห้องพักจะไม่เก็บเสียงนัก ตอนกลางคืนอิชั้นยังได้ยินเสียงห้องข้างๆคุยกันมาแผ่วๆ เค้าก็คงได้ยินภาษาไทยจากห้องเราเช่นกัน


รีเซฟชั่นพนักงานพูดจาดี ให้ข้อมูลเต็มที่ หลังจากเช็คอินเสร็จเข้าห้องไปพักผ่อนนิดนึงแล้วออกไปหามื้อเที่ยงกินกันเราสองคนถามรีเซฟชั่นว่าจะออกไปหาเนื้อเสต๊กแบบ Fiorentina-Chianina ได้ที่ร้านไหนฮีบอกว่ามีร้านที่ใกล้ๆโรงแรมคือร้าน I due G อยู่บนถนนที่เราเดินผ่านก่อนมาถึงโรงแรมนั่นแหละ ร้านนี้อยู่ในแผนที่เมืองฟลอเร้นซ์ที่ทางโรงแรมแจกให้ฟรีด้วย อิชั้นเชื่อใจรีเซฟชั่นด้วยกันค่ะ 555 เลยเดินไปกินร้านนั้นและก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเนื้อเสต๊กย่างชิ้นละเจ็ดขีดกว่าๆราคา 22 ยูโรกินกันสองคนพร้อมผักนึ่งและอาหารจานแรกก็เป็นพวก cold cut แบบทัสคานีสใตล์หนึ่งจาน แบ่งกันกินบวกไวน์แดงท้องถิ่นอีกคนละแก้วน้ำเปล่าล้างคออีกขวด มื้อนี้จ่ายไป 45 ยูโร อิ่มแน่นจนต้องข้ามมื้อเย็นไปเลยทีเดียว

ปล หลานเอมี่ นางเตรียมยาแก้ท้องผูกมาจากไทยด้วยชื่อ สังคาตย์ อะไรนี่แหละจำชื่อไม่ได้ ชื่อยาน่ากลัวบวกน่าขำไปหน่อยนะคะ





ขอเขียนถึง วิธีการสั่งอาหารในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่อิตาลีสักหน่อยนึงค่ะ 

1,เข้าไปยืนหน้าร้านหรือในร้าน หาพนักงานสบตาเบาๆ ระดับความหยาดเยิ้มของรอยยิ้มขึ้นอยู่กับ ระดับความหล่อของพนักงานและรอยขีดความย่นบนหนังหน้า ฮิๆๆ แล้วบอกว่ามากี่คนเค้าจะเชิญให้ไปนั่งโต๊ะที่เหมาะกับจำนวนคน อย่าพรวดพราดเข้าไปนั่งที่โต๊ะก่อน รอพนักงานแป๊บนึงนะคะ ในกรณีที่แขกไม่เยอะอาจขอเปลี่ยนโต๊ะวิวดีๆอะไรได้ ถ้าโต๊ะนั่นว่างหรือไม่มีใครจอง แต่ไม่ใช่มากันสองคนขอนั่งโต๊ะกลมสำหรับหกเจ็ดคนก็ไม่ใช่เรื่องเนอะ ส่วนใหญ่แล้วอิชั้นนั่งตรงที่พนักงานเค้าให้นั่งนั่นแหละ เค้าหาที่ให้เหมาะกับเราแล้วจริงๆ


2,พนักงานจะเอาเมนูมาให้เราดูสักครู่นึง ในเมนูที่ร้านอิตาเลี่ยนนั้นจะแบ่งออกได้คร่าวๆ ดังนี้

  • antipasto อาหารเรียกน้ำย่อย ปกติเป็นพวกแฮม cold cut ทั้งหลาย ที่แคว้นทัสคานีเค้าก็จะโด่งดังเรื่องนี้พอตัว ก็ลองสั่งมาชิมค่ะ หรือถ้าเป็นอาหารทะเลก็พวก กุ้งค๊อกเทล ปลาหมึกหั่นต้มกินคู่ผักสลัดอะไรทำนองนั้น (แต่ถ้าที่โรม เค้าดังเรื่องดอกอาร์ติโช้คนึ่งหรือทอด ) คนไทยไม่ค่อยชินอาหารแบบนี้ สั่งมาสักจานแชร์กันกินสองคน ไม่เป็นไรค่ะ ไม่น่าเกลียดอะไร อิชั้นก็แชร์กับหลานสาว หรือถ้ามากันสี่คน ก็สั่งสองจาน แต่คนละแบบ จะได้ชิมอาหารหลากหลายขึ้น

  • Primo Piatto อาหารหลักจานแรก ปกติจะเป็นพวกแป้งอย่างพาสต้า สปาเก็ตตี้ ราวิโอลี่ ลาซาลญ่า ใครจะสั่งจานนี้ แล้วหยุดที่ตรงนี้ ไม่สั่งจานที่สองก็ได้ เพราะแค่เจออาหารเรียกน้ำย่อยบวกอาหารจานแรกนี่ก็อิ่มตื้นแล้วค่ะ หรือไม่อยากสั่งอาหารจานแรกแต่จะข้ามไปสั่งอาหารหลักจานที่สองเลยก็ได้ ไม่มีใครว่าค่ะ

  • Secondo Piatto อาหารหลักจานที่สอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกเนื้อสัตว์ปิ้งย่างตุ๋น หรืออาหารทะเลพวกกุ้งหอยปูปลา ย่างอบนึ่ง เสริฟมาทีจานใหญ่ๆ อย่างที่ร้านที่เราไปกิน เราข้ามอาหารหลักจานแรกมาสั่งเนื้อเสต็กย่างสำหรับสองคนหนึ่งจานแทน เพราะเนื้อย่างแบบ bistecca alla fiorentina ในเมนูมักเขียนแบบนี้ กินคนเดียวไม่ไหวจริงๆ ชิ้นเล็กสุดของเค้าในเมนูเขียนว่า น้อยสุดหนัก 6 ขีด ฮุๆๆๆ ใครจะไปกินคนเดียวหมดล่ะ อนุโลมให้สั่งหนึ่งจานแชร์กันกินสองคนได้ค่ะ เพราะปกติ อาหารจานหลักที่หนึ่งหรือสอง มักสั่งจานใครจานมัน จะไม่มีการแชร์กันกินค่ะ

  • Contorni ก็คืออาหารจานเคียง ส่วนใหญ่กินคู่อาหารจานหลักที่สอง จะเป็นพวกสลัดผักสด ผักนึ่ง ผักย่าง หรือมันฝรั่งทอดเฟร้นฟรายหรือมันฝรั่งอบ ที่อิตาลีจะไม่นิยมขายอาหารจานที่สองอย่างพวกเสต๊ก แล้วมีผักเคียงมาให้เต็มพิกัด ไม่มีค่ะ ต้องสั่งแยกกัน ถือเป็นการสร้างรายได้อีกหนึ่งอย่าง 555

  • Formaggi ก็คือชีสค่ะ ใครชอบชิมสารพัดชีส ถามพนักงานเลยค่ะ ยิ่งชีสท้องถิ่น ให้เค้าตัดแบ่งชิ้นเล็กๆมาหลายๆรส หนึ่งจานแชร์กันชิมได้ ชิมกันไปให้แน่นพุง ยิ่งโลคอลชีสนี่ อิชั้นโปรดปรานยิ่งนัก

  • Dolci ก็คือของหวาน จะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ ไม่มีปัญหาค่ะ ตอนสั่งอาหารครั้งแรกจะยังไม่สั่งก็ได้ รอดูว่า หลังจบอาหารจานหลักแล้ว พื้นที่กระเพาะจะพอยังกินได้อีกหรือเปล่า ถ้ายังพอเหลือพื้นที่ ลองถามพนักงานดูว่า ของหวานท้องถิ่น หรือประจำวันที่ทำใหม่ๆมีอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นพวกเค้กสูตรประจำของทางร้าน ทีรามิซู พุดดิ้งสารพัดรส หรือไอติม

  • Digestivi คือเครื่องดื่มช่วยย่อย หลังจากกินจนแน่นท้องไปหมดแล้ว เครื่องดื่มเหล้าช่วยย่อยเหล่านี้ ช่วยท่านได้ค่ะ ลองสั่งกรึ้บสองกรึ้บ แก้วนึงก็ราวๆ 4-5 ยูโร ตามชนิดของเหล้านั้น

  • Bevande ก็พวกเครื่องดื่มทั่วไป น้ำเปล่า เบียร์ โค้ก ถ้าสั่งโค้ก บางร้านจะถามว่า ใส่น้ำแข็งไหม หรือแค่แช่เย็นเฉยๆ บางร้านถามต่ออีกว่า เอาชิ้นมะนาวฝานด้วยไหม

  • Vini ก็คือไวน์ค่ะ บางร้านมีเมนูแยกออกมาจากเมนูอาหาร เพราะมีเยอะจัด บางร้านก็รวมอยู่ในเมนูเดียวกัน ถ้าอยากลองชิมไวน์ท้องถิ่นแบบไม่แพงมาก แก้วละ 3-5 ยูโร ให้สั่ง Vino della casa คือเป็นไวน์ที่ทางร้านเหมาซื้อมาเป็นถังใหญ่ๆ แล้วแบ่งใส่ขวดหรือแก้วขายให้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นไวน์ที่ผลิตในท้องถิ่นนั้นๆ มันก็เหมาะกับอาหารท้องถิ่นนั้นๆเช่นกัน ก็ถามพนักงานดูละกันค่ะ ว่าไวน์ตัวไหนเข้ากันกับอาหารนั้นๆ พนักงานเสริฟร้านอาหารในเมืองท่องเที่ยวพูดอังกฤษได้ ใช้คำพูดง่ายๆกับเค้า อย่าใช้คำหรูหราฟุ่มเฟือย อย่าค่ะอย่า อิตาเลี่ยนจะงง หรือสั่งมาสักแก้ว แบ่งๆกันชิมก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่สั่งเครื่องดื่มอย่างอื่นด้วยนะคะ ไม่ใช่ไวน์แก้วเดียวชิมกันสี่คน เครื่องดื่มอย่างอื่นไม่สั่ง ก็กระไรอยู่

  • อีกนิดนึง ร้านอาหารที่อิตาลี จะมีค่าบริการหรือค่านั่งหรือค่าขนมปัง จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ภาษาอิตาเลี่ยนจะใช้คำว่า coperto บางร้านคิด 1 บางร้าน 2 หรือ 2.5 ยูโรต่อคน ย้ำต่อคน มิใช่ต่อโต๊ะ ราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับประเภท ทำเล ระดับการบริการหรือความหรูหราของร้านนั้นๆ ส่วนขนมปังเค้าก็จะเสริฟ กินหรือไม่กินก็จ่ายค่า coperto เหมือนกัน งั้นก็จงกินค่ะ 555 ส่วนทิปจะให้หรือไม่ให้ แล้วแต่คุณค่ะ ถ้าพนักงานเสริฟดีมาก ให้ข้อมูลอาหารอย่างดี พูดน้ำไหลไฟดับ ถ้ากรุ๊ปคุณมากันสักสี่ห้าคน ให้สักห้ายูโรก็ไม่น่าเสียหายอะไรเนอะ หรือให้เป็นเหรียญเงินทอน ไม่หยิบติดมือมาก็ได้ค่ะ 

  • สรุป เรื่องการสั่งอาหารในร้านที่อิตาลี สั่ง Antipasto มาแชร์กินด้วยกันได้ primo หรือ secondo อาหารจานหลักที่หนึ่งหรือสอง สั่งแยก จานใครจานมัน ยกเว้นเสต็กที่อิชั้นว่า ชิ้นใหญ่เกิน อนุโลมให้สั่งหนึ่งจานกินสองคนได้ หรือ ไม่ชอบอาหารหลักจานแรก ข้ามไปสั่งจานที่สองเลยก็ได้ แล้วจบที่ตรงนี้ ไม่เอาของหวานไม่เอาชีส ไม่เป็นไร หรือกินแค่อาหารจานหลักที่หนึ่งหรือสองแล้วจบเลยก็ได้ แต่มองดูสถานการณ์ของร้านด้วยนะคะ ถ้าแขกเค้าเยอะดูวุ่นวาย มีแขกคนอื่นรอโต๊ะอยู่ ถ้าเราสั่งน้อยกินน้อย กินเสร็จรีบเคลียร์บิล ให้โอกาสร้านเค้าขายคนอื่นบ้าง แต่คนไทยส่วนใหญ่กินข้าวเที่ยงหรือเย็นไวกว่าคนอิตาเลี่ยนอยู่แล้ว คนอิตาเลี่ยนมื้อเที่ยงกินหลังบ่ายโมง มื้อเย็นกินหลังหนึ่งทุ่ม เรากินมื้อเที่ยงตอนเที่ยงตรง พอเรากินเสร็จก็มีลูกค้าชาวอิตาเลี่ยนเข้าร้านพอดี สบายๆ  


แค่นี้พอแล้วเนอะ กับเรื่องมารยาทและวิธีการสั่งอาหารในร้านอิตาเลี่ยนเริ่มเหนื่อยแล้วนะนี่ สรุปแล้ว ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยแค่เรื่องอาหารการกินนี่ ก็ทำเอาอิชั้นพล่ามมาหลายย่อหน้าแล้ว บล็อกหน้า Italy Amy พาเพลิน จะพาไปเดินเล่นเมืองฟลอเร้นซ์ละกันค่ะ






Create Date : 08 มกราคม 2560
Last Update : 11 มกราคม 2560 21:10:44 น. 0 comments
Counter : 1009 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

settembre
Location :
Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




A minimalist mindset>>>minimalist lifestyle.
I try to pay attention to everything I buy and keep.
Now I live by the concept of BALANCE.




เริ่มนับจำนวนคนอ่าน วันที่ 22/04/15




New Comments
[Add settembre's blog to your web]