คุณค่าของปริยัติ
ปอป้าขอนำบทความที่อื้อฉาวชิ้นหนึ่งของท่านพุทธทาสภิกขุ ผู้เป็นอาจารย์ มาฝากไว้ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ที่ว่าเป็นบทความอื้อฉาว เพราะเป็นบทความที่ทำให้ท่านพุทธทาส ได้รับบัตรสนเท่ห์ ด่าว่าอย่างหาชิ้นดีมิได้ จาก บุคคลบางคน แม้ที่เป็นบรรพชิต และขอร้องให้คณะธรรมทานลงมติขับท่านออกจากกลุ่มชาวคณะธรรมทานให้ได้ บทความอาจจะยาวสักหน่อย..นะคะ
บทความนี้ท่านพุทธทาสบอกว่า " เขียนอุทิศแด่เพื่อนสหธรรมิก ผู้สนใจต่อปฏิบัติธรรมทุกๆ ท่าน " ท่านเขียนเอาไว้ขณะพักแรมที่ปันตาราม นครศรีธรรมราช วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๙...ค่ะ
ในปัจจุบันนี้ ตามที่เราจะสังเกตเห็น ได้ทั่วไป, มีอยู่ ๒ ทาง ที่พวกเราพากันลงเห็นในเรื่อง เกี่ยวกับปริยัติ คือปริยัติ เป็นเครื่องผูกมัดผู้ศึกษาให้บ้าลาภ บ้ายศ ชื่อเสียง ฯลฯ ทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่ง คือ ปริยัติ เป็นอุปกรณ์ อย่างมี คุณค่ายิ่งของการก้าวไปหา พระนิพพาน (ความพ้นทุกข์ อย่างเด็ดขาด)
นักวิปัสสนาธุระ ที่โง่เง่า งมงาย มองปริยัติ ในแง่แรก คือ เหยียดนักปริยัติ ว่า " ดีแต่จำไว้ได้มากๆ พูดได้มาก ๆ " แต่ทั้งนี้ ก็มีเหตุผลที่จะนำให้เห็น เป็นดั่งนั้นอยู่เหมือนกัน เหตุผลนี้ก็ได้แก่ นักปริยัติ ที่เราเห็นกันอยู่โดยมาก ว่ากำลังพยายามเพื่อเป็นเช่นนั้นจริง ๆ รู้ก็รู้อย่างจำไว้ได้ หรืออย่างดี ก็แต่เพียงรู้จักตีความ ด้วยเหตุผลทางตรรก สำหรับให้พูดทะลุปรุโปร่งไปได้ ไม่จนแต้มนั่งหน้าซีดเท่านั้น
ฉะนั้น จึงเป็นการสมควร และถูกต้องแล้ว ที่นักปริยัติพวกนี้ จะต้องถูกหาดังกล่าว มันเป็นการยุติธรรมดีดอก เมื่อเพ่งถึงตัวบุคคล แต่ไม่เป็นการยุติธรรมเลย เมื่อเพ่งถึงตัวปริยัติ หรือตัวศาสนา เพราะเหตุว่า ปริยัติมิได้เป็นเครื่องมือสำหรับไว้ใช้ดั่งนั้น นักปริยัติที่คดโกง มีเจตนาเลว ปรารถนาลามก บ้ากามต่างหาก ที่ศึกษาปริยัติ ให้รู้มากๆ ไว้ สำหรับทำนาบนหลังคนที่โง่เขลายังไม่รู้จักพุทธศาสนา นั่นเป็นนักปริยัติที่ปลอมเทียม ไม่ควรเรียกว่านักปริยัติ เรียกได้เพียงคนรับจ้างเลี้ยงวัว ตามที่กล่าวไว้ในอรรถกถา ธ. ขุ.
ส่วนนักปริยัติที่แท้จริง ย่อมตรงกันข้าม ไม่ทำให้ปริยัติถูกใส่ความ เหยียดหยามให้ตกต่ำเช่นนั้น และนักวิปัสสนาธุระที่ดีไม่โง่เขลา ก็ไม่มองเห็นปริยัติในรูปนั้น เพราะมองถูกตัวจริง จึงไม่ยกหูชูหางเหมือนนักวิปัสสนาธุระที่โง่ ๆ และบ้าบุญ
นักปริยัติที่แท้จริง บริสุทธิ์ทั้งแท่งนั้น ย่อมรู้จักปริยัติที่ตนกำลังศึกษา หรือศึกษามาแล้ว โดยความเป็นแผนที่อย่างถูกต้องของหนทางที่ตนจะก้าวเดิน จากความเต็มไปด้วยทุกข์ ไปสู่ความพ้นจากทุกข์อย่างเด็ดขาด ! ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกว่า ปริยัติกำลังถูกเหยียดหยามผิดจากความจริง เป็นยุค " อาภัพ " ของปริยัติ ถูกของเน่า และคนเน่า มาแตะต้องให้แปดเปื้อน
ปริยัติ คือแผนที่แสดงภูมิประเทศ และหนทาง, ปฏิบัติ คือการไต่เต้าดำเนินไป โดยอาศัยแผนที่นั้น และปฏิเวธ คือผลน่าชื่นใจที่ได้รับ ในเมื่อการเดินทางได้ทำไป สิ้นสุดลงแล้ว ! นี่คือ ความจริงของความจริง ยิ่งกว่าจริง แต่นักวิปัสสนาที่ตาฟาง ย่อมเที่ยวโพนทนาว่า " ปริยัติเป็นเปลือก การปฏิบัติ (อย่างคลำ ๆ งม ๆ ของเขา) เป็นเยื่อใน สัปปุรุษ ทายก ทายิกา ทั้งหลาย อย่าหลงกินเปลือก เน้อ! "
ขอเราท่านทั้งหลายจงคิดดู ด้วยน้ำใจอันยุติธรรม เป็นกลาง ๆ เถิด คิดดูทั้งนักปริยัติ (คันถธุระ) และนักปฏิบัติ (วิปัสสนาธุระ) จงคิดดูให้เห็นตามที่เป็นจริง คือ ความจริงที่เห็นกันอยู่อย่างทั่วไปว่า เมื่อแผนที่ หรือแนวทางไม่มีแสดงแล้ว เราจะเดินไปได้อย่างไร เราคงตายเสียก่อนเป็นหลายชาติ กว่าจะพบความจริง ไม่ใช่ว่าโลกนี้อยู่เฉย ๆ ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โผล่ขึ้นมาได้ ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานเหลือที่จะนาน ได้มีผู้คิดค้นหาความจริง คือ ความพ้นทุกข์ หรือความสุขแล้ว ทิ้งร่องรอยไว้ให้แก่กัน ๆ สืบมา หลายหมื่นชั่วอายุคน จึงเกิดพระพุทธเจ้าขึ้น เป็นจอมยอดของนักคิดค้น เป็นคนสุดท้ายของคนพวกนั้น
สำหรับยุคหนึ่ง ๆ ตามตำนาน หรือประวัติศาสตร์แห่งปรัชญาของตะวันออก คืออาเชีย โดยเฉพาะ คือ อินเดีย หรือ ชมพูทวีป อันเป็นแดนเกิดแห่งมวลพระพุทธเจ้านั้น ปรากฏว่า ครั้งดึกดำบรรพ์โน้น ในหมู่คนผู้มีความรู้สูง เพียงรู้จักบูชาอ้อนวอนสิ่งที่ตนเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ไฟ ดวงอาทิตย์ พระเป็นเจ้า เหล่านั้น มีคนฉลาดบางคน ไม่เห็นพ้อง ด้วยการกระทำเช่นนั้น แต่มีความเห็นแผกออกไปว่า ทางอื่นที่ดีกว่า มีอยู่ จึงปลีกตัวออกจากหมู่ ไปหาที่สงัด นั่งคิดค้น ก็พบแปลก ๆ และสูงขึ้นไป ตามลำดับ และเริ่มมีความรู้ประเภทที่เป็นวิสัยแห่งบัณฑิต หรือปัญญาขึ้นในยุคนี้ ท่านเหล่านี้ ได้สรุปความรู้สึกนึกคิดให้เข้าเป็นใจความสั้น ๆ เรียกว่า มนต์ ที่คนธรรมดาไม่เคยคิดจะเข้าใจ
เมื่อคนในบ้านเมืองเกิดสำนึกขึ้นมาว่า ชะรอยท่านที่ปลีกตนออกไปอยู่ป่าเหล่านั้น คงจะมีอะไรดี ๆ เป็นแน่ จึงอุตส่าห์ถ่อร่าง ตามไปขอศึกษาถึงป่าลึก และได้มนต์นั้น ๆ มา ทั้งที่ตนไม่รู้ว่า หมายว่าอะไร ถึงรู้บ้าง ก็เป็นส่วนน้อย แต่ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สงวนไว้ คิดค้น ตีความ ในภายหลัง ยุคนี้เรียกว่า ยุคมนต์
เมื่อนานหนักเข้า มนต์ก็มีมากขึ้น เมื่อหลายองค์อาจารย์ ก็มีหลักความ หรือแนวคิดต่าง ๆ กัน มีผู้รวบรวมมนต์นั้น ๆ มาตีความ และอธิบายความแก่ผู้อื่นที่อยากรู้อยากศึกษา พวกนี้ เรียกว่า พราหมณ์, คณาจารย์, หรือ เจ้าลัทธิ,ต่างมีแนวคิดของตนเองทั้งนั้น ยุคนี้ เรียกว่า ยุคพราหมณ์
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า การศึกษาปริยัติได้เกิดขึ้นแล้วอย่างทั่วถึง ทั้งในบ้านและในป่า นักศึกษาที่ศึกษาจบในบ้าน แล้วก็หลีกออกไปอยู่ป่า ทยอย ๆ กันสืบมา หลักวิชชาก็แพร่หลาย และสูงขึ้น จนมีผู้สามารถคิดค้น พบความจริงถึงยอดสุด ได้ด้วยตนเอง แม้ไม่สามารถบอกเล่าให้ผู้อื่นให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งได้ทุกชั้น ทุกสถานะบุคคล ก็ตามที ก็ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้ประดิษฐานความจริงอันประเสริฐ ให้มีมูลรากหยั่งลงในโลกนี้ เป็นแนวแห่งการศึกษาได้ ขอให้เราคิดดูว่า ถ้าพระปัจเจกพุทธะเหล่านี้ ไม่สามารถสั่งสอนผู้อื่นได้แม้แต่นิดเดียวแล้ว ทำไมพวกเราจะรู้จักท่านได้เล่าว่า ท่านมีความรู้ความดีงามในตน จนควรแก่นามว่า " ปัจเจกพุทธะ "
จึงเป็นอันว่า อย่างไรก็ตาม ย่อมมีการศึกษาหลักแห่งความจริงแท้ (อริยสัจ) เกิดขึ้นแล้ว อย่างทั่ว ๆ ไป ในหมู่นักศึกษา ในยุคที่มีพระปัจเจกพุทธะ เกิดขึ้นในโลก ซึ่งเรียก การศึกษาในบ้านในเมืองว่า ปริยัติ ได้เหมือนกัน เป็นเหตุให้คนหลีกออกอยู่ป่า เป็นปัจเจกพุทธะ มากขึ้น ๆ โดยลำดับ ๆ ซึ่งราวกะว่าได้ทำให้เม็ดทรายทุกเม็ดแห่งใจกลางของชมพูทวีป กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำให้ผู้เหยียบย่ำ มีเลือดเนื้อแห่งความเป็นนักปราชญ์ หรือ ผู้รู้ความจริงไป, หรืออย่างน้อยก็เป็นนักศึกษา ดังเราจะเห็นได้ว่าในยุคที่พระพุทธเจ้า ของเราเกิดขึ้นนั้น ในมัธยมประเทศได้เต็มแน่น ออแอไปด้วยเจ้าลัทธิต่าง ๆ อย่างเหลือเฟือ เป็นเหตุให้ พระองค์ทรงเที่ยวศึกษา " ปริยัติ " ที่มูลรากขั้นต้น ๆ ได้จากเจ้าลัทธิเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง และมากพอ ที่จะทรงนำมาสรุป บัญญัติ เป็นหลักความจริงให้ผู้อื่นเข้าใจง่าย แม้เป็นคนโง่เขลาปัญญา เครื่องแตกฉานในการพูด ให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนที่พระองค์เข้าใจ ก็เกิดออกมาจากการศึกษา อันมากมาย ทางเล่าเรียนด้วยปาก และคิดค้นด้วยใจ ของพระองค์เอง นั้นเอง พระองค์จึงทรงคุณสมบัติพร้อมมูล ควรแก่พระนามว่า " พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "
ตามนัยดังกล่าวมาแล้วนี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า ปริยัติ ไม่ใช่ " เปลือก " อย่างที่นักวิปัสสนาโง่ ๆ เข้าใจ, ที่แท้มันก็เป็นเยื่อเหมือนกัน เป็นแต่มันยังดิบอยู่ ต้องมีวิธีทำให้สุก จึงจะเป็นประโยชน์ได้ ปริยัติเหมือนข้าวสาร ปฏิบัติ เหมือนวิธีทำให้ข้าวสาร ให้กลายเป็นข้าวสุก และบริโภคลงไปในกระเพาะ หรือ มิฉะนั้น ปริยัติ เหมือนแก่นหิน ที่ยังไม่ได้เจียระไน ยังดูคล้ายก้อนกรวด เมื่อเจียระไน แล้วจึงเป็นเพชรพลอย, วิธีเจียระไน หรือ ทำก้อนกรวดให้เป็นเพชรพลอย ก็คือปฏิบัติ
สรุปได้สั้น ๆ ว่า มันเป็นบุรพภาคของกันและกันอย่างจำเป็น มิใช่แยกออกกันได้อย่างเด็ดขาด ดั่งวิธีการโง่ ๆ ที่แยกเป็นพระอรัญญวาสี คามวาสี (พระป่า พระบ้าน) หรือ นักวิปัสสนาธุระ และ นักคันถธุระ แล้วไม่มีการสัมพันธ์แก่กันและกัน ดังที่เย่อหยิ่ง จองหองต่อกัน อยู่ในบัดนี้เลย ความโง่เง่าอันนี้ทำให้อีกพวกหนึ่งต้องกินข้าวสารดิบ ๆ และอีกพวกหนึ่ง ไม่มีข้าวสุกจะกิน เพราะตนเหยียดหยาม ประณามข้าวสาร ขอให้อำนาจคุณพระรัตนตรัย จงมาช่วยดลบันดาล ให้ความโง่เขลาอันนี้ หายไปทันท่วงที ในยุคนี้เถิด !
ขอนักวิปัสสนาธุระ จงหยุดเหยียดนามอันเป็นมงคลยิ่งว่า " ปริยัติธรรม " เสียอย่างเด็ดขาด เพราะ ปริยัติที่แท้จริง นั้น คือ อุปกรณ์อย่างจำเป็นสำหรับวิปัสสนาธุระ เช่นเดียวกับ ข้าวสาร เป็นอุปกรณ์แห่งการมีข้าวสุก ไม่มีข้าวสาร จะเอาข้าวสุกมาแต่ไหน สิ่งที่ท่านเคยเรียก หรือสำคัญว่าปริยัตินั้น มันไม่ใช่ตัวปริยัติแท้ ท่านสำคัญผิดไปเอง ปริยัติที่แท้ คือการศึกษาให้รู้แนวของการปฏิบัติโดยเฉพาะนั่นเอง ไม่ใช่การศึกษาภาษา การเทศน์ธรรม ดังที่ท่านเข้าใจ นั่นเป็นเพียงอุปกรณ์ของปริยัติ อีกชั้นหนึ่งต่างหาก เช่น เราพากันเรียกภาษาบาลี ซึ่งเป็นกุญแจคลังปริยัติ ก็เพื่อได้ปริยัติสมใจต่างหาก การที่มองเพ่งไปยังนักปริยัติ ซึ่งกำลังเมาลาภ บ้ายศอยู่ แล้วเหมาเอาว่า นั่นเป็นคุณสมบัติอันแท้จริงของปริยัตินั้น ย่อมพลาดจากความจริงอย่างมากมายเกินไป
การที่โลกพากันเรียนปริยัติ แล้วแทนที่จะกลายเป็นนักปฏิบัติต่อลำดับไป กลับมาวกเลี้ยว เป็นครูสอนปริยัติ เสียทุกคนเช่นนี้ นำให้เกิดปริยัติปลอมเทียมขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อไม่มีใครปฏิบัติให้ลุถึงความจริงมาเป็นหลัก ส่อให้เห็นอยู่อย่างมั่นคง การปริยัติย่อมเกิดเสนียด เศร้าหมองขึ้นในตัว เพราะความสะเพร่า รู้ไม่ถึง, ความเดาสุ่ม ฯลฯ ของครูผู้สอนที่ไม่รู้จริงเห็นจริงบ้าง เพราะความเห็นแต่แก่ตน อยากได้ลาภสักการะ ก็หมุนแก้ไขปริยัติ โดยโลภ เจตนาบ้าง, อยากให้ทายกเป็นเหยื่อของตน ก็หาเรื่องมาล่อหลอกให้หลงบ้าง ดังกล่าวนี้ พวกเราควรจะทราบว่า ไม่ใช่ปริยัติ หรือนักปริยัติอันแท้จริง
ทีนี้ เรามองกันเฉพาะครูปริยัติที่บริสุทธิ์แท้ ไม่คดโกง ล่อลวงใคร แต่ไม่ดำเนินตนให้ก้าวหน้าต่อไปในการปฏิบัติ อีกวาระหนึ่ง ท่านเหล่านี้เปรียบเหมือนผู้ที่ศึกษารู้แผนที่ได้อย่างถูกต้องเพียงพอแล้ว ไม่เดิน แต่สมัครเขียนแผนที่ ขายผู้อื่นเรื่อย ๆ ไป เป็นอาชีพ แม้จะถูกติเตียนบ้างโดยธรรมเนียมว่า เป็น " มดแดงแฝงมะม่วง " บ้างก็ตามทีเถิด แต่ผู้จะเดินควรรู้สึกขอบคุณท่านเหล่านี้บ้าง ในการที่ท่านเป็นผู้สืบวงศ์ สืบประเพณีไว้ จนตกทอดกันมาถึงในยุคนี้ และทำให้เราผู้จะเดินได้รับความสะดวก
ข้าพเจ้าเอง รู้สึกเคารพรักท่านเหล่านี้อยู่ส่วนหนึ่ง จึงใคร่จะขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนสหธรรมิก ผู้ที่สนใจ วิปัสสนา อย่าเป็นคนบ้าวิปัสสนา จนเหยียดผู้อื่นที่การกระทำของเขาได้ช่วยเรามาแล้วในตัว และขอให้เป็นผู้เคารพธรรมยิ่งกว่ากิเลสที่บัดซบของตนเอง โดยทำตนเป็นผู้เพ่งหาแต่ฝ่ายดีด้านเดียวเถิด ท่านก็จะพบคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติได้ด้วยตนเอง เป็นแน่แท้
จงมองให้เห็นคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติอันจริงแท้ ที่พวกนักวิปัสสนาโง่ ๆ ในสมัยปัจจุบันนี้มองไม่เห็น แล้วมิหนำซ้ำ กลับดูถูกเหยียดหยาม ให้เห็นเสีย โดยเร็วเถิด
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จากคุณเศษเสี้ยว
เพลง สักวันหนึ่ง
ประโยชน์ที่มุ่งหมายทุกอย่างของผู้มีมิตรพรั่งพร้อม
ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลเหมือนโชคช่วย
มีความสุขกับการรักษามิตรที่ดีไว้ได้ ตลอดไป...นะคะ