เมื่อผู้ใหญ่ไม่อยากเป็นแบบอย่างที่ดี แล้วเด็ก จะเป็นเช่นใดโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปกมีพระสูตรสั้น ๆ เรื่องหนึ่ง มีข้อคิดน่าสนใจ ขอนำมาถ่ายทอดในที่นี้ครั้งหนึ่ง พระสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ชื่อ มาลุงกยบุตร ทูลขอให้พระพุทธเจ้าตรัสธรรมให้ฟังโดยย่อ พระพุทธองค์เห็นว่าเธออายุมากแล้ว จึงตรัสว่า มาลุงกยบุตร แล้วเราจะบอกภิกษุหนุ่มทั้งหลายอย่างไร ในเมื่อเธอเองแก่แล้ว ยังขอให้เราแสดงธรรมแต่โดยย่อ ความหมายก็คือ พระแก่ยังอยากฟังสั้น ๆ แล้วพระเด็กก็อยากฟังสั้น ๆ บ้าง ครั้นบอกว่าทำไมต้องฟังสั้น ๆ ฟังยาว ๆ ได้เนื้อถ้อยกระทงความไม่ดีกว่าหรือ พวกเธอก็จะอ้างได้ว่า แม้พระผุ้ใหญ่ยังอยากฟังสั้น เลย เมื่อพระมาลุงกยบุตรยืนยันว่า อยากฟังธรรมสั้น ๆ พระองค์จึงตรัสสอนว่า มาลุงกยบุตร ตัณหา (ความอยาก) ย่อมเกิดขึ้นเพราะสาเหตุ ๔ ประการ คือ (๑) เพราะบิณฑบาต (เพราะอาหารการกิน สำหรับชาวบ้าน) (๒) เพราะจีวร (เพราะเครื่องนุ่งห่ม สำหรับชาวบ้าน)(๓) เพราะเสนาสนะ (บ้าน, ที่อยู่อาศัย สำหรับชาวบ้าน)(๔) เพราะความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เมื่อละตัณหาได้ ขุดรากถอนโคนมันได้แล้ว ก็เท่ากับละเครื่องผูกมัดใจได้ ทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะละมานะความถือตัวได้ พระมาลุงกยบุตรฟังแล้ว ก็กราบพระพุทธองค์ ลุกขึ้นเดินประทักษิณ (เวียนขวา) พระพุทธองค์ แล้วจากไป เพื่อพากเพียรฝึกฝนตนอย่างเคร่งครัดต่อไปข้อความนี้มาใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ให้ข้อคิดว่า พระแก่ ๆ ยังไม่อยากฟังธรรมโดยพิสดาร แล้วพระเล็กเณรน้อยจะว่าอย่างไร มิเอาอย่างพระแก่หรือ อาจลุกลามไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้จึงขอฝากผู้ใหญ่ในสังคมด้วย ไม่เฉพาะ พระสงฆ์องค์เจ้า คฤหัสถ์ด้วย ถ้าอยากให้คนรุ่นหลังเป็นอย่างใด ท่านนั่นแหละจะต้องทำตนเป็นตัวอย่างด้วย เพราะสิ่งที่ท่านทำ คำที่พูด เด็ก ๆ จะเอาเป็นแบบอย่างโดยอัตโนมัตินึกถึงพระมหากัสสปะ พระเถระผู้เฒ่าสมัยพุทธกาล ท่านเป็นพระธุดงค์ ถือธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติขัดเกลา) ๓ ข้อ คือ ถือบิณฑบาตเป็นนิตย์ ถือการอยู่โคนไม้เป็นนิตย์ (ปฏิเสธอยู่อาคาร หรือตึกราม) ถือผ้าบังสุกุล (ผ้าคลุกฝุ่น หรือเอาเศษผ้ามาทำจีวรเอง ไม่รับผ้าสำเร็จรูป) เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ (คำนี้เป็นคุณศัพท์) แล้วท่านยังถือธุดงค์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปะ เธอบรรลุอรหัต (คำนี้เป็นคำนาม) แล้ว ไม่จำต้องถือธุดงค์ ธุดงค์มีไว้สำหรับผู้ยังไม่บรรลุธรรม พระมหากัสสปะกราบทูลว่า ท่านมิได้ถือปฏิบัติเพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง พระพุทธเจ้าจึงสาธุการ ยกย่องในแนวคิดของท่านผู้ใหญ่สมัยนี้ ควรต้องระมัดระวังการแสดงออกของตน เพราะมีคนอีกจำพวกหนึ่งพร้อมที่จะเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว ใครที่มีลูกมีหลานจะทราบเรื่องอย่างนี้ดี คำพูดที่ท่านสอนจ้ำจี้จ้ำไช ให้ลูกทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ จนปากเปียกปากแฉะนั้น มักไม่ได้ผล เพราะเด็กจะรำคาญ ไม่อยากฟัง เผลอ ๆ อาจมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับได้ คือยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งให้ทำยิ่งปฏิเสธขัดขืนแต่สิ่งที่ท่านไม่ได้สอน คือการเคลื่อนไหว การกระทำของท่านไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี เด็กกลับซึมซับเอาเป็นแบบอย่างโดยไม่รู้ตัว การพร่ำสอนถึงระเบียบวินัยของพ่อแม่ที่ไม่มีระเบียบวินัยก็ดี การสอนให้ลูกรู้รักเรียนเขียนอ่านของพ่อแม่ผู้ไม่เคยจับหนังสืออ่านแม้แต่เล่มเดียวก็ดี การพร่ำสอนให้ลูกมีความอ่อนน้อม พูดวาจาไพเราะอ่อนหวานของพ่อแม่ผู้ด่าพ่อล่อแม่กันและกัน และแม้กระทั่งบุพการีของตนก็ดี ไม่มีผลอันใด ตราบใดที่พ่อแม่ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างให้แก่บุตรธิดาของตนต้องไม่ลืมว่า การสอนโดยไม่สอน คือการสอนโดยทำตัวอย่างให้เด็กดู มีผลสัมฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ดังในนิทานเชนเรื่องหนึ่งเล่าว่าครั้งหนึ่ง พระสุภูติเถระ นั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าแห่งหนึ่ง ระยะเวลาผ่านไปยาวนานมาก ท่านก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในฌานอย่างนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลายพากันมาโปรยดอกไม้บูชาท่าน กล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออนุโมทนาในธรรมเทศนาของพระคุณเจ้า พระเถระลืมตาขึ้น ถามว่า อาตมาเทศน์หรือ ใช่ พระคุณเจ้าเทศน์เพิ่งจบ เทวดาทั้งหลายตอบ เอ๊ะ อาตมาเทศน์เรื่องอะไร (รู้ว่าตนไม่ได้เทศน์อะไรสักคำ) ท่านเทศน์เรื่องความเงียบ การที่ท่านนั่งสงบเงียบ ด้วยใบหน้าอันเอิบอิ่ม ผ่องใสนั้นแหละ คือการเทศน์ของท่าน เทศน์โดยไม่เทศน์ เทศน์โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ แต่มันสะท้อนลึกลงไปยังห้วงลึกของหัวใจของผุ้พบเห็น ยากที่จะลืมได้อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาในยุคของเรานี้เอง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ใครก็ว่าท่านมีปฏิปทาแปลก ๆ (พูดแบบอันธพาลก็ว่า ท่านทำบ้า ๆ บอ ๆ) วันหนึ่งท่านตื่นขึ้นมาตอนดึก ก็ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ปลายเท้าท่าน ในความมืด ท่านรู้ว่าขโมยกำลังลักของ ยื่นมือเข้ามาทางช่องปลายเท้า เพื่อจะหยิบตะเกียงซึ่งอยู่ปลายเท้าท่าน แต่บังเอิญมือเอื้อมไม่ถึงท่านจึงเอาเท้าเขี่ยตะเกียงเลื่อนไปหาเขา แล้วเขาก็หยิบเอาตะเกียงนั้นไปได้ เมื่อรุ่งเช้าขึ้นมา ขโมยคนนั้นนั่งรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตะเกียงอยู่ห่างมือเรามาก แต่ทำไมมันเลื่อนเข้ามาใกล้มือเรา จนเราหยิบได้ พระคุณเจ้าท่านคงเลื่อนมาให้เราแน่นอน คิดดังนี้แล้ว คืนต่อมา จึงแอบเอาตะเกียงไปวางไว้ตามเดิมขโมยคนนั้นซึ้งในการสั่งสอนธรรมโดยไม่ต้องพูดของสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นอย่างดี จนกระทั่งสำนึกผิด เอาตะเกียงไปคืน รับรองได้ว่า ขโมยคนนั้นคงเลิกพฤติกรรมชั่วร้ายนั้นอย่างแน่นอนเพลง ความรักเพรียกหา ถ้าจะโหวตให้ปอป้า...สาขา Dharma Blog...นะคะ ขอบคุณ...ค่ะ
มีพระสูตรสั้น ๆ เรื่องหนึ่ง มีข้อคิดน่าสนใจ ขอนำมาถ่ายทอดในที่นี้ครั้งหนึ่ง พระสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ชื่อ มาลุงกยบุตร ทูลขอให้พระพุทธเจ้าตรัสธรรมให้ฟังโดยย่อ พระพุทธองค์เห็นว่าเธออายุมากแล้ว จึงตรัสว่า มาลุงกยบุตร แล้วเราจะบอกภิกษุหนุ่มทั้งหลายอย่างไร ในเมื่อเธอเองแก่แล้ว ยังขอให้เราแสดงธรรมแต่โดยย่อ ความหมายก็คือ พระแก่ยังอยากฟังสั้น ๆ แล้วพระเด็กก็อยากฟังสั้น ๆ บ้าง ครั้นบอกว่าทำไมต้องฟังสั้น ๆ ฟังยาว ๆ ได้เนื้อถ้อยกระทงความไม่ดีกว่าหรือ พวกเธอก็จะอ้างได้ว่า แม้พระผุ้ใหญ่ยังอยากฟังสั้น เลย เมื่อพระมาลุงกยบุตรยืนยันว่า อยากฟังธรรมสั้น ๆ พระองค์จึงตรัสสอนว่า มาลุงกยบุตร ตัณหา (ความอยาก) ย่อมเกิดขึ้นเพราะสาเหตุ ๔ ประการ คือ (๑) เพราะบิณฑบาต (เพราะอาหารการกิน สำหรับชาวบ้าน) (๒) เพราะจีวร (เพราะเครื่องนุ่งห่ม สำหรับชาวบ้าน)(๓) เพราะเสนาสนะ (บ้าน, ที่อยู่อาศัย สำหรับชาวบ้าน)(๔) เพราะความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เมื่อละตัณหาได้ ขุดรากถอนโคนมันได้แล้ว ก็เท่ากับละเครื่องผูกมัดใจได้ ทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะละมานะความถือตัวได้ พระมาลุงกยบุตรฟังแล้ว ก็กราบพระพุทธองค์ ลุกขึ้นเดินประทักษิณ (เวียนขวา) พระพุทธองค์ แล้วจากไป เพื่อพากเพียรฝึกฝนตนอย่างเคร่งครัดต่อไปข้อความนี้มาใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ให้ข้อคิดว่า พระแก่ ๆ ยังไม่อยากฟังธรรมโดยพิสดาร แล้วพระเล็กเณรน้อยจะว่าอย่างไร มิเอาอย่างพระแก่หรือ อาจลุกลามไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้จึงขอฝากผู้ใหญ่ในสังคมด้วย ไม่เฉพาะ พระสงฆ์องค์เจ้า คฤหัสถ์ด้วย ถ้าอยากให้คนรุ่นหลังเป็นอย่างใด ท่านนั่นแหละจะต้องทำตนเป็นตัวอย่างด้วย เพราะสิ่งที่ท่านทำ คำที่พูด เด็ก ๆ จะเอาเป็นแบบอย่างโดยอัตโนมัตินึกถึงพระมหากัสสปะ พระเถระผู้เฒ่าสมัยพุทธกาล ท่านเป็นพระธุดงค์ ถือธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติขัดเกลา) ๓ ข้อ คือ ถือบิณฑบาตเป็นนิตย์ ถือการอยู่โคนไม้เป็นนิตย์ (ปฏิเสธอยู่อาคาร หรือตึกราม) ถือผ้าบังสุกุล (ผ้าคลุกฝุ่น หรือเอาเศษผ้ามาทำจีวรเอง ไม่รับผ้าสำเร็จรูป) เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ (คำนี้เป็นคุณศัพท์) แล้วท่านยังถือธุดงค์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปะ เธอบรรลุอรหัต (คำนี้เป็นคำนาม) แล้ว ไม่จำต้องถือธุดงค์ ธุดงค์มีไว้สำหรับผู้ยังไม่บรรลุธรรม พระมหากัสสปะกราบทูลว่า ท่านมิได้ถือปฏิบัติเพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง พระพุทธเจ้าจึงสาธุการ ยกย่องในแนวคิดของท่าน
ผู้ใหญ่สมัยนี้ ควรต้องระมัดระวังการแสดงออกของตน เพราะมีคนอีกจำพวกหนึ่งพร้อมที่จะเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว ใครที่มีลูกมีหลานจะทราบเรื่องอย่างนี้ดี คำพูดที่ท่านสอนจ้ำจี้จ้ำไช ให้ลูกทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ จนปากเปียกปากแฉะนั้น มักไม่ได้ผล เพราะเด็กจะรำคาญ ไม่อยากฟัง เผลอ ๆ อาจมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับได้ คือยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งให้ทำยิ่งปฏิเสธขัดขืนแต่สิ่งที่ท่านไม่ได้สอน คือการเคลื่อนไหว การกระทำของท่านไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี เด็กกลับซึมซับเอาเป็นแบบอย่างโดยไม่รู้ตัว การพร่ำสอนถึงระเบียบวินัยของพ่อแม่ที่ไม่มีระเบียบวินัยก็ดี การสอนให้ลูกรู้รักเรียนเขียนอ่านของพ่อแม่ผู้ไม่เคยจับหนังสืออ่านแม้แต่เล่มเดียวก็ดี การพร่ำสอนให้ลูกมีความอ่อนน้อม พูดวาจาไพเราะอ่อนหวานของพ่อแม่ผู้ด่าพ่อล่อแม่กันและกัน และแม้กระทั่งบุพการีของตนก็ดี ไม่มีผลอันใด ตราบใดที่พ่อแม่ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างให้แก่บุตรธิดาของตนต้องไม่ลืมว่า การสอนโดยไม่สอน คือการสอนโดยทำตัวอย่างให้เด็กดู มีผลสัมฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ดังในนิทานเชนเรื่องหนึ่งเล่าว่าครั้งหนึ่ง พระสุภูติเถระ นั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าแห่งหนึ่ง ระยะเวลาผ่านไปยาวนานมาก ท่านก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในฌานอย่างนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลายพากันมาโปรยดอกไม้บูชาท่าน กล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออนุโมทนาในธรรมเทศนาของพระคุณเจ้า พระเถระลืมตาขึ้น ถามว่า อาตมาเทศน์หรือ ใช่ พระคุณเจ้าเทศน์เพิ่งจบ เทวดาทั้งหลายตอบ เอ๊ะ อาตมาเทศน์เรื่องอะไร (รู้ว่าตนไม่ได้เทศน์อะไรสักคำ) ท่านเทศน์เรื่องความเงียบ การที่ท่านนั่งสงบเงียบ ด้วยใบหน้าอันเอิบอิ่ม ผ่องใสนั้นแหละ คือการเทศน์ของท่าน เทศน์โดยไม่เทศน์ เทศน์โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ แต่มันสะท้อนลึกลงไปยังห้วงลึกของหัวใจของผุ้พบเห็น ยากที่จะลืมได้อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาในยุคของเรานี้เอง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ใครก็ว่าท่านมีปฏิปทาแปลก ๆ (พูดแบบอันธพาลก็ว่า ท่านทำบ้า ๆ บอ ๆ) วันหนึ่งท่านตื่นขึ้นมาตอนดึก ก็ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ปลายเท้าท่าน ในความมืด ท่านรู้ว่าขโมยกำลังลักของ ยื่นมือเข้ามาทางช่องปลายเท้า เพื่อจะหยิบตะเกียงซึ่งอยู่ปลายเท้าท่าน แต่บังเอิญมือเอื้อมไม่ถึงท่านจึงเอาเท้าเขี่ยตะเกียงเลื่อนไปหาเขา แล้วเขาก็หยิบเอาตะเกียงนั้นไปได้ เมื่อรุ่งเช้าขึ้นมา ขโมยคนนั้นนั่งรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตะเกียงอยู่ห่างมือเรามาก แต่ทำไมมันเลื่อนเข้ามาใกล้มือเรา จนเราหยิบได้ พระคุณเจ้าท่านคงเลื่อนมาให้เราแน่นอน คิดดังนี้แล้ว คืนต่อมา จึงแอบเอาตะเกียงไปวางไว้ตามเดิมขโมยคนนั้นซึ้งในการสั่งสอนธรรมโดยไม่ต้องพูดของสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นอย่างดี จนกระทั่งสำนึกผิด เอาตะเกียงไปคืน รับรองได้ว่า ขโมยคนนั้นคงเลิกพฤติกรรมชั่วร้ายนั้นอย่างแน่นอน
กุหลาบสีชมพู
งามสดใส..มอบจากดวงใจ
ให้สุขล้น..ทวีคูณ
ปรียนิตย์
ปิยญฺจ อนฺนปานมฺหิ อตฺเถ ชาเต จ ปณฺฑิตํ
เมื่อเกิดเหตุร้ายแรง ย่อมต้องการคนกล้าหาญ
เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้น ย่อมต้องการคนหนักแน่น
เมื่อมีข้าวน้ำบริบูรณ์ ย่อมต้องการคนที่รัก
เมื่อเกิดเรื่องราวลึกซึ้ง ย่อมต้องการบัณฑิต
เป็นบัณฑิตที่กล้าหาญ หนักแน่น และเป็นที่รักของทุกคน ตลอดไป...นะคะ