ปอป้า ขอลาบล๊อก ๕ วัน...นะคะไปอุตรดิตถ์เพื่อทำบุญและปวารณาเข้าพรรษา..ค่ะคอร์ส ลดน้ำหนักใจ โดย วีณา โดมพนานครน้ำหนักกายเป็นเรื่องกวนใจ (คนอ้วน) น้ำหนักใจเป็นเรื่องกวนความรู้สึก (ทุก ๆ คน) น้ำหนักกายเลยค่ามาตรฐานไปมากรู้ได้เพราะมีตัวเลขบอกได้ชัดเจน น้ำหนักใจเลยความพอดีไหม ดูได้จากสภาวะอารมณ์น้ำหนักกายเหมาะสมหรือไม่ เทียบเคียงหาได้จากส่วนสูง น้ำหนักใจสมดุลหรือเปล่า เปรียบเทียบจากความสุขหรือความสงบเป็นหลักน้ำหนักกายไม่พอดีมีไขมันเป็นส่วนเกิน น้ำหนักใจเลยเกณฑ์ปกติ มีอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเป็นส่วนที่ไม่ต้องการน้ำหนักกายเกินไม่มากเรียกว่าพอท้วม ๆ ถ้าเลยเส้นกำหนดไปไกลขนานนามว่าอ้วนได้ ส่วนน้ำหนักใจถ้าพอท้วม ๆ จะมีอารมณ์หงุดหงิด เครียด อึดอัด ไม่พอใจ เป็นสัญลักษณ์ แต่ถ้าใจอ้วนท้วนสมบูรณ์มาก ๆ ก็จะมีความทุกข์ใจเป็นเครื่องแสดงอาการเต็มที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินมากลดได้ตามแต่วิธีสะดวกของแต่ละคน จะด้วยตนเองหรือพึ่งคอร์สลดน้ำหนักก็ย่อมได้ และสำหรับจิตใจถ้ามีส่วนเกินที่ไม่ต้องการก็กำจัดออกได้เช่นกันณ ขณะนี้ หากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ใจชักจะมีไขมันมาจับ ก็น่าจะเริ่มเข้าคอร์สได้แล้ว เริ่มต้นด้วยการเอาความเป็นตัวเรา ซึ่งก็คือความรู้สึกในใจที่มีอัตตาเป็นเงาซ้อนอยู่มาคลี่แผ่ดู ว่าเห็นความไม่พึงพอใจเกิดขึ้นกับเรื่องอะไรในระดับไหนอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวสะท้อนกำลังส่งของอัตตาว่าแรงเพียงใด แม้ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมาปะทะชีวิต แต่คลื่นที่ส่งออกมาจะแปรสภาพเป็นความรู้สึกให้เราสัมผัสได้ อาจจะเป็นความต้องการการยอมรับจากคนอื่น จากสังคม หรือบ่อยครั้งที่อดเปรียบเทียบสิ่งที่มี สิ่งที่เป็นกับคนโน้น คนนี้ ทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จักอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้ไปลงสนามแข่งขันกับใครอย่างเป็นทางการ และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นความคับข้องใจ แค่นี้ก็นับว่าเป็นไขมันส่วนเกินของใจที่สร้างความรำคาญให้ในระดับต้น ๆ ยังไม่ได้เป็นความทุกข์ที่แสนสาหัสเกินเยียวยาจะว่าไปความรู้สึกแบบนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติความต้องการของมนุษย์ ที่เมื่อความต้องการตามปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีวิตได้รับครบถ้วนแล้ว ต่อมความต้องการของคนส่วนใหญ่ก็จะขยายตัวต่อไป เป็นความต้องการทางนามธรรม คือการได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้าง หรือบางคนตีวงกว้างไปถึงสังคมระดับใหญ่ เปรียบเสมือนการเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่การบริโภคเป็นใหญ่เช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่ต้องเดินกันแล้ว แต่ทุกคนพากันขึ้นลิฟต์สู่ความต้องการระดับสูงกันด้วยความสมัครใจทุกคนต่างพาใจตัวเองขึ้นไปสู่สิ่งที่ท่าน ว. วชิรเมธี เรียกว่า หอคอยแห่งการเปรียบเทียบ หอคอยแห่งการยอมรับ ซึ่งถ้าใครขึ้นไปยังไม่ถึงตามเพดานที่ต้องการ ก็จะต้องเผชิญกับอารมณ์รบกวนใจ...ทุกข์จากการเปรียบเทียบ จากการที่ไม่เท่า จากการไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ขั้นพรหม ไม่ใช่ทุกข์ของคนหาเช้ากินค่ำ เป็นทุกข์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งมันง่ายต่อการจัดการ... ที่ว่าง่ายก็เพราะให้แก้ที่เหตุ เมื่อเป็นความทุกข์ทางใจก็ต้องแก้ที่ใจ ...ทางออกคือการวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตได้เห็นและมีความเข้าใจในความไร้สาระของอัตตาที่ปรุงแต่งยึดถืออยู่ แล้วความรู้สึกเปรียบเทียบจะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีอัตตาที่จะไปเปรียบเทียบความรู้สึกว่าไม่เท่าคนอื่นจะไม่เกิดขึ้น เพราะตัวที่จะไปวัดความเท่าเทียมมันไม่มีต้นขั้วมันไม่ได้อยู่ที่ทุกข์เพราะเปรียบเทียบ เพราะไม่เท่า หรือเพราะการยอมรับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สามเรื่องนี้ ปัญหาอยู่ที่อัตตามันมีความเข้มข้น ความรู้สึกสามอย่างนี้มันก็งอกงามขึ้นมา วิธีที่ดีที่สุด คือไม่ต้องไปทำอะไรกับปลายเหตุของมัน ให้หันกลับมาหาต้นเหตุแล้วคุณจะวางมันเอง ถ้าจิตเรียนรู้ดูอาการที่เกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นจะหายไปทันที...น้ำหนักทางกายลดได้ด้วยการสลายไขมัน น้ำหนักทางใจลดได้ด้วยการสลายอัตตาการบำบัดส่วนเกินทางใจด้วยการสลายอัตตาให้เห็นผลรวดเร็วทันใจอาจไม่ง่ายนัก แต่ถ้าจะให้ได้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะเห็นได้ง่ายกว่า อย่างน้อยการเรียนรู้ที่จะสร้างเกราะทางใจที่เรียกว่า สติ จะช่วยดึงให้รู้จักการสาวหาเหตุที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น รู้จักมีวิธีคิดที่จะเปลี่ยนทางไหลของอารมณ์ มองเห็นภาพหลายมิติตามความเป็นจริงมากขึ้น หรือมีวิธีรีดอัตตาจากเรื่องรอบ ๆ ตัวได้ดีขึ้นถ้าจะอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าจะ เปรียบ กับคนอื่นก็ให้แค่ เทียบ ให้เห็นความต่าง จุดด้อยที่ต้องปรับปรุง แต่อย่าเผลอส่งตังเองลงไป แข่งขัน ในทันที ซึ่งจะนำความรู้สึกเชิงลบให้เกิดขึ้นเสียก่อน ทีนี้จะต้องมัวแต่หน้ามืดไปด้วยอารมณ์อึดอัด หรืออิจฉาก็แล้วแต่ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาเปลี่ยนแปลงตัวเองสอดคล้องกับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ซึ่งมักจะบอกว่า เวลาทำงานมักจะแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น เพราะแข่งกับตัวเองต้องใช้ สติ แต่แข่งกับคนอื่น อารมณ์ จะพัดมาก่อน เมื่อสติไม่มีที่อยู่ ปัญญา ก็ยิ่งไม่มีที่เกิดถ้าค่อย ๆ สลายส่วนเกินทางใจได้ แรงปะทะกับเรื่องรอบ ๆ ตัว ในชีวิตประจำวันก็จะน้อยลงไปด้วย ไม่ใช่อะไร-ใคร มากระทบก็ฟุ้งกระจายแล้วเข้าคอร์สในขั้นต้น แล้วก้าวต่อไปในขั้นสูง เพื่อเพิ่มวิทยายุทธ์ในการสลายอัตตาโดยพลัน ปรับน้ำหนักใจให้พอดีเพื่อความคล่องตัวในชีวิต ! เพลง มนต์เมืองเหนือ ถ้าจะโหวตให้ปอป้า...สาขา Dharma Blog...นะคะ ขอบคุณ...ค่ะ
น้ำหนักกายเป็นเรื่องกวนใจ (คนอ้วน) น้ำหนักใจเป็นเรื่องกวนความรู้สึก (ทุก ๆ คน) น้ำหนักกายเลยค่ามาตรฐานไปมากรู้ได้เพราะมีตัวเลขบอกได้ชัดเจน น้ำหนักใจเลยความพอดีไหม ดูได้จากสภาวะอารมณ์น้ำหนักกายเหมาะสมหรือไม่ เทียบเคียงหาได้จากส่วนสูง น้ำหนักใจสมดุลหรือเปล่า เปรียบเทียบจากความสุขหรือความสงบเป็นหลักน้ำหนักกายไม่พอดีมีไขมันเป็นส่วนเกิน น้ำหนักใจเลยเกณฑ์ปกติ มีอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเป็นส่วนที่ไม่ต้องการน้ำหนักกายเกินไม่มากเรียกว่าพอท้วม ๆ ถ้าเลยเส้นกำหนดไปไกลขนานนามว่าอ้วนได้ ส่วนน้ำหนักใจถ้าพอท้วม ๆ จะมีอารมณ์หงุดหงิด เครียด อึดอัด ไม่พอใจ เป็นสัญลักษณ์ แต่ถ้าใจอ้วนท้วนสมบูรณ์มาก ๆ ก็จะมีความทุกข์ใจเป็นเครื่องแสดงอาการเต็มที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินมากลดได้ตามแต่วิธีสะดวกของแต่ละคน จะด้วยตนเองหรือพึ่งคอร์สลดน้ำหนักก็ย่อมได้ และสำหรับจิตใจถ้ามีส่วนเกินที่ไม่ต้องการก็กำจัดออกได้เช่นกันณ ขณะนี้ หากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ใจชักจะมีไขมันมาจับ ก็น่าจะเริ่มเข้าคอร์สได้แล้ว เริ่มต้นด้วยการเอาความเป็นตัวเรา ซึ่งก็คือความรู้สึกในใจที่มีอัตตาเป็นเงาซ้อนอยู่มาคลี่แผ่ดู ว่าเห็นความไม่พึงพอใจเกิดขึ้นกับเรื่องอะไรในระดับไหนอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวสะท้อนกำลังส่งของอัตตาว่าแรงเพียงใด แม้ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมาปะทะชีวิต แต่คลื่นที่ส่งออกมาจะแปรสภาพเป็นความรู้สึกให้เราสัมผัสได้ อาจจะเป็นความต้องการการยอมรับจากคนอื่น จากสังคม หรือบ่อยครั้งที่อดเปรียบเทียบสิ่งที่มี สิ่งที่เป็นกับคนโน้น คนนี้ ทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จักอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้ไปลงสนามแข่งขันกับใครอย่างเป็นทางการ และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นความคับข้องใจ แค่นี้ก็นับว่าเป็นไขมันส่วนเกินของใจที่สร้างความรำคาญให้ในระดับต้น ๆ ยังไม่ได้เป็นความทุกข์ที่แสนสาหัสเกินเยียวยาจะว่าไปความรู้สึกแบบนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติความต้องการของมนุษย์ ที่เมื่อความต้องการตามปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีวิตได้รับครบถ้วนแล้ว ต่อมความต้องการของคนส่วนใหญ่ก็จะขยายตัวต่อไป เป็นความต้องการทางนามธรรม คือการได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้าง หรือบางคนตีวงกว้างไปถึงสังคมระดับใหญ่ เปรียบเสมือนการเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่การบริโภคเป็นใหญ่เช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่ต้องเดินกันแล้ว แต่ทุกคนพากันขึ้นลิฟต์สู่ความต้องการระดับสูงกันด้วยความสมัครใจ
ทุกคนต่างพาใจตัวเองขึ้นไปสู่สิ่งที่ท่าน ว. วชิรเมธี เรียกว่า หอคอยแห่งการเปรียบเทียบ หอคอยแห่งการยอมรับ ซึ่งถ้าใครขึ้นไปยังไม่ถึงตามเพดานที่ต้องการ ก็จะต้องเผชิญกับอารมณ์รบกวนใจ...ทุกข์จากการเปรียบเทียบ จากการที่ไม่เท่า จากการไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ขั้นพรหม ไม่ใช่ทุกข์ของคนหาเช้ากินค่ำ เป็นทุกข์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งมันง่ายต่อการจัดการ... ที่ว่าง่ายก็เพราะให้แก้ที่เหตุ เมื่อเป็นความทุกข์ทางใจก็ต้องแก้ที่ใจ ...ทางออกคือการวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตได้เห็นและมีความเข้าใจในความไร้สาระของอัตตาที่ปรุงแต่งยึดถืออยู่ แล้วความรู้สึกเปรียบเทียบจะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีอัตตาที่จะไปเปรียบเทียบความรู้สึกว่าไม่เท่าคนอื่นจะไม่เกิดขึ้น เพราะตัวที่จะไปวัดความเท่าเทียมมันไม่มีต้นขั้วมันไม่ได้อยู่ที่ทุกข์เพราะเปรียบเทียบ เพราะไม่เท่า หรือเพราะการยอมรับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สามเรื่องนี้ ปัญหาอยู่ที่อัตตามันมีความเข้มข้น ความรู้สึกสามอย่างนี้มันก็งอกงามขึ้นมา วิธีที่ดีที่สุด คือไม่ต้องไปทำอะไรกับปลายเหตุของมัน ให้หันกลับมาหาต้นเหตุแล้วคุณจะวางมันเอง ถ้าจิตเรียนรู้ดูอาการที่เกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นจะหายไปทันที...น้ำหนักทางกายลดได้ด้วยการสลายไขมัน น้ำหนักทางใจลดได้ด้วยการสลายอัตตาการบำบัดส่วนเกินทางใจด้วยการสลายอัตตาให้เห็นผลรวดเร็วทันใจอาจไม่ง่ายนัก แต่ถ้าจะให้ได้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะเห็นได้ง่ายกว่า อย่างน้อยการเรียนรู้ที่จะสร้างเกราะทางใจที่เรียกว่า สติ จะช่วยดึงให้รู้จักการสาวหาเหตุที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น รู้จักมีวิธีคิดที่จะเปลี่ยนทางไหลของอารมณ์ มองเห็นภาพหลายมิติตามความเป็นจริงมากขึ้น หรือมีวิธีรีดอัตตาจากเรื่องรอบ ๆ ตัวได้ดีขึ้นถ้าจะอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าจะ เปรียบ กับคนอื่นก็ให้แค่ เทียบ ให้เห็นความต่าง จุดด้อยที่ต้องปรับปรุง แต่อย่าเผลอส่งตังเองลงไป แข่งขัน ในทันที ซึ่งจะนำความรู้สึกเชิงลบให้เกิดขึ้นเสียก่อน ทีนี้จะต้องมัวแต่หน้ามืดไปด้วยอารมณ์อึดอัด หรืออิจฉาก็แล้วแต่ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาเปลี่ยนแปลงตัวเองสอดคล้องกับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ซึ่งมักจะบอกว่า เวลาทำงานมักจะแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น เพราะแข่งกับตัวเองต้องใช้ สติ แต่แข่งกับคนอื่น อารมณ์ จะพัดมาก่อน เมื่อสติไม่มีที่อยู่ ปัญญา ก็ยิ่งไม่มีที่เกิดถ้าค่อย ๆ สลายส่วนเกินทางใจได้ แรงปะทะกับเรื่องรอบ ๆ ตัว ในชีวิตประจำวันก็จะน้อยลงไปด้วย ไม่ใช่อะไร-ใคร มากระทบก็ฟุ้งกระจายแล้วเข้าคอร์สในขั้นต้น แล้วก้าวต่อไปในขั้นสูง เพื่อเพิ่มวิทยายุทธ์ในการสลายอัตตาโดยพลัน ปรับน้ำหนักใจให้พอดีเพื่อความคล่องตัวในชีวิต !
ดำเนินชีวิตด้วยการเสริมปัญญาตลอดเวลา ตลอดไป...นะคะ