การงานไม่อากูล โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต สูตรสำเร็จในชีวิตต่อไปคือ การงานไม่อากูล คำนี้เป็นคำพระแท้ ๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องแน่ ถ้าไม่อธิบาย การงานไม่อากูล ก็คือ ทำงานมิให้คั่งค้างนั่นแหละครับ คนที่จะเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จในชีวิต นอกจากจะเลือกคบคนดี มีการศึกษา เล่าเรียนดี มีระเบียบวินัย ยกย่องคนควรยกย่อง ตลอดถึงปฏิบัติต่อลูกเมียดีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือการทำงาน ผู้รู้ท่านหนึ่งเปรียบการทำงานดุจคนขับรถ รถมันจะใหม่เอี่ยมเครื่องเคราดี ยี่ห้อโก้เก๋ทันสมัยอย่างไร ถ้าคนไม่ขับเคลื่อนที่ มันก็เศษเหล็กธรรมดา ไม่ต่างจากขอนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง นั่งขี่บนขอนไม้ กับนั่งในรถหรูคันนั้น ได้ผลเท่ากัน คือไปไม่ถึงที่หมาย การจะไปถึงที่หมายได้ก็ต้องสตาร์ทเครื่องแล้วก็ขับไป ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาแล้วนั่งนอนอยู่เฉย ๆ งานการไม่ทำ นอกจากจะไม่เจริญแล้ว จะพานเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเอา เพราะฉะนั้น อยากเจริญต้องทำงาน และทำงานให้มีประสิทธิภาพ มิใช่สักแต่ว่าทำ
วิธีทำงานมีอยู่ ๒ แบบ คือ ทำแบบมงคล กับทำแบบอัปมงคล ทำแบบมงคล คือทำแล้วเจริญ มีหลักอยู่สั้น ๆ ๓ หลักคือ ทำดี ทำเต็มที่ ทำให้เสร็จ ทำแบบอัปมงคล คือทำแล้วล่มจมฉิบหาย มีหลักสั้นเหมือนกันคือ ทำค้าง ทำย่อหย่อน ทำเสีย งานอากูลก็คือ งานค้างนั่นแหละครับ เป็นนิสัยคนทำงานประเภทหนึ่ง (รวมผมด้วย บางครั้ง) มักไม่ชอบทำอะไรให้เสร็จ ทั้งที่ควรให้เสร็จ ทำได้หน่อยหนึ่งแล้วทิ้งไว้ก่อน ผัดผ่อนไปเรื่อย พรุ่งนี้ยังมีเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน อะไรอย่างนี้เป็นต้น เหมือนคนแก่ฟันไม่ดี เคี้ยวอาหารให้ละเอียดไม่ได้ พอจวนจะละเอียดก็กะล่อมกะแล่มกลืนเข้าไป กินก็เท่ากับไม่กิน เผลอ ๆ อาหารที่กลืนเข้าไปไม่ย่อย หรือย่อยยาก เป็นโทษแก่ร่างกายอีกลักษณะคนทำงานคั่งค้างที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนี่งคือ ชอบจับจด ทำงาน ก ได้หน่อยหนึ่ง เบื่อ หันไปจับงาน ข ไปได้หน่อยหนึ่ง หันไปจับงาน ค เลยไม่เสร็จสักอย่าง บางท่านคิดว่าคนเช่นนี้เป็นนักริเริ่ม เริ่มงานหรือวางแผนเก่ง หามิได้ อย่างนี้เขาเรียกว่า คนจับจดต่างหากงานค้างเป็นอัปมงคลก็เพราะก่อผลเสียให้ทั้งทางกายและใจ คิดไม่ดีไม่เห็น ทางกายนั้นเห็นได้ชัด ๆ คือ ทำให้เปลืองแรง ต้องลงแรงถึงสองครั้งเป็นอย่างน้อย แทนที่จะเป็นครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาไถนาไว้แล้วไม่ปักดำ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เสียแรงงานไปครั้งหนึ่งแล้ว พอถึงเวลาจะปักดำจริง ๆ ต้องมาไถใหม่อีก เปลืองแรงไปครั้งที่สอง เรื่องที่เราทิ้งค้างไว้ พอถึงเวลาจะทำให้เสร็จจริง ๆ ก็ต้องนำมาดูย้อนต้นใหม่อีก เพราะลืมไปแล้วว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไร นี่แหละครับที่ว่าเปลืองแรงแล้วเปลืองใจล่ะเป็นอย่างไร งานที่ทิ้งค้างไว้นั้น พอมีคนถามถึงหรือนึกขึ้นมาได้เมื่อไร ใจหายวาบทุกที ยิ่งเป็นงานที่เขากำหนดเวลาแน่นอนว่าไม่เกินวันนั้นวันนี้ด้วยแล้ว มัวแต่เอ้อระเหยอยู่ นึกขึ้นมาได้เหลืออีกสองสามวันจะครบกำหนด ต้องตาลีตาเหลือกรีบ ๆ ทำลวก ๆ พอให้เสร็จ ผลก็กลายเป็นว่าทำอย่างย่อหย่อน ทำเสีย ๆ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ถ้าไม่อยากเสียคนก็อย่าทำงานให้คั่งค้างอากูลนะครับ เพราะคนทำงานคั่งค้างจะต้องได้รับผลเสียทั้งทางกายและทางใจ ทางกายนั้นต้องเปลืองแรงถึงสองครั้ง ทางใจนั้นเวลานึกถึงงานที่คั้งค้างเมื่อใดใจหายวาบเมื่อนั้น เสียสุขภาพจิตมิใช่น้อย
คนที่จะทำงานไม่ให้อากูลคั่งค้างจะต้องมีอิทธิบาท ๔ ประจำใจ คือ ฉันทะ แปลกันว่าความพอใจ ยังไม่สื่อความหมายเท่าที่ควร ถ้าจะให้เข้าใจง่ายต้องแปลว่า ความรักงานและเต็มใจทำ คนเราลงได้รักอะไรหรือรักใครแล้วย่อมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง นึกถึงสมัยยังหนุ่มยังสาวก็แล้วกัน (สำหรับท่านที่ชราภาพแล้ว) คนรักชอบอะไร ต้องการอะไร ก็อุตส่าห์หามาประเคนให้ด้วยความเต็มใจ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำงานก็ไม่แตกต่างกัน เราต้องมีความรัก เพียงแต่แปรความ รักคน มาเป็น รักงาน แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับงานได้เป็นอย่างดีวิริยะ พากเพียรพยายามหรือแข็งใจทำ แข็งใจในที่นี้มิใช้ฝืนใจทำแบบซังกะตาย หากหมายถึงทำงานด้วยความเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าบุก ไม่ว่างานจะใหญ่โตหรือลำบากแค่ไหน พยายาทำเต็มที่ไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากจิตตะ ตั้งใจทำ หมายถึงคิดถึงงานที่เริ่มไว้ตลอดเวลา เอาใจจดจ่ออยู่ที่งานนั้น คิดเปรียบเทียบง่าย ๆ เวลาเรารักใครสักคน เราจะคิดถึงแต่คนที่เรารัก คนที่รักกันคิดถึงกันย่อมไม่มีวันจะทอดทิ้งกันแน่นอน นอกเสียแต่จะหมดรักกันเท่านั้นฉันใด คนที่คิดถึงงานตลอดเวลา ย่อมไม่ทิ้งงาน มีแต่จะคิดหาทางปรับปรุงแก้ไขให้งานก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ฉันนั้นวิมังสา เข้าใจทำ อันนี้หมายถึงทำงานด้วยการใช้ปัญญา ทำอย่างฉลาด คนเราถึงจะรักงานเพียงใด พากเพียรเพียงใด เอาใจจดจ่ออยู่กับงานเพียงใด ถ้าขาดปัญญา ความรู้ ความเข้าใจแล้ว แทนที่งานจะสำเร็จอาจไม่สำเร็จ หรือก่อทุกข์โทษให้ก็ได้ ว่ากันว่า คนโง่ขยันนั้นอันตรายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก เพราะแกจะขยันสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองและคนอื่น ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ บุรุษคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะไปธุระต่างเมือง สั่งให้หัวหน้าลิงช่วยดูแลสวนผลไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ ๆ เจ้านายหายไปสามสี่วัน ต้นไม้ในสวนตายเรียบ ไม่ใช่เพราะลิงมันขี้เกียจทำตามที่เจ้านายสั่ง มันทำอย่างขมักเขม้นทีเดียว มันสั่งให้ลุกน้องช่วยกันตักน้ำมารดต้นไม้ทกเช้า ขณะรดน้ำมันสั่งให้ลูกน้องถอนต้นไม้มาดูทุกครั้งว่ารากมันชุ่มน้ำหรือยัง ถ้ายังให้ราดน้ำลงไปใหม่ ถ้ารากชุ้มแล้วจึงยัดลงหลุมกลบดินใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน แล้วอย่างนี้มันจะเหลืออะไร เจ้านายกลับมาเห็นต้นไม้ตายเกลี้ยงสวนแทบลมจับ นี่แหละโทษของการใช้ลิงโง่แต่ขยันรดน้ำต้นไม้ ที่สำนักงานแห่งหนึ่งผู้บริหารก็โง่ ผู้ช่วยก็โง่ แต่ขยันขันแข็งทำงาน บางทีเซ็นสั่งงานไปทั้งที่ไม่รู้ว่าให้เขาทำอะไร พอเขาถามว่าจะให้ทำอะไรก็ตอบไม่ได้ เรื่องเล็ก ๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ไหว เพราะพวกเขาขยันสร้างเงื่อนปมเสียจริง จนผู้บริหารระดับสูงบ่นปวดศีรษะ ต้องมาช่วยแก้ปัญหาให้ไม่รู้จบสิ้น เวรกรรมจริง ๆ คือเป็นกรรมของหน่วยงานนั้นที่มีผู้บริหารเวร ๆ อย่างนั้น นี่คือโทษของการเอาคนโง่มาบริหารงานสรุปแล้ว คุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานมิให้อากูลคั่งค้างจะต้องมีความเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ ใช้สูตรนี้สูตรเดียว การงานทุกอย่างไม่ว่าใหญ่ว่าเล็กรับรองประสบความสำเร็จแน่นอน
เพลง ดวงใจใจฝัน
โภคะของใคร ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ
ที่จะสำเร็จเพียงด้วยคิดเอา ย่อมไม่มี
มีความสุขกับการใช้สติในทุกความเพียรตลอดไป...นะคะ