สัมภเวสี
โดย ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต
วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ปีที่ ๑๙ ฉบับที่ ๗๐๕๗ ข่าวสดรายวัน
บล๊อกที่แล้ว ได้ตอบคำถามคุณปรียนิตย์ เรื่องโอปปาติกะ โดยนำบทความของอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก มาให้อ่านด้วย ซึ่งในบทความนั้นได้กล่าวว่า...
มีคำที่คุ้นหูคุ้นตาชาวไทยอยู่คำหนึ่งคือ โอปปาติกะ พอเอ่ยถึงคำนี้คนทั่วไปจะเข้าใจทันทีว่า หมายถึงสัตว์ประเภทหนึ่งที่ผุดเกิดขึ้นมาตามแรงบุญแรงกรรม เกิดมาแล้วโตเต็มตัวในทันที บางทีเราเรียกกันว่า " สัมภเวสี "
แต่โอปปาติกะกับสัมภเวสี น่าจะไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไรเอาไว้พูดถึงทีหลัง ในที่นี้ขอพูดถึงโอปปาติกะก่อน....
วันนี้ ปอป้าก็เลยไปหาเรื่อง สัมภเวสี ที่อาจารย์ได้พูดไว้ มาให้อ่านกันต่อ...นะคะ
บทที่แล้ว ผมได้พูดทิ้งไว้ว่า โอปปาติกะกับสัมภเวสีน่าจะไม่ใช่พวกเดียวกัน หลังจากได้ตรวจสอบหลักฐานแล้ว (ที่แล้วมาไม่ค่อยได้สนใจเรื่องประเภทนี้ จึงมิได้ตรวจดู) ขอเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ให้หนักแน่นขึ้นกว่าเดิมว่า " โอปปาติกะ " กับ " สัมภเวสี " ไม่ใช่พวกเดียวกัน โอปปาติกะคืออะไร ได้พูดไว้แล้ว คราวนี้ลองมาดูสัมภเวสีบ้าง คัมภีร์กล่าวไว้อย่างไร
คำว่า สัมภเวสี ไม่ค่อยปรากฏบ่อยนักในคัมภีร์ชั้นต้น (พระไตรปิฎก) แม้กระทั่ง ศาสตราจารย์ริส เดวิดส์ และ ยอร์จ สเตเด ผู้จัดทำพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ โดยรวบรวมคำศัพท์จากพระไตรปิฎก ก็มิได้นำคำนี้มารวมไว้ด้วย ในขณะที่คำว่า โอปปาติกะ กลับไม่ถูกละเลย
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ เมตตสูตร ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย ข้อที่ ๓๘ หน้า ๓๒๓-๔ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้แผ่เมตตาไปยังสัตว์ทุกชนิด ตอนหนึ่งว่า
เย เกจิ ปาณภูตตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา
ทีฆา วา เย มหนฺตา วา มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา
ทิฏฺฐา วา เย จ อทิฏฺฐา เย จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร
" ภูตา " วา " สมฺภเวสี " วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
" สัตว์มีชีวิตเหล่าใด ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวได้ หรืออยู่กับที่ ยาวใหญ่ปานกลาง หรือสั้น ผอมหรืออ้วนพี เราเคยเห็นหรือไม่เห็น อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล ภูต หรือ สัมภเวสี ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงมีความสุขทั่วหน้าเทอญ "
ตอนท้าย พระสูตรนี้พูดถึงสัตว์สองประเภท (ที่อัญประกาศไว้) ที่มีสถานะแตกต่างกันคือ ภูต และ สัมภเวสี พระอรรถกถาจารย์ให้คำอธิบายไว้สองนัยน่าสนใจมาก ดังนี้
นัยที่หนึ่ง ภูต แปลว่า ผู้เกิดแล้ว เป็นแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องเข้าถึงสมภพอีกต่อไป หมายถึง พระอรหันต์ขีณาสพ พูดให้เข้าใจง่าย ภูต หมายถึงพระอรหันต์
ส่วนสัมภเวสี หมายถึงผู้ยังแสวงหาที่เกิดในภพต่าง ๆ อยู่ เพราะยังละสังโยชน์ไม่ได้หมด พวกนี้ได้แก่ พระเสขะ (ยกเว้น อนาคามี เพราะอนาคามีเป็น โอปปาติกะ ดังกล่าวแล้วในคราวก่อน) และปุถุชนทั้งหมด
นัยที่สอง ถ้ายกเอากำเนิด ๔ ขึ้นมาพูด สัตว์เกิดในครรภ์และเกิดในไข่ ขณะที่อยู่ในครรภ์หรือในไข่ เรียกว่าสัมภเวสี ทันทีที่คลอดจากครรภ์หรือออกจากไข่ เป็นภูต
ส่วนสัตว์ที่เกิดในสิ่งสกปรก (เช่น หนอน) และสัตว์ผุดเกิด (เช่น เทวดา สัตว์นรก) ในขณะจิตแรก เป็นสัมภเวสี จากขณะจิตที่สองเป็นต้นไป เป็น ภูต หรือ เวลาเกิด เกิดมาในท่าใด (เช่น ยืน นั่ง) ชั่วระยะนั้นแหละเป็นสัมภเวสี จากนั้นไปคือหลังจากเปลี่ยนอิริยาบถเป็น ภูต
ตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์นี้ จะเห็นว่าท่านชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ภูต หรือ สัมภเวสี โดย
ก. กำหนดเอาสภาวะ หรือสภาพจิต เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่าง คือ สภาพจิตของพระเสขะและปุถุชนที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้หมด เป็น สัมภเวสี สภาพจิตของพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วเป็นภูต
ข. กำหนดเอาระยะเวลา เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่าง คือขณะที่ยังอยู่ในครรภ์หรือไข่ เป็นสัมภเวสี คลอดออกมาแล้วเป็นภูต หรือในจำพวกสัตว์ที่ผุดเกิดเช่น เทวดา สัตว์นรก ขณะจิตแรก หรืออิริยาบถแรกที่เกิดขึ้นเป็นสัมภเวสี หลังจากขณะจิตแรก หรือหลังจากเปลี่ยนอิริยาบถเป็นภูต
จะเห็นว่า สัมภเวสี มิใช่เรื่องของวิญญาณเร่ร่อนหาที่ผุดที่เกิด ดังที่คนส่วนมากเชื่อถือกัน ความเชื่ออย่างนี้ถ้าหากจะมีจริง ก็เป็นเรื่องของลัทธินอกพุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธศาสนา โดยเฉพาะ พุทธศาสนาดั้งเดิม (เถรวาท) เพราะเถรวาทถือว่า เมื่อตายไปแล้ว ขณะจิตที่สองถัดจากจุติจิตคือ ปฏิสนธิจิต จักบังเกิดในภพใหม่ทันที คือตายปุ๊บเกิดปั๊บว่างั้นเถอะ ไม่มีช่องโอกาสหรือระยะเวลาให้วิญญาณพเนจรหาที่เกิด
ถึงแม้พุทธศาสนานิกายอื่น เช่นนิกายสรวาสติวาทินจะเชื่อว่ามี " อันตรภพ " และมีสัมภเวสีเหมือนกัน แต่สัมภเวสีของสรวาสติวาทินก็มิใช่วิญญาณเร่ร่อนเหมือนสัมภเวสีของนักวิญญาณนิยม
ในคัมภีร์ " อภิธรรมโกศ " ของอาจารย์วสุพันธุ์กล่าวว่า มีภพคั่นกลางระหว่างภพนี้กับภพหน้า สัตว์ที่ตายแล้วจะต้องไปเกิดใน " อันตรภพ " นี้ชั่วคราวก่อนที่จะไปเกิดในภพถาวรต่อไป สัตว์ที่ไปเกิดในภพชั่วคราวนี้ มีร่างละเอียดโปร่งใส มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นอกจากทิพยจักษุเท่านั้นจึงจะเห็นได้ มีกลิ่นเป็นภักษา จึงเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า " คันธัพพะ " อายุของสัมภเวสีในอันตรภพ มีตั้งแต่ ๗ วัน ถึง ๗๗ วัน แต่ส่วนมากมักจะถือปฏิสนธิโดยเร็ว ว่ากันว่าสัตว์ในอันตรภพนี้มีจักษุเห็นได้ไกลมาก ถ้ากรรมของเขาเหมาะสมแล้ว เหตุปัจจัยที่จะให้ไปเกิดในภพถาวรพร้อมแล้ว เขาก็จะถือกำเนิดในภพถาวรนั้นทันที
ถ้าเขาเคยทำกรรมชั่วมามาก ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องไปเกิดในนรก ขณะที่อยู่ในภพชั่วคราวนั้น เหตุปัจจัยที่จะให้เขาเกิดในนรก ก็จะบันดาลให้เขาเกิดความหนาวเย็นเหลือที่จะทน แลเห็นไฟนรกเป็นของอบอุ่น จึงเกิดความปรารถนาจะเข้าไปสู่ไฟนรกนั้น แล้วเขาก็จะไปเกิดในนรกตามความปรารถนาทันที
สัมภเวสี ในอันตรภพตามความเชื่อของสรวาสติวาทินก็เป็น " สัตว์ " (BEING) ที่เกิดแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ยังไม่เกิด สัมภเวสีก็สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อนก็วิญญาณเร่ร่อน หามีอันใดเกี่ยวข้องกันไม่
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จากคุณวนารักษ์
เพลง นกขมิ้น
อย่าละห้อยความหลัง อย่ามัวหวังอนาคต
มีสติในการดำรงชีวิต ตลอดไป...นะคะ