1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานทักษิณ
คัดลอกมาจาก บทความของคุณกฤษณกมล website: //www.oknation.net/blog/benz/2007/08/01/entry-1 ซึ่งเราก็ไม่ทราบเค้าเป็นใคร ... เห็นว่า เป็นข้อมูลทีแน่นดี และตรงกับความคิดของเรา และคุณกฤษณกมล ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ ก็เลยคัดลอกทั้งหมดมาไว้ใน blog นี้ค่ะ อยากให้อ่านกันอย่างเป็นกลาง ... มองที่ตัวเลข ตารางเวลา และหลักฐานที่คุณกฤษณกมล นำมาอ้าง ... แล้วลองวิเคราะห์ดูกันค่ะ
"ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ" "คมช. ...ออกไป!!!" "เจ๊ง!...เครียด...คิดถึงทักษิณ" หรือบางคนเติมลงไปว่า "เศรษฐกิจเจ๊ง!...เครียด...คิดถึงทักษิณ" นี่คือประโยคยอดนิยมที่พูดกันติดปากในการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงขณะนี้ เนื่องด้วยภาพของภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นยังติดตาและตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน โดยเข้าใจว่าผู้ที่กู้วิกฤตเศรษฐกิจนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิด! เพราะเรื่องของเศรษฐกิจนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย ไม่ได้จำเพาะเจาะจงในเรื่องของปัจจัยทางการเมือง พรรคการเมือง หรือตัวบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น! เศรษฐกิจ หรือเรื่องของปากท้อง มีความสัมพันธ์กับความนิยมที่มีต่อผู้นำประเทศในแต่ละช่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่มีหลักคิดพื้นๆเพียงว่า "หากเศรษฐกิจช่วงไหนดีจะยกประโยชน์ให้รัฐบาลที่บริหารประเทศในขณะนั้น" และ "ถ้าเศรษฐกิจช่วงไหนไม่ดีจะโยนบาปให้รัฐบาลที่บริหารประเทศขณะนั้นเช่นกัน" เนื่องด้วยหลายคนไม่ได้ศึกษาเรื่องความเป็นไปทางเศรษฐกิจ หรือไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง รังแต่จะเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจาก ความเป็นจริง... ตัวอย่างเช่น ปัจจุบัน(ส.ค. 50)ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ประชาชนที่ไม่รู้ข้อมูลส่วนใหญ่จึงกล่าวโทษแก่รัฐบาลสุรยุทธ์ รวมไปถึงคมช. ว่าไม่มีความสามารถในด้านธุรกิจ ซึ่งความจริงเป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยอย่างมากและต่อเนื่อง นอกจากนี้หากดูลึกลงไป เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ถูกทำการรัฐประหารด้วยซ้ำไป (หาข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังได้ที่ //www.bot.or.th) หากมีโอกาสผมจะอธิบายรายละเอียดในคราวต่อไปส่วนการปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ เพราะการจะปลดหนี้ได้นั้นต้องเป็นผลจากการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ไม่ใช่รัฐบาลคุณทักษิณมาบริหารประเทศเพียง 2 ปีแล้วใช้ความสามารถของตนเองล้วนๆ ทำให้ไทยปลดแอกจาก IMF ได้ และก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาโดยรัฐบาลชวน 2 เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะปัจจัยสำคัญอีกประการคือ "วงจรธุรกิจ" หรือ "วัฏจักรเศรษฐกิจ" ที่มีขึ้น-ลงตามรอบปกติอยู่แล้ว รวมไปถึงธรรมชาติของค่าเงินที่เปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะแปลงวิกฤตเป็นโอกาสสำหรับภาคการส่งออกทันทีฉะนั้น แล้วการที่ประกาศใช้หนี้ IMF และรณรงค์ให้คนไทยติด "ธงชาติไทย" หน้าบ้านก็เป็นเพียง "การตลาดสวมรอย" คือการ "สวมรอย" เป็นผู้แก้วิกฤตชาติเสียเอง ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้นั้นมีดังนี้
ปัจจัยที่ 1 ค่าเงินบาทที่มีผลต่อการส่งออกหลังปี 2540 การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 (กรณีของไทยเมื่อลอยแล้วเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาท/US$ มาเป็นประมาณ 40 บาท/US$) ส่งผลให้การส่งออกเติบโตขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยจะดูราคา ถูกลงในมุมมองของต่างชาติทันที และคิดเป็นเงินบาทได้มากกว่าเดิม อธิบายอีกมุมก็คือ "คนอเมริกันถือเงินดอลลาร์เท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าไทยได้จำนวนมากขึ้น" ซึ่งจุดนี้ใครๆ ก็คิดว่าคุณทักษิณทำให้ส่งออกได้มาก ถ้าขาดคุณทักษิณแล้วประเทศไทยคงจะแย่ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะเรื่องของ "ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง" คือ 1 ใน 3 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนปัจจัยที่ส่งเสริมให้การส่งออกดีขึ้น 1. ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง 2. ราคาสินค้า 3. เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว นอกจากนี้การลอยตัวค่าเงินบาทมีส่วนให้ดุลการค้าของไทยเราเกินดุลอีก การดูดุลการค้าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการดูการส่งออกอย่างเดียว เพราะนอกจากเราจะดูว่าเราขายของออกนอกไปเท่าไหร่ ต้องหักของที่เราซื้อเข้าประเทศด้วยไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ เหล็ก เป็นต้นที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีดำ (ที่เกินจากเลข 0) คือ เกินดุลการค้า (ส่งออกมากกว่านำเข้า...ได้เปรียบเขา) แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีแดง (ที่ต่ำกว่าเลข 0) คือ ขาดดุลการค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก...เสียเปรียบเขา)
ดุลการค้าคืออะไร? ดุลการค้า = ส่งออก – นำเข้า ก่อนวิกฤติปี 40 ไทยขาดดุลการค้ามาตลอด การส่งออกยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าในบางปีจะ ส่งออกได้มาก แต่ก็ยังสู้การนำเข้าไม่ได้ นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน เหล็ก ทองคำ จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบเหล่านั้น รวมถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ "อย่างเกินตัว" และเมื่อไทยจำเป็นต้องลอยตัวค่าเงินบาทย่อมส่งผลเสียต่อผู้ที่กู้เงินในรูป ของเงินตราต่างประเทศ แต่ในด้านของผลดีคือ สินค้าไทยดูราคาถูกลงในสายตาของต่างชาติในทันที! การส่งออกได้รับผลดีในช่วงแรกคือส่งออกได้รับเงินมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปัจจัยใดๆ มาส่งเสริม ส่วนการนำเข้าไม่ต้องพูดถึง เพราะลดลงทันทีถึง 33.8% ในปีแรกที่ลอยตัวค่าเงินบาท คนไทยไปเที่ยวเมืองนอกลดลงทันที (ช่วงแรกๆ) ในทางกลับกันคนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น นี่คือกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่คุณทักษิณยังไม่มาบริหารประเทศ จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยจะชี้ให้เห็นว่าในปี 2541 ไทยเกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2522 (ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลถึงแค่ปี 2522) และในปี 41 นั้นเองที่กลับเป็นรัฐบาลชวนเสียอีก ที่ดุลการค้าเกินดุลมากเป็นประวัติการณ์ คือ เกินดุลถึง 12,200 ล้าน US$ ถามว่าเกี่ยวกับคุณชวนไหม? คำตอบคือ "ไม่เกี่ยว" และ "ไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณเช่นกัน" มันเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว หมายถึง ไม่ว่ารัฐบาลชุดใด มาบริหารหลังลอยตัวค่าเงินบาท มูลค่าการส่งออกจะมีมากขึ้นทันที เพียงแต่ในอนาคตข้างหน้า หากจะแข่งขันให้ได้ในระยะยาว ก็ต้องเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ การส่งออกของไทยสามารถเติบโตขึ้นได้หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากเงินที่เคยสูญไปกับการปกป้องค่าเงินบาทเมื่อปี 39-40 ก็กลับเป็นการสะสมเงินทุนสำรองฯ โดยการส่งออก และการท่องเที่ยว ไม่ได้เป็นเพราะการบริหารงานของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นไปตามธรรมชาติของค่าเงินซึ่งกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี! ถึงจุดนี้ผมคิดว่ามีหลายคนแย้ง ว่าคุณทักษิณสามารถหาตลาดส่งออกได้ แต่หากสมมติให้คุณทักษิณมาบริหารประเทศในช่วงก่อนวิกฤติ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท/US$ ผมรับรองได้ว่าต่อให้หาตลาดส่งออกสักเท่าใดมูลค่าการส่งออกของไทยก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ และจะยังขาดดุลการค้าเหมือนเดิม จากแผนภูมิแท่งจะเห็นว่า กลับเป็นปี 48 (สมัยคุณทักษิณ) ด้วยซ้ำไปที่ไทยขาดดุลถึงกว่า 8,000 ล้านUS$ ถามว่า...เป็นความบกพร่องของคุณทักษิณอย่างนั้นใช่หรือไม่? หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดการชุมนุมในรูปแบบของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเมื่อปลายปี 48 ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็บอกว่าชุมนุมจนเศรษฐกิจไทยพัง!!! อย่างนั้นใช่หรือไม่? คำตอบคือไม่ใช่ทั้งคู่ เพราะถ้าเราดูในรายละเอียดจะเห็นว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับราคาสูงขึ้นอย่างมาก จึงเป็นผลให้ไทยขาดดุลการค้าในปีนั้น
ปัจจัยที่ 2 อัตราดอกเบี้ยต่ำที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดตัวหนึ่งที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงซบเซา หรือลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจก็ได้ แล้วแต่สภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในแต่ละช่วงเวลา การกำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งประชุมกันทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งๆ ดังนั้นในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 "ดอกเบี้ยต่ำ" จึงเป็นตัวหลักที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปต่อได้...ที่สำคัญ "ดอกเบี้ยต่ำ" ไม่ได้เกิดจากการสั่งการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" แต่อย่างใด หากแต่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของช่วงเวลานั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า "เป็นไปตามกลไกตลาด" ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย //www.bot.or.th/ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามภาวะตลาด โดยการกำหนดทิศทางโดย กนง. และนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้เริ่มตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ "ดอกเบี้ยต่ำ" ก็ส่งเสริมให้คนในประเทศเริ่มจับจ่ายใช้สอยเมื่อคนเริ่มจับจ่ายใช้สอย ...ก็ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆเมื่อเงินหมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆ ...ร้านค้า บริษัทต่างๆ ก็มีรายได้ และเกิดการลงทุนเพิ่ม, การจ้างงานเมื่อบริษัทมีรายได้ และคนมีงานทำ ...ก็มีเงินใช้จ่าย และส่งภาษีเมื่อมีเงินส่งภาษี ...รัฐฯก็มีเงินงบประมาณที่นำมาใช้จ่าย (หรือใช้หนี้) ต่อไปได้และผลก็คือเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในที่สุด "กระบวนการนี้อาจไม่ได้เริ่มทันทีที่ใช้นโยบายนี้ แต่จะค่อยๆส่งผล...เป็นไปตามวัฎจักรของเศรษฐกิจ" แม้วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จะทำให้หลายบริษัทต้องปิดกิจการลง โดยผลกระทบเกิดกับบริษัทที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ...ที่เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วมีผลทำให้หนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเพียงชั่วข้ามคืน... แต่เศรษฐกิจในส่วนอื่นแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังมีกำลังพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ เช่นในรูปแบบของ SME หรือในภาคของสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศอย่างมาก (ส่งออกได้มากขึ้นเป็นไปตามค่าเงินบาทที่เปลี่ยนไป เพราะธรรมชาติของค่าเงินที่อ่อนตัวลงจะสร้างความได้เปรียบให้แก่ไทย...ไม่ เกี่ยวกับความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) แตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เกิดจากการสร้างภาระหนี้สินอย่างกว้างขวางแก่ประชาชนระดับรากหญ้า!บางคนอาจสงสัยว่า "จากกราฟ...ทำไมในช่วงต้นของรัฐบาลชวน หลีกภัย (หลังจากพลเอกชวลิต ลาออก พ.ย. 40) ดอกเบี้ยกลับเพิ่มสูงขึ้นมาก?...ตรงข้ามกับที่เราเข้าใจว่าเศรษฐกิจเกิด วิกฤตต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสาเหตุที่ไทยจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง ในช่วงแรกของวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะตอนนั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างไม่หยุดยั้ง จาก 25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าจน 60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป ดังนั้นเพื่อให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพก่อน และหยุดการไหลออกของเงิน จึงต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง เมื่อค่าเงินบาทมีเสถียรภาพแล้วจึง ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานี่คือสิ่งที่ "รายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน" ทุกเช้าวันเสาร์(แต่ก่อน) ไม่เคยบอกให้กับประชาชนได้รับรู้!!! คุณทักษิณน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เอื่อต่อการบริหารประเทศบ้างแล้ว หลังจากคุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 44 แต่ด้วย "การตลาดนำการเมือง" จึงสร้างความได้เปรียบทางการเมือง และในทางกลับกันก็สามารถสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ แก่คนไทยจำนวนมากชาวบ้านที่ไม่รู้ไม่มีความผิด ไม่ใช่ความผิดของคนที่ไม่รู้ และผมไม่มีสิทธิ์ใช้คำดูถูกดูแคลนชาวบ้านอีกหลายคนที่ไม่รู้เรื่องราวเช่น นี้...ผมอธิบายได้เพียงเท่าที่ผมจะอธิบายได้ อยู่ที่ว่าพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่...
ปัจจัยที่ 3 "ภาระหนี้ต่างประเทศ" ที่ลดลงตั้งแต่ก่อนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นที่ทราบดีว่าหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วไปในทางอ่อนค่าลงจะ ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ราคาพวงกุญแจนำเข้าจากสหรัฐฯ มีราคาชิ้นละ 1 US$ ซึ่งก่อนลอยตัวฯ เมื่อตีค่าเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 25 บาท(โดยประมาณ) แต่เมื่อลอยตัว(แล้วเงินบาทอ่อนค่าลง) ราคาพวงกุญแจ ณ สหรัฐฯ แม้จะมีราคา 1 US$ เหมือนเดิม แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ที่ประมาณ 40 บาท/US$ จึงทำให้ราคาพวงกุญแจนำเข้าชิ้นนั้นเพิ่มราคาเป็น 40 บาท (ถ้าคิดตามปัจจุบันพวงกุญแจพวงนี้จะคิดเป็นเงินไทยประมาณ 33.50 บาท) ภาระหนี้ต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เพียงชั่วข้ามคืน วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ผู้ใดก็ตามที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ เมื่อตีค่าเป็นเงินบาท ก็จะมียอดหนี้สูงขึ้น เงินบาทอ่อนตัวเท่าใด ยอดหนี้ก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นว่าก่อนที่คุณทักษิณจะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปี 2544 ภาระหนี้ต่างประเทศนั้นก็ได้ลดลงไปมากแล้ว จากที่เคยอยู่ในระดับ 105.1 พันล้านUS$ เมื่อปี 2541ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย จากแผนภูมิแยกให้เห็นชัดเจนว่าตั้งแต่ปี 2544-2549 คือช่วงที่คุณทักษิณบริหารประเทศ ในกรณีนี้หมายถึงการกู้เงินจากต่างประเทศมียอดที่ลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งปัจจัยนี้ก็ช่วยให้การบริหารประเทศในสมัยรัฐบาลทักษิณนั้นง่ายกว่ารัฐบาลที่มารับช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจคือ "รัฐบาลชวน หลีกภัย" ที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ "เชื่องช้า" และ "บริหารงานไม่เป็น" กลับเป็นช่วงก่อนเหตุการณ์ชุมนุมโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ด้วยซ้ำไปที่ภาระหนี้ต่างประเทศกลับมีแนวโน้มสูงขึ้นคำ ว่า "เจ๊ง...เครียด...คิดถึงทักษิณ" อยากให้คุณทักษิณกลับมาเป็นผู้แก้วิกฤตเศรษฐกิจนั้นเป็นคำพูดของผู้ที่ไม่ รู้ หรือรู้แล้วแกล้งไม่รู้เท่านั้น
ปัจจัยที่ 4 ยอดคงค้าง NPL ทั้งระบบ NPL หรือ สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (ภาษาปาก) ก็ได้บริหารจัดการตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะเข้ามาบริหารประเทศแล้วที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียนี้จะให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) หรือหน่วยงานปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้สมัครใจแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยกัน อาจทำได้ทั้งการยืดระยะเวลาชำระหนี้ การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัด (เนื่อง จากหลังวิกฤตเศรษฐกิจมีลูกหนี้หลายรายขาดการผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคาร ลูกหนี้รายนั้นจึงตกไปอยู่ในเกณฑ์ของ NPL แต่แม้จะหยุดผ่อนชำระ ดอกเบี้ยก็จะยังเดินไม่หยุด อีกทั้งมีดอกเบี้ยปรับกรณีผิดนัดอีก กลายเป็นเพิ่มภาระให้กับลูกหนี้รายนั้น การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่ลูกหนี้ จึงเป็นการช่วยให้ลูกหนี้ยังพออยู่ในสภาพที่จะสามารถชำระหนี้แก่ธนาคารได้ ต่อไป) นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียงร้อยละ 0.01 "ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่พรรคไทยรักไทยยังอยู่ในช่วงก่อตั้งพรรค" แล้ว อย่างนี้จะเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเพื่อทำอะไรกับ "เศรษฐกิจไทย"? ในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้แก้ไขปัญหาหลักด้วยซ้ำไป เรื่องของ "เศรษฐกิจ" มีองค์ประกอบของ "วัฎจักรที่มีทั้งขึ้น-ลง" เป็นตัวหลัก ส่วน "นักการเมือง" ไม่ใช่ผู้ควบคุมทุกปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ผมขอจบบทความ "ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ" ด้วยข้อความที่ผมเคยเขียนเมื่อ พฤษภาคม 2549 ไว้ดังนี้ " หากประเทศไทยไม่เคยมีนายกชื่อทักษิณ ประเทศไทยพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ได้อยู่แล้ว เพราะวิกฤตได้แก้ไขมาก่อนหน้า ตรงกันข้าม...วิกฤตปัจจุบันเกิดจากการใช้นโยบายประชานิยมสร้างนิสัยเสียแก่ ประชาชน เพื่อหวังคะแนนเสียงทางการเมือง และทำให้ยิ่งต้องใช้เงินคลังมากขึ้น...มากขึ้น ผู้นำประเทศที่คนไทยต้องการคือผู้ที่ยืดแนวทางการพัฒนา "คน" เป็นหลัก ผู้นำที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตัดสินใจด้วยความรอบคอบ และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน...ไม่มีทักษิณประเทศไทยสามารถอยู่ได้และดีกว่านี้ แน่นอน...เสียดายที่คนไทยหลายคนมองเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง และชื่นชมคนเล่นละครเป็นพระเอกในดวงใจ" (1 ใน 19 ล้านเสียง)ที่ว่าทักษิณเก่งนั้น คือ "เก่งประชาสัมพันธ์" จริงๆ ครับ ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่...เพื่อสร้างความกระจ่างแก่คนรักทักษิณที่ยังขาดข้อมูล
Create Date : 03 กันยายน 2551
22 comments
Last Update : 3 กันยายน 2551 21:57:54 น.
Counter : 2659 Pageviews.
โดย: ติ๊ก IP: 202.91.19.204 4 กันยายน 2551 0:39:30 น.
โดย: ติ๊ก IP: 202.91.19.204 4 กันยายน 2551 0:58:57 น.
โดย: dorgchant IP: 125.27.66.163 4 กันยายน 2551 1:29:17 น.
โดย: ฮาทสึ 4 กันยายน 2551 3:35:35 น.
โดย: kid^_^ 5 กันยายน 2551 0:58:54 น.
โดย: tempopo 5 กันยายน 2551 7:06:10 น.
โดย: s.o.s IP: 203.151.36.226 5 กันยายน 2551 9:32:43 น.
โดย: Galilee 5 กันยายน 2551 13:12:07 น.
โดย: ตองดี IP: 125.26.228.85 5 กันยายน 2551 21:05:28 น.
โดย: พัดค่ะ IP: 58.8.5.200 8 กันยายน 2551 17:54:44 น.
โดย: iruku IP: 118.173.88.87 16 ตุลาคม 2551 20:40:35 น.
โดย: จิต IP: 124.120.12.36 16 พฤศจิกายน 2551 10:47:56 น.
โดย: ki IP: 203.146.116.186 19 มกราคม 2552 10:01:39 น.
โดย: minty IP: 180.210.216.67 4 พฤษภาคม 2553 23:28:51 น.
โดย: ตาเกตุ IP: 124.122.189.33 5 มิถุนายน 2553 11:38:04 น.
"It's Phoebe! That's,
P as in
P hoebe;
H as in
h oebe,
O as in
o ebe;
E as in
e be;
B as in
b ebe; and
E as in ...
E llo there mate." Friends
There is no copyright here, unless otherwise specifically mentioned. If you find it useful, just take it. Thanks!
CHAT BOX
LAST UPDATES
LOSEING WEIGHT (BBC)
SKINCARE MINI SERIES
FAVORITES
มันเป็น inborn trait ของทักษิณอ่ะ ถนัดการตลาด โวโอ้อวด เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น