ว่างมาเล่าต่อละ ... ถึงไหนแล้วนะ ... อ้อ ... ออกจากสนามบิน ... หายใจไม่ออก ... พอจากสนามบิน ไปถึง ที่จอดลด ก็เล่นเอาเราแย่เหมือนกัน ... พอขี้นรถ ... นั่น จะไปนั่งฝั่งคนขับซะงั้น (ประจำเลย) ... คือ ที่แคนาดามันพวงมาลัยคนละข้างกับเมืองไทย ไปถึงโน่นก็เที่ยงคืนกว่า ... หมดแรง ... ยังอุตส่าถ่อสังขารไปหา ข้าวกะเพราไข่ดาวกินตอนตีหนึ่งนะ ไม่งั้นลงแดงดิ้นกระแด่วๆ แน่ ... แบบว่า อยากกะเพราสดๆ มาก ... กินเสร็จ ... ก็ got high กับกะเพรา พอหอมปากหอมคอ ... ได้เวลานอนพักผ่อนต่อละกัน ... โปรแกรมเที่ยว เนี่ย ไม่ค่อยมีหรอก ... เพราะมีทัวร์คอนเสิร์ต ... ไม่ใช่ ... มีเดินสายเยี่ยมญาติน่ะ ... ก็ไปซะทั่ว ไม่ได้มีเวลานอนอยู่บ้านซักเท่าไหร่ วันแรกเนี่ย ก็ได้ออกไปตะแล็ดแต๊ดแต๋คนเดียว ... ไม่มีใครว่างพาไป ... ต้องรอพรุ่งนี้เค้าถึงจะมีคนว่างพาไปเที่ยว ... งั้นก็ไปใกล้ๆ แถวๆ นี้ละกัน ... ก็ไปมันเรื่อยๆ ... ตอนเที่ยง มีนัดกินข้าวกัน ... จะไปกิน MK อันนี้ก็อยากมาก (ลงแดงไปหลายรอบแล้ว) ... เราไปยังไงเหรอ ... ขึ้นรถเมล์ค่ะ ... ระดับไหนแล้ว ... พอขึ้นไป ... เออ ลืม ถามไปเลย ว่าค่ารถเมล์มันเท่าไหร่ ... อ่ะ วางท่าซะหน่อย (เดี๋ยวเค้าจะหาว่าบ้านนอกเข้ากรุง) ... ก็ควักแบ้งค์ยี่สิบมาจ่ายซะก็หมดเรื่อย ... จ๊ากกระเป๋าเงินทอนเงินมา 10 บาท ... (เอ หรือ 12 บาทนะ) ... คือ แบบว่า เมื่อก่อน ค่ารถเมล์ครีมแดงมัน 3.50 เอง ... ไหงมันขึ้นไปขนาดน้าน (กะว่าซัก 5 บาท) ... ปาดเหงื่อ ครั้งแรก ระหว่างนั่งรถเมล์ ก็ รู้สึกรำลึกถึงความหลังตะหงิดๆ ... เออ ก็ดีนะ (แต่ร้อนว่ะ) ... ดีนะ รถไม่แน่น
พอไปถึงห้างที่นัดเจอกันตอนเที่ยง ... ก็ลงรถเมล์ ... พอลงไปถึง ... ดีนะ มีสะพานลอย (เดี๋ยวค่อ่ยเล่าเรื่องข้ามถนน) ... พอเดินเข้าห้าง ... โหย หัวใจเต้นระรัว ... ฉานจะ shop ให้แหลก เลย ... แต่วันนี้เล็งๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ทะยอยซื้อเราก็เดินดูโน่นดูนี่ ... โดยเริ่มต้นที่ดูเสื้อผ้า ... คือกะว่าจะเปลี่ยนทั้งตู้เสื้อผ้าเลยว่างั้น ... เพราะเราเพิ่งเริ่มทำงาน จะเอาชุดกะโปโลที่ใส่ตอนเรียนก็ยังไงอยู่ ต้องใส่ให้มัน "โอ" ดี (เดี๋ยวนี้เห็นของพุดกันจัง ... แต่ขัดหูเรานิดหน่อย ... ทำไมไม่พูด "โอเค" ให้มันรู้แล้วรู้รอด) ... เราก็เดินดูไปเรื่อยๆ ... แบบว่า ... อะไรวะ ... ทำไมเสื้อผ้ามันมีแต่ราคา 1000 บาท up เลยวะ ... มันเกิดอะไรขึ้น ... 1,000 บาท เนี่ย ยี่ห้ออะไรเราก็ไม่รู้จักเลย คุ้นๆ ว่าเมื่อก่อน 300 บาท ก็พอซื้อเสื้อในห้างได้แล้วนะ ... 1000 นึง เนี่ย โคตรหรูแล้วนะ (สำหรับเรานะ) ... แต่นี่ ... ซุ้มไหนๆ ก็ 1,000 up ... 1,000 เนี่ย มัน 33 CAD เลยนะเนี่ย ... ก็พอๆ กับซื้อที่นี่เลยซิวะ ... เห็นแล้วซื้อไม่ลงเลย ... เริ่มกลุ้มได้เวลานัดแล้ว น้องเราโทรเข้ามาว่า มาถึงแล้วนะ ... ไปกิน MK กัน ... ไปเจอกัน ... ก็กินกัน 4 คน ... ก็สั่งโน่น สั่งนี่ ตามปกติที่เราเคยกินสมัย 7 ปีที่แล้ว ... กินเสร็จ ... จ่ายเงิน ... จ๊าก ... 1,xxx บาท ปลายๆ ... นี่มันปล้นกันรึเปล่าวะ ... โอย จะเป็นลม ... เมื่อก่อนเนี่ย กินกันทีไรก็จ่ายกันคนละ 100 กว่าๆ ก็อิ่มจะแย่ ... นี่มันคนละ 4xx เลยเหรอเนี่ย ... ดีนะ มีคนจ่ายให้ ... หุๆๆ
เสร็จแล้วเราก็ไปเดินดูของด้วยกัน ... เราก็ถามว่า ... ที่ห้างอื่นมันราคาแบบนี้รึเปล่าเนี่ย ... คำตอบที่เราได้คือ 1000 เนี่ย ราคามาตรฐานมาก ... เราก็เดินไป บ่นไป ... สงสัยคนแถวๆ นั้นท่าจะรำคาญเรามาก ... เห็นราคาแล้วก็หารด้วย 30 ตลอด ... หารเสร็จ ทำหน้าตาบูดเบี้ยว แล้วก็เดินออกมา แล้วก็บอกบ่นพึมพำว่า ... "ไม่คุ้ม" ... "ไปซื้อที่โน่นดีกว่า (หมายถึงแคนาดานะ)" น้องเราก็เลยบอก ... เออ (ท่าจะรำคาญเรามาก) ... งั้นไปดูอันที่มัน on sale ละกันนะ ... เราก็ประกาศเลยนะ ... ถ้าไม่ 50% ฉานไม่ซื้อนะ ... น้องเราบอก ... เออ คงได้ที่ถูกใจหรอกนะ ไหนจะรองเท้า ชุดชั้นใน ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า ชุดนอน ... โอย ... หัวจรดเท้าเลย ... กรูจะเอาอะไรใส่วะเนี่ยซักพัก ... น้องและเพื่อน ก็ปล่อยให้เราเดินต่อคนเดียว (เพราะต้องกลับไปทำงานกัน) ตอนเย็นนัดเจอกันอีกที ทีนี้จะไปกันข้าวกันกับญาติๆ ไม่กี่คน (เอ ... 10 คนมั๊ง ... ไม่ได้นับ) ... คือเรารีเวสตว่าอยากเห็นสะพานพระราม 8 ... ก็เลย เออ มานั่งเรือกินข้าวกันดีกว่า ... ระหว่างนั่งเรือก็กินอย่างเอร็ดอร่อย ... อาหารไทยนี่มันอร่อยจริงๆ ... แล้วก็กินลมชมวิว ... สวยยยยยยยยยยยยยยมาก ต้องยอมรับเลย ... พอกินเสร็จ ... จ่ายเงิน ... บิลมา ... จ๊าก ... ซัดไปเฉียด 4,xxx ... นี่มันปล้นเราอีกแล้วเหรอ ... อะไรกันเนี่ย ... นี่มันกินอาหารมื้อนึง มันล่อไปครึ่งหมื่นเลยเหรอ ... แต่ไม่ต้องจ่ายอีก รอดตัวไป
วันถัดมา ... นัดเจอกับน้องเราที่ทำงาน ... พอไปถึงหน้าที่ทำงาน ก็ต้องข้ามถนน ไปอีกฝั่งนึง ... ไม่มีสะพานลอย ... รถก็เยอะมากๆๆ ... เรายืนจดๆ จ้องๆ อยู่ เกือบ 10 นาทีก็ไม่กล้าข้าม T_T กลัวรถชน ... แอบคิดในใจ ... ทำไมคนขับรถใจร้ายจัง ... ไม่จอดให้คนข้ามเลย คือที่นี่เนี่ย รถมันมีแต่จะจอดรอให้เราข้าม ขนาดบางทีเรายังอีกไกลกว่าจะเดินถึงถนน รถก็จะจอดกันให้คนข้าม (ประมาณว่า หลับตาเดินข้ามถนนก็ยังไม่โดนรถชน ... เราก็เว่อร์ไปซะ) ... คิดอีกที ... เออ เมื่อก่อนเราก็ข้ามถนนได้นี่หน่า เดี๋ยวนี้ไม่กล้าข้าม ... 10 นาทีผ่านไป ... ความจริงมีคนยืนอยู่ไกลๆ ข้ามกันไปหลายคนแล้ว แต่ใจไม่กล้าพอ (จังหวะไม่ได้) ... จนในที่สุด มีชายหนุ่มรูปงาม (ความจริง ไม่ได้เห็นหน้าหรอก) เหมือนพระมาโปรด ... เดิมข้ามถนนใกล้ๆ ... เราก็เลยวิ่งตามเลย ... ไปถึงเกาะกลางถนน ไปยืนรอพักนึง ... แล้วชายหนุ่มรูปหล่อก็ดันวิ่งข้ามไปซะก่อน ทิ้งเราขาตาย ไว้กลางถนนคนเดียว ... ฮือๆ T_T ... เราก็ยืนรออยู่พักใหญ่ (อีกแล้ว) ... จนน้องเรากับเพื่อนของน้องเราเดินออกมาพอดี ... มายืนหัวเราะเยาะเรา ... ซักพัก ... ก็ช่วยเราดูรถให้ข้ามถนน ... T_T ข้ามถนนในกรุงเทพมันช่างยากซะจริง T_Tจากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงกัน ... วันนี้กินก๋วยเตี๋ยวเรือ อย่าให้พูดถึงราคาเลยนะ ... แล้วก็เดิน shopping ด้วย ทีนี้ก็ไปอีกห้างนึง ... แล้วก็มีคนช่วยขับรถไปโน่นไปนี่ด้วย (ไม่งั้นแย่แน่เลยเรา) ... ไปเดินหาของลด 50% เดินจนเมื่อย ก็ได้เสื้อผ้ามาแค่ 3 ชุด ... แล้วก็ได้ไปเดินตามประตูน้ำ (ร้อนโค้ดๆ) ... ได้เสื้อผ้าใส่เล่นมานิดหน่อย ... ตกเย็นแม่เราให้ซื้อผลไม้ เตรียมไปไหว้เช็งเม้ง ... ไอ้เราก็เดินหยิบโน่นหยิบนี่ไปเรื่อยๆ ... เสร็จแล้วก็มาที่แคชเชียร์ ... ปรากฎว่า ... 2,xxx บาท ... นี่มัน เกิดอะไรขึ้นกัน ... เกิดอาการรับไม่ได้แล้ว ... คือมันมากเกินไปแล้ว (อารมณ์ตอนนั้นเนี่ย จริงๆ นะ ... อารมณ์ต่อต้านอย่างแรง) ประเทศไทยเราเป็นอะไรไป ... ทำไมค่าครองชีพมันแพงกว่าที่แคนาดาอีกล่ะเนี่ย ... รายได้ที่แคนาดาเดือนนึง เทียบกับรายได้คนไทยบางคนเป็นปีๆ กว่าจะได้มา
ย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้ว ... ตอนเรามาเรียนอยู่แคนาดาใหม่ ... เวลาจะไปกินนอกบ้าน ... 10 cad เนี่ย คูณแล้วคูณอีก ... กินอาทิตย์ละไม่เกิน 1 ครั้ง (คูณแล้วมันตั้ง 300 บาท) ... กินแบบ stake house เนี่ย ... 30 cad เนี่ย ... คือไม่ special ก็ไม่กิน ... แต่นี่อะไรกัน ... กิน MK กินอาหารตามสั่งในร้านอาหารเมืองไทยดีๆ หน่อย ... แพงกว่ากินที่นี่อีก ... อะไรๆ ทุกอย่าง (ยกเว้นค่าเช่าบ้าน) ดูจะแพงกว่าที่แคนาดาไปซะหมดแล้ว เราก็คิดๆ อยู่ว่า ... แล้วคนที่เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เค้าอยู่กันได้ยังไง ... จะกินอยู่แบบนี้ได้ เงินเดือนไม่ต้องเป็น แสนหรอกเหรอ ... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ส่วนชุดชั้นในอีก ... ไม่ต้องพูดถึง ... แพงโค้ดๆ ... คือแบบราคาเต็มเนี่ย ไม่กล้าจ่ายเลย ... ซื้อแบบอันที่กองๆ เท่านั้น ... ก็ซื้อไปงั้นแหล่ะ เพราะไม่มีใช้ (ก็กะจะมาขนจากที่นี่ไปนิ) ... ก็เลยจำใจต้องซื้อแบบที่ไม่สวย แต่ถูกๆ ... เอาไว้กลับมาแคนาดาแล้วค่อยซื้อ ... ราคาเต็มที่นี่ก็ไม่แพงกว่าซักเท่าไหร่ ... ส่วนตามร้าน Winners (คล้ายๆ outlet) เวลามันลดๆ นะ ... เราซื้อพวก CK (สวมสบายมากๆ) ได้ในราคาแค่ ร้อยกว่าบาทเอง แบบก็สวยกว่าเยอะ
พูดถึงเรื่องขับรถหน่อย ... คือแบบว่า ... มีคนอาสาขับรถพาเราเที่ยว ... คือแบบว่า เวลาเค้าขับ ... ปาดซ้าย ปาดขวา ... หัวใจจะวาย ... แถมเวลาแบบเค้าเลี้ยว ... หลายๆ ทีตกกะใจ นึกว่าจะชน (เพราะว่าเค้าขับชิดซ้าย ... คือนึกว่าขับผิดด้าน ... เพราะที่นี่ขับชิดขวา) ... แถมเวลาเค้าขับรถแบบว่า เวลาคนจะเดินข้ามถนน แล้วเค้าไม่จอด กลับเร่งรถด้วยความรวดเร็ว ... เราแบบว่า แอบด่าในใจเลย ... ใจดำ! ... คือแบบ มันผุดออกมาจริงๆ ... แต่พอกลับมาคิดอีกที ... เออ ชีวิตที่นี่ มันแก่งแย่งแข่งขันกันมาก ... ถ้าปล่อยใก้คนเดินข้าม กว่าจะไปถึงที่หมายก็คงจะกินเวลานานโข ... แต่ความรู้สึก negative ลึกๆ มันก็ผุดขึ้นมาจริงๆ ยังไม่หายไปไหน บางคนอาจจะคิดว่า ... เอา ไปอยู่เมืองนอกมา แล้วไปรับเอาวิถีการดำเนินชีวิตของฝรั่งมา แล้วมาทำเป็นรับไม่ได้ ... ง่ายๆ ก็คือ กระแดะว่ะ ... จะว่าจริงมันก็จริงๆ นะ ... พอเราคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนึงนานๆ มันก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปอย่างที่เราไม่ค่อยจะรู้ตัว ... มารู้ตัวอีกที ก็รู้ว่า ชั้นคนนี้ ไม่ใช่ชั้นคนก่อนเมื่อ 7 ปีที่แล้วอีกต่อไป ... เป็นคนที่แก่ลง แถมมี attitude อีกต่างหาก! ... I'm a girl with attitude!! เหอะๆๆ ความรู้สึกว่า I don't belong here บางทีมันก็โผล่ขึ้นมา ... อะไรมันก็ดูจะไม่คุ้นเลย ไม่ถนัดไปซะหมด ... รู้สึกเหมือนเรามาต่างบ้านต่างเมือง ... กินอะไรก็ท้องเสียหมดเลย ... กินอะไรนอกบ้าน ร้านที่เราเคยกิน เผ็ดไม่เผ็ด ก็ท้องเสียจู๊ดๆ ตลอด ... คือกินได้แต่ข้าวต้มหมูทอด ไข่เจียว อะไรพวกนี้ ท้องจึงจะไม่เสีย
ช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่เราอยู่เมืองไทย ... ก็ตะลอนไปเยี่ยมญาติ เยอะแยะมากมาย ... ได้ไปเที่ยวทะเล ไปเหยียบทะเล สูดกลิ่นอายทะเล ซะชุ่มปอด ... ปกติเราชอบทะเลมากๆ ... แต่ 7 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เดินเล่นตามชายหาดเลย ... เอาเป็นว่า ช่วงนี้มีความสุขดี ... ก็ขอไม่เล่าละกัน ... อิๆ ... เน้นเรื่อง shopping ดีกว่านะเอ้อ ... อีกอัน ที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ... คือ ทุกคนในประเทศ ตั้งแต่เริ่มพูดอ้อแอ้ได้ ... ก็จะมี cellphone กัน อย่างน้อยคนละ 1 อัน ... เฮ้อ! บางคนขี่เจ้าทุยในท้องนายังพก cellphone เลย ... สุดยอดเราก็เดินสายไปโน่นไปนี่ตลอด ... มามีเวลา shop อีกทีก็ช่วงไม่กี่วันตอนใกล้จะกลับแล้วหล่ะ
วันนึง ... เราฉายเดี่ยวอีกแล้ว ... ก็ไม่มีใครว่านิ ... เดินไปหาซื้อพวกต่างหู ที่หนึบผม ... เทือกๆ นี้ ... ไม่ใช่ในห้างนะ ... เห็นที่หนีบผมอันเล็กขนาดเท่าหัวแม่โป้งเอง ... จะเอามาหนีบผมข้างหน้า ... ก็เลยถามว่า "เท่าไหร่คะ?" ในใจก็เออ ... ถ้าเค้าบอก 30 เราต่อเหลือ 20 ได้ป่าวหว่า ... คนขายตอบสวนมาว่า "75" ... ในหัวเรา "เห้ย ... อะไรวะ ... อย่ามาโก่งราคาซะให้ยากเลย ... กรูไม่ซื้อก็ได้วะ" แล้วเราก็วาง แล้วก็ทำเป็นยืนมองๆ ... ซักพัก มีสาวแต่ชุดนักศีกษาคนนึงเดินมา ... หยิบแบบเดียวกับที่เราหยิบ ... เธอก็ถามว่าเท่าไหร่ ... คนขายก็ตอบอีกว่า "75" เธอก็หยิบเงินจ่ายทันที ... เราก็แบบ อึ้ง ... อะไรวะ ... กะอีแค่ที่หนึบผมตัวเท่ามด ... มันราคาเท่านี้เลยเหรอ ... ไม่เห็นชั้นจะต้องถ่อมาซื้อถึงที่นี่เลย (คือคิดแบบนี้จริงๆ นะ) ... เราก็เลยถามอันใหญ่ขึ้นมาหน่อย ... ร้อยกว่า ... โอย แพงโค้ดๆ ... ยังทำใจไม่ได้เลย ... แต่เราก็ซื้อมาอันนึง ตอนแรกกะจะซื้อซัก 10 อัน T_T ... ส่วนต่างหู ... ไม่ต้องพูดถึง กะจะขนซื้อซัก 30 คู่ ราคาแพงมาก เลยซื้อมาแค่ไม่กี่คู่เอง ... สู้กลับมาซื้อที่นี่ 2-5 cad แถมซื้อ 2 แถม 1 ดีกว่า ... แถมพวกที่มียี่ห้อ ลด 50% บ่อยซะด้วย ไอ้พวก guess รึไม่ roots ไรพวกนี้
แต่การกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ก็ไม่ได้เสียเที่ยวไปซะทีเดียว (พูดในแง่ shopping นะ) ... ตอนแรกกระเป๋าเดินทางเรา 3 ใบ (ขึ้นเครื่องใบนึง) ใบใหญ่ที่ลากมาใบนึง ... แล้วก็ใบที่คลอดออกมาอีกใบนึงทีหลัง ควรจะเต็มไปด้วย ... เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ชุดชั้นใน เครื่องสำอาง ... กลับกลายเป็นของกินไปซะงั้น ... เต็มไปด้วย instant noodles สาระพัด ... คือ ที่นี่มันมีแต่มาม่าต้มยำกุ้ง กับมาม่าหมูสับ แล้วมาม่ารสไก่ ... แค่นี้จริงๆ ... น่าเบื่อโค้ดๆ ... เราก็เลยขนพวกนี้มาซะเต็มกระเป๋า ... รวมไปถึงพวก เซียงไฮ บ๋วย ขนมขบเคี้ยวสารพัด ... ดีนะ ของพวกนี้ราคาไม่สูง (ค่อยยังชั่วหน่อย) ... อ้อ พูดถึงซื้อของใน supermarket ทำให้เรานึกถึงอาการใน food court... ปกติเวลากินอาหารตาม food court เนี่ย ... แบบว่าแลกตัง 50 ก็กินได้อิ่มแล้ว ... แต่นี่ 100 นึง แน่ะ ... แพงจังเอาเป็นว่า ... กระเป๋าเรา 2 ใบที่โหลดลงท้องเครื่องเลยมีแต่ของกินไปซะงั้นความหวังก็ยังมี ... กระเป๋าที่ carry on ก็จะเตรียมไว้ซื้อ เครื่องสำอางที่ duty free เตรียม zip lock แบบว่างเปล่า มาขนโดยเฉพาะ ... ไหนจะพวก makeup อีก
วันเดินทาง ... พอผ่าน custom แล้วก็ ... สบัดหัว 3 ที ... เปลี่ยนโหมด ... จาก Thai เป็น English ... แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลด ... ดีใจจะได้กลับแคนาดา ... แล้วก็กะจะ shop ใน duty free ให้หนำใจ ... เดินเข้าไป ... เจอร้านเครื่องสำอางขนาดพองาม ... แอบดีใจ ... คิกๆๆๆ ... ก็ดูโน่น ดูนี่ ... จะซื้อโน่นซื้อนี่ ... เอ ทำไมราคามันแบบ 3,xxx ทั้งนั้นหว่า ... ซึ่งมันก็แบบว่า 1xx cad เลยนะ ... ราคานี่เนี่ย ... มันแพงแบบเว่อร์ๆ มากเลย ... overprice สุดๆ ... จะซื้อแป้ง LM ดูราคาผ่านๆ ... 3,xxx บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ... อึ้งเลย ... คือมันควรจะแค่พันต้นๆ ไม่ใช่เหรอ ... เราก็แบบว่า ทำใจไม่ได้มากๆ เลย (แอบผิดหวังอย่างแรง) ... สรุปคือ เราก็ไม่ซื้ออะไร เดินผ่านร้านนี้ไป ... กะว่าจะไปดูร้านอื่น ... สรุป ... หมดแล้วครั้บ มีอยู่แค่นี้ ... เซ็งจิตเลย ... ไม่ซื้อก็ได้วะ ... เอาไว้ไปซื้อที่ Narita เอาก็ได้
พอมาถึง Narita ... เซ็งอีก ... คือแบบสนามบินที่ Narita มันงงมากเลย ... ขามาเราได้ boarding passes ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นทาง เลยไม่ค่อยมีปัญหา ... แต่พอขากลับมาแคนาดา ... เค้าไม่ได้ให้ boarding pass เราทั้งหมด ... ให้มาอันเดียว ... แถม information อะไรที่สนามบินก็แบบว่า งงมาก ... เดินหลงทางไปซะงั้น ... คือเดินออกมา ถามที่เค้ามี security check แล้วมันบอกว่าเราต้องมี boarding pass ก็มันยังไม่มีนี่หว่า ... เราก็เดินเลยไป ... เดินไปเรื่อยๆ ... อ้าว นี่มันจะออกไป domestic แล้วนี่หว่า ... เดินก็ไกลโค้ดๆ ... ต้องเดินกลับมา ... ขากลับก็เจอ security check อีกจุดนึง ... ไปถามมันว่า ตรูไม่มี boarding pass แต่จะต่อเครื่องไป canada ทีนี้มันให้เราผ่าน ... อะไรวะ ... ทีอีจุดแรกใกล้ๆ มันไม่ให้เราผ่าน ... ความจริงเราเห็น canadians สองคน ก็แอบงงเหมือนเรา (หลงทางเหมือนกัน) ... พอเดินเข้าไป ... เฮ้ย มันเป็น duty free area แล้วนี่หว่า เรายังไม่มี boarding pass ซักกะหน่อย ... เดินวนอยู่นาน กว่าจะเจอ information service ก็ถามเค้า ... เค้าก็เลยบอกว่า ไปเอา boarding pass ได้ตรงโน้น ... T_T ... แล้วจะรู้มั๊ยเนี่ยหลังจากนั้นก็เดินไปซะไกล ไปต่อแถวอีกยาวเฟื้อยเพื่อเอา boarding pass ... พอได้เสร็จ ... เอ่อ เหลือเวลาแค่ 30 นาที จะเป็น general boarding แล้ว ... ส่วน gate ที่เราจะ board ก็ไกลโคด ... ที่นี้ เราวิ่งแจ้นเลย ... ไปถึง ... เหลือ 10 นาที จะ board ... แถมแถวๆ นั้น ไม่มีร้านเครื่องสำอางใหญ่ๆ อีก ... คือมีแต่พวก ขนม กับ anessa นิดหน่อย ... แล้วก็มีแป้งฝุ่น ยี่ห้อที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ... ไหนๆ ก็ ไหนๆ ... ซื้ออะไรติดมือซักหน่อยละกัน ... อ้อ แล้วก็ซื้อปลาไหลย่างติดมือมาด้วย (อร่อยโค้ดๆ) ... สรุปคือ ... ไม่ค่อยได้อะไรเลยจาก Narita ... เซ็ง
พอขึ้นเครื่อง ... เซ็งแล้วนิ ... กว่าเครื่องจะบินได้เนี่ย .. ต้องรอต่อคิว 40 นาทีแน่ ... แถมเราจะถึง Vancouver ช้าไปอีก ... ไม่แค่นั้น .. เรามีเวลาที่โน่นแค่ชั่วโมงครึ่ง ... แถมจะต้องผ่าน custom ที่โน่น ซึ่งแถวมักจะยาวเฟื้อย ... พอไปถึงก็จริง ... แถวยาวเป็นงู ... แถมต้องไปเคลม luggages ก่อนด้วย ... กว่าจะผ่าน custom ได้ ... ก็แบบว่า ถึงเวลา board พอดี (เราต้องต่อเครื่องอีก) ... ที่นี่ก็วิ่งแจ้นไปยกกระเป๋าใบยัก 2 ใบที่เต็มไปด้วยของกิน ... แล้วก็วิ่งไป check in อีกที ... หลังจากนั้นก็วิ่งข้ามโลกไปที่ส่วน domestic ไป ถึงช้าไป 5 นาที ... สรุป ... เครื่องมัน delay ... ถึงแล้วเค้ายังไม่เรียก general boarding ... เราก็ไปยืนหอบแฮกๆๆ อยู่พักนึง แล้วก็ได้ขึ้นเครื่องพอดี
และแล้วในที่สุดก็กลับถึงที่นี่ด้วยความปลอดภัย เหนื่อยสุดๆ ... ดีใจที่ได้กลับเมืองไทย ... แต่ก็ผิดหวังอย่างแรงที่ไม่ได้ shop อย่างที่คิดไว้ ... ทิ้งคำถามที่ค้างคาใจไว้ ... เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยของเรา ... รายได้คนไทยก็ไม่ได้เยอะแยะมากมาย เมื่อเทียบกับคนที่นี่ ... แต่ทำไมอะไรๆ มันช่างแพง แพงกว่าที่นี่ด้วยซ้ำ ... เฮ้อแย่ไปกว่านั้น ... เมื่อก่อน เราค่อนข้างจะประหยัดทีเดียว ... เพราะคิดว่า ของที่นี่อะไรๆ ก็แพงกว่าเมืองไทย ... แต่หลังจากกลับมาจากเมืองไทย ... รู้สึกว่าตัวเองจะ shop มากกว่าเดิม เพราะความคิดเราเปลี่ยนไป คือ ... วุ้ย เมืองไทยแพงกว่านี้อีก ... ซะงั้นไปเรา ... กลับมาถึง เราก็เลย shop ซะกระจาย ... อัดอั้นมาก ... ไม่งั้นอกแตกซะก่อน
เขียนยาวจังเลย ... จะอ่านกันหมดรึเปล่าเนี่ย ... สรุปแล้วก็ดีใจนะ มีความสุข ถ้ามีเวลามากกว่านี้ คงจะได้พบป่ะเพื่อนฝูงเก่าๆ ด้วย เสียดายจัง... ก่อนจบเรื่องนี้ ... ก่อนหน้านี้ ... ปักใจ 100% ว่าจะกลับไปเมืองไทย ทำงานให้ประเทศชาติไทยของเรา ... ตอนนี้ เรายอมรับว่า เราลังเลมากๆ ... เราจะอยู่ไหนดี ... เราจะอยู่นี่ เป็นพวกแม้ว ที่ไปไหนก็จะเป็น second class คือใครๆ ก็เห็นเราเป็นคนพวกเอเชียนผิวเหลือง ... พอออกนอกมหาลัย ... ไปสู่โลกภายนอก ... ก็ยังมีพวกคนใจแคบบางคนที่ยังดูถูกและเหยียดหยามอยู่ ... ไปเจอไอ้พวกวัยรุ่นปากหมา บางทีมันก็ bully เห่าหอนของมันไป ... อารมณ์ดีๆ ก็ไม่ถือสา ... หงุดหงิดขึ้นมาก็ทำให้เรา have a bad day ได้ ... แต่ยังไงซะ วันนึง เราก็คงจะกลับเมืองไทยแหล่ะนะ
แวะมาทักทาย
ว่าง ๆ เชิญที่ blog goodpeople na ka
แล้วจะมาเยี่ยมใหม่คะ