Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Story of Stuff


ชวนไปดู The Story of Stuff กัน ค่ะ ... เป็น clip ที่ค่อนข้างยาว พูดถึง เรื่องราวของสิ่งของต่างๆ ที่เราๆ ซื้อ เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ... ต้องบอกว่าได้ใจเรามาก เป็นการนำเสนอที่ตรงใจเรามากทีเดียว อาจจะมีบางส่วนที่เกี่ยวกับตัวเลข เกี่ยวกับสถิติที่เราไม่รู้ว่าเค้าได้มายังไง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ... เพราะมันมีอะไรให้น่าคิดเยอะแยะไปหมด



ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ อำนาจของ Corporations ค่ะ ... ในตอนหลังๆ ของวีดีโอนี้ ดูแล้วก็รู้สึกจุกเลย ... เราเอาบางส่วนของวีดีโอนี้มาเล่าให้ฟังนิดหน่อยละกันค่ะ

เริ่มต้นเค้าพูดถึงภาพโดยรวม คือ system ที่ประกอบไปด้วย

1. Extraction
2. Production
3. Distribution
4. Consumption
5. Disposal

และตัวแปรสำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้คือ มนุษย์อย่างเราๆ นี่เอง



เค้าก็พูดถึง รัฐบาล (ของประเทศสหรัฐ) และ พ่อค้ารายใหญ่ corporations ... ว่ารัฐบาลถูกบงการโดย corporations (ซึ่งเราเห็นด้วยอย่างมาก และนับวันก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นจนน่ากลัว) ... สิ่งที่ corporations เหล่านี้ต้องการ คือ ให้ขายของได้มากที่สุด ให้พวกเราซื้อของให้มากที่สุด (รัฐบาลก็บอกว่า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ) เศรษฐกิจแย่ ต้องซื้อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แต่ไม่บอกเราว่า ควรซื้ออย่างไร บอกเพียงแต่ให้เราซื้อ ... พวก corporations พวกนี้ก็ยิ้มหวานซิ



ตัวเองพิมพ์แบ้งค์ แล้วก็ใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของโลกอย่างฟุ่มเฟือย ... เอาโรงงานไปตั้งที่อื่น มลพิษก็ไปอยู่ที่อื่น ไปเอาทรัพยากรจากที่อื่น (ตัวเองจ่ายเงินอย่างเดียว) ... เมื่อไปเอาทรัพยากรของชาวโลกมา ชาวโลกก็ขาดทรัพยากรที่จะยังชีพ ก็ต้องย้ายไปทำงานตามโรงงานต่างๆ ทำงานให้ corporations พวกนี้ เค้าให้ทำอะไรก็ต้องทำ จะไล่ออกเมื่อไหร่ก็ได้





แล้วเค้าพูดถึง วิทยุเครื่องนึง ราคา $4.99 เมื่อดูรายได้ของคนเหล่านี้แล้ว เงินเท่านี้เรียกว่าเศษเงินของเค้าก็ว่าได้ ... เราก็เคยคิดนะ เดินเข้าไป dollar store ของหลายๆ อย่างขายในราคา $1 คือ เค้าทำได้ยังไง ... ของทำจากเมืองจึน น้ำมันมาจากอิรัก เหล็กขุดมาจากแอฟริกาใต้ พลาสติกมาจากจีน ประกอบในเม็กซิโก ไหนจะค่าขนส่งต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่ไม่นับเงินเดือนที่เค้าจ้างพนักงานขาย และกำไรที่ผู้ประกอบการได้รับอีก ... ราคานี้คือราคาที่แท้จริงของวิทยุเครื่องนี้งั้นหรือ? คือ มันเป็นไปไม่ได้อ่ะ ... แล้วใครเป็นคนจ่ายค่าส่วนต่างพวกนี้ล่ะ?





แล้วเค้าก็พูดไปถึงลูกศรสีทองอันนี้ ... เป็นลูกศรที่น่ากลัวมาก เป็นลูกศรที่ corporations ต้องการให้ระบบดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ... ต้องมีการผลิตไปเรื่อยๆ คนต้องซื้อไปเรื่อยๆ มิเช่นนั้นแล้ว "เศรษฐกิจจะแย่เอา" ... เศรษฐกิจแย่ สิ่งที่รัฐบาลบอกให้ประชาชนทำก็คือ การใช้เงิน อย่ากอดเงิน เอาเงินมาใช้ ... เราว่าคำพูดเหล่านี้ถูกแค่บางส่วน ไม่ถูกต้องทั้งหมด



คิดดูดีๆ เศรษฐกิจตก ... corporations มีเงินน้อยลง จ่ายเงินลูกจ้างน้อยลง ... รัฐบาลบอกให้เราออกมาใช้เงิน ... เราออกมาใช้เงิน ซื้ออะไร ... ซื้อของที่ corporations นั่นผลิตขึ้นมา ... เงินไปไหน ... เงินไปที่ corporations ... พอ corporations อิ่มหนำสำราญแล้วไปไหน ... เค้าก็มีเงินจ้างทาสอย่างเราๆ ไปทำงานให้เค้า ... เอาเงินมาทำอะไร ... เอาเงินมาซื้อสินค้าของเค้า ... เป็นแบบนี้ไม่มีวันจบสิ้น



หากมองอีกแบบนึง ... เศรษฐกิจตกต่ำ ... corporations มีเงินน้อยลง ... แต่เราเลือกที่จะซื้อของกับ corporations ให้น้อยลง ... กอดเงินเข้าไว้ ... เกิดอะไรขึ้น ... corporations มีเงินจ้างน้อยลง ... ต้องไล่คนออก ... พอคนถูกไล่ออกแล้วไง ... ต้องหาอะไรทำเพื่อยังชีพ ... ทำอะไรดี สมัครงานที่ corporations ไหน เค้าก็ไม่รับ ... ก็ต้องหันมาพี่งตนเอง ... ทำธุรกิจ ค้าขาย ทำอะไรก็ได้ ทำด้วยตัวเอง ... แล้วไง ... หากเราเลือกซื้อของกับ local มากกว่า corporations ... เป็นไง ... corporations มีอำนาจน้อยลง ... คนเป็นทาส corporations น้อยลง ... เกิดเศรษฐกิจแบบ local มากขึ้น ... เศรษฐกิจเข้มแข็งมากขึ้น ไม่ต้องไป depend on พวก corporations





การมี local businesses มากขึ้น ดียังไง ... คน local ก็มองเห็นว่าทรัพยากรถูกไปไปมากแค่ไหน มลพิษถูกสร้างขึ้นมากน้อยแค่ไหน ... ทำให้เรามองเห็นคุณค่าของการใช้ทรัพยากรอย่างมีค่ามากขึ้น ... ต่างจากการซื้อของจาก corporations ... เค้าผลิตจากที่ไหนเราก็ไม่รู้ ... สร้างมลพิษแค่ไหนเราก็ไม่รู้ ... ใช้ทรัพยากรมากแค่ไหนเราก็ไม่รู้ ... เป็นทองไม่รู้ร้อน ... เอาสะดวกเข้าว่า ... ใช้แล้วทิ้ง ซื้อใหม่ ใช้แล้วทิ้ง ... จนทรัพยากรโลกร่อยหรอ มลพิษมากมาย กองไว้ที่ไหนซักแห่งนึงในโลก ... กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว



พูดถึงลูกศรสีทองนี่ต่อ ... ลูกศรสีทอง แสดงถึงการต่อเนื่องของระบบ ... จำเป็นจะต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ... คือ ยิ่งเศรษฐกิจแย่ คนต้องซื้อเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่ corporation ต้องการ ... ทำยังไงล่ะ ... คำตอบก็คือ ต้องเร่งอัตราการผลิต การใช้ขึ้นไปเรื่อย แล้วทำยังไงล่ะ ... ทีวีเครื่องนึง เมื่อก่อน จะซื้อแต่ละที คิดแล้วคิดอีก และคาดหวังว่ามันจะใช้ได้ยืนยาวชั่วลูกชั่วหลาน ... แล้วตอนนี้เป็นยังไง ... ซื้อปุ๊บรุ่นไหม่ออกมาปั๊บ ล้าหลังไปแล้ว ... คอมพิวเตอร์เนี่ย ... กั๊กเทคโนโลยีกันเข้าไป ... ซื้อมาได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ล้าสมัยไปแล้ว อีกไม่นานก็ต้องซื้อใหม่อีกแล้ว ... windows ออกมาไม่นาน รุ่นใหม่ก็ออกมาอีกแล้ว จะอะไรกันนักกันหนา ... corporations เพียงแค่ต้องการให้เราซื้อบ่อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ... โดยการผลิตของใช้แล้วพัง หรือ ล้าสมัยในเวลาเร็วที่สุด ... ทุกอย่างใช้แล้วทิ้ง! แล้วซื้อใหม่ ... ทำยังไงให้ของใช้แล้วพังเร็วที่สุด



นอกจากนี้แล้วยังต้องเร่งความเร็วโดยการทำให้เราทิ้งของให้เร็วที่สุดด้วย ... ทำยังไง ... ก็โฆษณานั่นเอง ... ดูอย่างในรูป หากเราใช้ computer monitor แบบอ้วนๆ ใหญ่ๆ มันดูเชย ในขณะที่คนอื่นเค้าใช้แล้วจอแบนกันแล้ว ... มันเกิดอาการอยากได้ขึ้นมาตะหงิดๆ ... โทรศัพท์มือถือเอย กระเป๋าเอย รองเท้าเอย เสื้อผ้าเอย ... มันต้องตามแฟชั่นให้ทัน ... แฟชั่น run away เนี่ย ตามกันเข้าไป ... สองสามเดือนรองเท้าส้นสูงมาแรง อีกสองสามเดือนมันต้องส้นเตี้ย อีกสองสามเดือนมันต้องส้นตึก อีกสองสามเดือนมันต้องบู้ท อีกสองสามเดือนส้นสูงมาอีกแล้ว แต่เป็นแบบสูงมีสายรัดใหญ่ ... ปีนึงๆ ผู้หญิงเราก็ลงเอยที่มีรองเท้าอยู่กี่สิบคู่ก็ไม่รู้ พอแฟชั่นผ่านไปก็ไม่ใช้มันแล้ว





เค้าบอกว่าคนอเมริกันเนี่ย ถูกทำให้ดูโฆษณา 3000 โฆษณาต่อวัน (ตัวเลขเราไม่รู้ว่ามาได้ไง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ) ... สิ่งสำคัญคือ เราดูโฆษณาแล้วไง ... ดูแล้วเรารู้สึกว่า ทุกอย่างที่เรามีมันไม่ดี ผิวเราไม่ดีพอ รถเราไม่ดีพอ รองเท้าเราไม่ดีพอ คอมพิวเตอร์เราไม่ดีพอ สุขภาพเราไม่ดีพอ ... แล้วจะทำยังไงให้ชีวิตเราดีขึ้นล่ะ ... ต้องออกไป SHOPPING ... ซื้อครีมผิวจะได้ดีขึ้นเหมือนดารา ไปซื้อโยเกิรตกินหุ่นจะได้ดีขึ้น ซื้อโน่นใหม่ ซื้อนี่ใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ... แล้วเป็นไง ... corporations ก็ได้เงิน ลูกศรสีทองก็ดำเนินต่อไปด้วยความเร่งขึ้นเรื่อยๆ





ลองมองดูตัวเรากัน ... วันๆ เราทำอะไรบ้าง และทำเพื่ออะไร ... เราออกไปทำงานเช้าตรู่ เย็นกลับบ้าน ... นอกจากกินและนอน เรามีเวลานิดหน่อย เราทำอะไร ... ดูทีวี แล้วก็ซื้อของ ... นี่กลายเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำในเวลาว่างอันน้อยนิดไปซะแล้ว

ในส่วนนี้ของคลิป เราชอบมาก ... เราไปซื้อของ ซื้อเสร็จไปทำงาน (รับจ้าง corporations) ... กลับมาบ้านเหนื่อยสายตัวแทบขาด ... เราทำอะไร ... นั่งดูทีวี ... ดูทีวีเห็นอะไร ... เห็นโฆษณา ... เห็นแล้วเป็นไง ... เห็นแล้วรู้สึกไม่มีความสุข ... โน่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่ดี ไม่มีอะไรดีซักอย่าง ... ทำยังไงให้รู้สึกดีขึ้น ... ออกไป shop ดีกว่า ไปกินข้าวนอกบ้านดีกว่า (ต้องกินในห้างร้านของ corporations ด้วย)







ยิ่งดูทีวี เราก็ยิ่งซื้อของมาก ... โน่นก็อยากได้ นี่ก็อยากได้ แล้วทำไง ... ก็ต้องทำงานหนักขึ้น ... ทำงานหนักขึ้นแล้วไง ... เวลาน้อยลง แล้วไง เหนื่อย ไม่มีความสุข ... มีเวลาน้อยแล้วไง ใช้เวลาว่างอยู่น้อยนิด นั่งดูทีวี ดูโฆษณา แล้วไง ... ทีวีก็บอก you suck! ต้องออกไปซื้อของอีก ... ชีวิตเราวนเวียนเป็นเครื่องจักร เป็นวัวเป็นควายให้กับ corporations พวกนี้ แค่นีเองหรือ?





มาถึงจุดนี้ เราสะอึกอ่ะ ... จริงๆ เราเป็นพวกที่ซีเรียสเรื่อง corporations มาพอสมควรแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูก ... แล้วจุดจบเป็นยังไง ... corporations รวยขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็ทำงานกันงกๆ ไปเรือยๆ อยู่ในวัฐจักรที่ corporations สร้างขึ้นมา ... ช่องว่างระหว่างรวยกับจนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ



ขยะที่เราใช้แล้วทิ้งมันไปไหน ... ทรัพยากรโลกที่มีอยู่จำกัดมันจะเป็นยังไงต่อไป



หลายครั้งเราคิดว่า มนุษย์เราถูกล้างสมองด้วยคำว่า democracy และ freedom กันมากไป ... ฉันมีอิสระที่จำทำอะไรก็ได้ ซื้ออะไรก็ได้ ใครออกมาพูดอะไรที่นิดหน่อยที่จำกัดสิทธิเสรีภาพก็โบ้ยไปว่าเป็นพวก ล้าหลัง พวกคอมมิวนิสต์ อะไรก็ไม่รู้ โดยไม่หยุดคิดบ้าง ... เราไม่จำเป็นจะต้องเดินชิดขวา หรือชิดซ้าย เราเดินตรงกลางก็ได้ เดินเอียงซ้ายนิด ขวาหน่อยก็ได้ หากมันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น



ใครพอจะภาษาอังกฤษแข็งแรง เราอยากให้แวะไปดูกัน ... เพราะเค้าอธิบายได้กระชับ และประติดประต่อ เป็นเรื่องเป็นราวดีค่ะ




Create Date : 15 สิงหาคม 2552
Last Update : 18 กันยายน 2552 3:49:32 น. 11 comments
Counter : 1383 Pageviews.

 
โห ฟังแล้วน่าเศร้าใจจังค่ะ ขอบคุณมากๆ นะค่ะที่นำเสนออะไรดีๆ มาให้ได้อ่านเรื่อยๆ เลยค่ะ แล้วจะเข้าไปดูตามที่แนะนำนะค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ


โดย: Pearlybunny IP: 89.150.171.164 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:4:53:48 น.  

 
ดูแล้วค่ะ ครูเอามาเปิดให้ดู ดีมากๆ เลยแต่เราฟังไม่ทันค่ะ เขาพูดเร็วยิ่งกว่าจรวด


โดย: ตองดี IP: 202.12.97.100 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:11:48:19 น.  

 


ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณน่ะค่ะ สำหรับวีดีโอดี ๆ แบบนี้ วันหลังมีก็ ยินดีน่ะค่ะ ชอบมาก ๆ เลยยยยย โดน ชอบตอนที่ ทำงาน ดูทีวี แล้วไปซื้อของเพระาทีวีบอกว่าเรา suck ฮ่าาาาาา ชอบมาก รู้สึกเหมอืนตัวเองอย่างมาก

ขอบคุณน่ะค่ะ


โดย: Minto IP: 121.214.13.78 วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:19:52:29 น.  

 
เราก็ชอบมาก ตรงที่ทีวีบอกว่า you suck เพราะมันจริงมากๆ เลย ดูแล้วก็เห็นภาพตัวเองเลย


โดย: Phoebe Buffay วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:20:41:26 น.  

 
อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากๆเลย เราก็รู้สึกเดี๋ยวนี้ใช้ชีวิตตามสังคมทุนนิยมมากเกินไป อยากได้ อยากมี อยากเป็นกันไปหมด ถ้าเรารู้จักพอต่อให้ใครจะโหมโฆษณาขนาดไหนก็ทำอะไรไม่ได้หรอก

จะว่าไปเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ดูทีวีเลยอะ โฆษณาตอนนี้เป็นไง ละครมีเรื่องอะไรมั่ง ก็ไม่รู้เรื่องตกยุคสุดๆ แต่เราอ่านอินเตอร์เนตประจำนะ เราว่าข้อดีของการไม่ค่อยดูทีวีคือไม่ได้ดูโฆษณาเนี่ยแหละ ทำให้ไม่่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไหร่ แต่บางทีก็ทำไม่ได้ เพราะเราชอบอ่านโต๊ะเครื่องแป้ง ที่นั่นนี่แบบก่อกิเลสชั้นดี -_-'' ก็ต้องพยายามลด ละ เลิก บ้างล่ะนะ


โดย: ningpotter IP: 202.183.183.226 วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:9:26:39 น.  

 
ใช่ล่ะ สังคมทุนนิยม มันเป็นสังคมที่เราอยู่ แล้วก็เลี่ยงไม่ได้เลย ... ก็ต้องทำใจอ่ะ เฮ้อ

เราก็ไม่ค่อยดูทีวีนะ ดูข่าว (แบบไม่มีโฆษณา) ก็ปวดกะบาลมาก ยิ่งดูก็ยิ่งเครียด ดูอย่างอื่นก็มีแต่โฆษณา โน่นก็ดี นี่ก็อยากได้ ... เดี๋ยวนี้หันไปดูพวกสารคดี ประวัติศาสตร์ สัตว์ อะไรไปโน่นเลย มันไม่เครียดดี ... ละครเนี่ยยิ่งดูยิ่งเครียดเลย

เราก็อ่านอินเตอร์เน็ทอ่ะ กิเลสก็มาจากอินเตอร์เน็ทนี่แหล่ะ พยายามลดละเลิกเหมือนกัน ดีเราไม่ค่อยเข้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว เข้าแล้วเหนื่อย นี่ก็เพิ่งไปตะลุมบอลกับชาวบ้านเค้ามา พอแล้ว เหนื่อยและเครียดไปโดยเปล่าประโยชน์

ถอยยยยดีกว่า ไม่อาอาเอาดีกว่า (เกิดทันเพลงนี้ป่าว)


โดย: Phoebe Buffay วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:22:45:05 น.  

 
ถอยยยยดีฝ่ามั่ง (ทันจิ เช็คอายุปะเนี่ย) ห้องแป้งนี่เราอ่านบ่อยมาก (อ่านทุกวัน) แต่ไม่ค่อยตอบแล้วง่ะ พอไม่มีคนรีวิวแบบฟีบี้ ฮาวทูแ่ต่งหน้าแบบป้าจีน เรารู้สึกมันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่แล้ว อ่านไว้อัพเดทคสอ.มากกว่า

ตอบหลังไมค์ให้แล้วนะจ๊ะ ^^


โดย: ningpotter IP: 202.183.183.226 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:9:01:44 น.  

 
เป็นสมาชิกแบบซุ่มโป่งแอบอ่าน Blog คุณ phoebe อยู่นานครับ
บังเอิญได้ไปอ่านกระทู้ในห้องโต๊ะเครื่องแป้ง ผมรู้สึกเลยว่าน่าหนักใจ
ขอมาใช้พื้นที่ตรงนี้นิดนึง ...

ไอ้เรื่องที่เถียงกันบังเอิญว่ามันเป็นเรื่องกลางๆแกนๆ ขึ้นกับว่าเราเลือกที่จะยืนอยู่ตรงไหน แล้วมองปัญหานั้นอย่างไร

ผมสนับสนุนแนวคิดคุณ Phoebe นะครับ เสื้อตัวเป็นหมื่นกับเสื้อยี่ห้อธรรมดาไม่ถึงพัน ใส่ได้เหมือนกันแหละครับ ทำไมเราต้องไปแบกรับค่า"ยี่ห้อ"ของเค้าด้วย
แต่บังเอิญอีกฝ่ายคิดตามกระแสทุนนิยมเข้าว่า ปกป้องผู้ผลิตโดยไม่สนว่าสิ่งที่มันแอบแฝงและลวงตาเราซึ่งเป็นผู้บริโภคอยู่คืออะไร

แต่ในกระทู้นั้นที่ผมไม่ชอบเลยคือการแดกดันน่ะครับ อ่านแล้วปวดหัวใจ
แต่ไม่ใช่ห้องแป้งเท่านั้นนะครับ
ไปห้องไหนๆก็มี

ผมล่ะกลัวจริงๆว่าในอนาคตอีกสัก 10-20 ปี เมืองไทยมันจะแย่แค่ไหน

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คุณ Phoebe นะครับ


โดย: WishComingTrue IP: 125.25.6.0 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:16:47:01 น.  

 
Thank you Khun Phoebe for a useful clip...

Yes, it is true but I think it is a fact. I think of it like a vicious cycle of life (it is almost like birth, age, sickness and death) but this one we may be able to control. Please do not blame it on coperations.. I think if we learn how to control our own greed, those kinds of business will never be successful. For all of that, it is just a type of cycle. If we can eliminate one factor in the cycle, the cycle will never be completed. We cannot control other factors such as business or media but we can control our needs. We need so much of unnecessary stuff because we just try to follow what most people do or have...like fashion or some sort of "fever".
Easy example is our own society ka...
The fashion of using all name brands in our society. Isn't that because of ourselves? If we do not believe that kinds of thing..if we think it is juts a waste of money, will anyone buy it???

So, I think education is the most important here. If we are stupid enough, we will be like you just said "slave". It is not because of those business ka, it is because of ourselves. Ohh, we also do not learn how to be independent, that's why we have to always be a followers ka. We will never be able to "think" on our own.

Just my though,
PK


โดย: PK IP: 71.213.236.61 วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:12:31:49 น.  

 
เราว่า Phoebe Buffay กับป้าจีนนี่ รุ่นแรกๆ ของโต๊ะแป้งแล้วก็รุ่นบุเบิก ของ blog เลยก็่ว่าได้ บทความที่ Phoebe Buffay ทำก็มีสาระเป็นประโยชน์มากมาย ยังมีโดนตะลุมบอนจากห้องแป้งด้วยหรือนี่ อืมไม่เป็นไรแต่เราอยากบอกว่าเมื่อก่อนเข้าแบบโฉบๆ แต่เดี๊ยวนี้มีเวลาพอที่่จะค่อยทยอยอ่านทีละ blog อ่านแล้วได้ความรู้ประเทืองสมองดีเราชอบ


โดย: Pookie-NSE วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:17:14:42 น.  

 
บริษัทที่ผลิดของ ใช้ดี ใช้ทน มักจะอยู่ไม่ได้ ต้องโดนเทค
เพราะขายของไม่ได้ เนื่องจากของดี ซื้อไปแล้วก็ใช้ได้หลายปี saza เองก็เห็นบริษัทเหล่านี่เริ่มโดนเทค ตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว ทยอยเรื่อยๆ
มีตั้งแต่ผลิดโทรศัพท์ , computer server

เกลียด พวกเวอร์ชั่นเหมือนกัน โดยเฉพาะ ms ทั้งหลาย
สรุปแล้ว มี bug ตลอด ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหน
แก้ปัญหาเก่า แต่สร้างปัญหาใหม่

ปล.แอบอ่านมานาน และก้อไม่ได้มานาน...


โดย: saza IP: 161.246.34.234, 161.246.254.167 วันที่: 23 ตุลาคม 2553 เวลา:3:14:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Phoebe Buffay
Location :
ทุ่งหญ้า Canada

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 173 คน [?]




"It's Phoebe! That's, P as in Phoebe; H as in hoebe, O as in oebe; E as in ebe; B as in bebe; and E as in ... Ello there mate." Friends

There is no copyright here, unless otherwise specifically mentioned. If you find it useful, just take it. Thanks!

CHAT BOX



LAST UPDATES
LOSEING WEIGHT (BBC)
SKINCARE MINI SERIES
FAVORITES

Friends' blogs
[Add Phoebe Buffay's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.