ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด
<<
กรกฏาคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
20 กรกฏาคม 2555

เคล็ดไม่ลับ เปลี่ยน “เด็กจบใหม่“ ให้พร้อมลุยงาน

พูดถึงเรื่องการสมัครงานและการสัมภาษณ์งานแล้ว คงไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นสุดๆ เท่ากับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ทั้งในการทำงานและการสัมภาษณ์งาน จึงไม่แปลกเลยที่น้องๆ หลายคนจะรู้สึกประหม่า กล้าๆ กลัวๆ วันนี้พี่ๆทีมงาน Sanook! Campus มีเคล็ดไม่ลับที่จะเปลี่ยน "เด็กจบใหม่" ให้เป็น "มือโปร" จาก คุณนพวรรณ จุลกนิษฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด มาฝาก

ก่อนอื่นมาดูผลสำรวจภาวะการทำงานของ ประชากรในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งระบุว่ามีผู้ว่างงานประมาณ 450,000 คน โดยกรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานสูงสุดถึง 3 แสนคน และพบว่าผู้ที่จบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยว่าง งานสูงสุด 330,000 คน

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ประมาณการจำนวนนักศึกษาเข้าใหม่ระดับปริญญาตรี ระหว่างปี 2550 - 2559 คาดว่าจะมีประมาณ 500,000 คน / ปี และในช่วงเดียวกันจะมีบัณฑิตระดับปริญญาตรีจบใหม่ปีละประมาณ 3 - 4 แสนคน ในขณะที่ความต้องการแรงงานในเดือนมีนาคม 2555 พบว่ามีตำแหน่งงานว่างจำนวน 138,450 อัตรา

ดูตัวเลขแล้ว สัดส่วนระหว่างจำนวนนักศึกษาจบใหม่กับตำแหน่งงาน ว่างอยู่ที่ 1 ต่อ 3 ซึ่งหมายความว่าในจำนวนนักศึกษาจบใหม่ 3 คนจะมีเพียง 1 คนที่จะมีสิทธิ์ได้งานทำก่อนเพื่อน

จากสถิติการลงโฆษณาตำแหน่งงานในเว็บไซต์ JobsDB.com ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 (มกราคม - มิถุนายน) มีตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการจ้างงานกว่า 250,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับกลางที่มีประสบการณ์ใน การทำงาน ร้อยละ 50 ในขณะที่รับเด็กจบใหม่ ร้อยละ 28 ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส ร้อยละ 20 และตำแหน่งหัวหน้า หรือผู้บริหาร ร้อยละ 2

ทีนี้ มาดู 5 อันดับตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการตัวมากที่สุด ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่ธุรการและฝ่ายบุคคล 2. ฝ่ายขาย / บริการลูกค้าและพัฒนาธุรกิจ 3. ไอที 4. เจ้าหน้าที่การตลาดและประชาสัมพันธ์ 5. วิศวกร ส่วน 5 อันดับตำแหน่งงานที่ผู้หางานนิยมสมัครมากที่สุด ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่ธุรการและฝ่ายบุคคล 2. วิศวกร 3. ฝ่ายขาย / บริการลูกค้าและพัฒนาธุรกิจ 4. ไอที และ 5. เจ้าหน้าที่การตลาดและประชาสัมพันธ์

ข้อมูลข้างต้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่จำเป็นต้องมีการเตรียม ตัวที่ดี เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นเหนือคู่แข่ง

เรามาเริ่มกันที่ข้อแนะนำในการเขียนเร ซูเม่หรือประวัติส่วนตัว และการเรียกเงินเดือน

§ ควรเขียนเร ซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้คุณดูน่าสนใจ

§ เขียนให้ ชัดเจนและตรงประเด็น จะทำให้คุณโดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่น

§ ความยาว ปกติอยู่ที่ 1 - 2 หน้ากระดาษ ไม่เกิน 3 หน้ากระดาษ

§ เลือกใช้คำ สำคัญตามที่นายจ้างคาดหวัง เช่น คำบอกคุณสมบัติตามที่นายจ้างระบุในประกาศรับสมัคร งาน

§ เลือกใช้ ศัพท์เฉพาะที่ใช้ในแวดวงธุรกิจที่คุณสมัคร

§ ตรวจทานเร ซูเม่ของคุณอย่างน้อย 2 - 3 รอบ

§ จัดระเบียบ เรซูเม่ของคุณให้อ่านง่าย สบายตา

§ เน้นจุด แข็งของคุณให้ชัดเจน

การเรียกเงินเดือนสำหรับเด็กจบใหม่

ในฐานะที่คุณเป็นบัณฑิตจบใหม่และยังไม่ มีประสบการณ์ในการทำงาน คุณอาจให้บริษัทพิจารณาเงินเดือนในอัตราปกติของ ตลาดแรงงานที่จ่ายให้กับนักศึกษาจบใหม่ในแต่ละสาย อาชีพ และเมื่อคุณทำผลงานได้เป็นที่พึงพอใจ ขอให้นายจ้างพิจารณาเงินเดือนให้คุณอีกครั้งเมื่อพ้นระยะการทดลองงาน

ส่วนข้อแนะนำในการเข้าสัมภาษณ์งาน / การแต่งกาย

§ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ และบริษัทนั้นๆ ก่อนวันสัมภาษณ์งาน

§ กล่าวทักทายผู้สัมภาษณ์

§ สบตาผู้สัมภาษณ์ระหว่างตอบคำถาม

§ มีรอยยิ้มเสมอ

§ พูดในความเร็วปกติ ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป

§ ตอบคำถามด้วยความจริงใจ หากพบกับหัวข้อคำถามที่ไม่คุ้นเคย

§ ขอบคุณผู้สัมภาษณ์เมื่อสิ้นสุดการสัมภาษณ์

สุดท้าย ข้อแนะนำในด้านทัศนคติและแนวคิดในการเริ่มต้น ชีวิตการทำงาน

§ ควรมีทัศนคติบวก คิดและมองโลกในแง่ดี คิดบวกเสมอ ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาผู้สมัครงานไม่น้อยไปกว่าความสามารถเลย สิ่งที่คุณคิดจะแสดงออก ผ่านการ

กระทำและคำพูดของคุณ เมื่อ HR ได้พูดคุยกับคุณ หรือให้คุณทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ เขาก็จะรู้ได้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร การคิดบวกจะนำพาคุณไปสู่ชีวิตสว่างไสว ไม่ยอมอับจนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในขณะที่การคิดลบ จะพาคุณติดอยู่กับสิ่งแย่ๆ ในชีวิต หากคุณเป็นนายจ้างคุณจะรับคนแบบไหนเข้าทำงาน แน่นอนว่า คนที่คิดบวกย่อมเป็นผู้ถูกเลือก ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติด้วยการมองสิ่งต่างๆ ในมุมบวกเสมอ ไม่ใช่แค่จะเพิ่มโอกาสได้งาน แต่จะเพิ่มความสุขในชีวิตของคุณเองด้วย

§ การเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสามารถด้านภาษา การสื่อสาร และการนำเสนองาน ดึงจุดเด่นออกมา คุณมีความชอบ ความสนใจในด้านใด ควรเรียนรู้และฝึกฝนให้ชำนาญ โดยเฉพาะทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน คุณอาจหาหนังสือมาอ่านและทดลองทำด้วยตนเอง หรือลงเรียนคอร์สที่สนใจเพิ่มเติม เช่น เรียนภาษา ดีไซน์ ถ่ายภาพ เขียนโปรแกรม แน่นอนว่าสิ่งที่คุณร่ำเรียนและฝึกฝนจะช่วยให้คุณ มีความโดดเด่นเมื่อ คุณไปสมัครงาน และมีโอกาสได้ทำงานในฝันสมใจ

§ Passion อยากจะบอกว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด ก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณมีแรงปรารถนาในสิ่งที่คุณทำมากๆ รัศมีความสนใจใฝ่รู้มันจะแผ่ขยายออกไปรอบๆ ตัวคุณ จนคนอื่นเขารับรู้ได้เอง เวลาสัมภาษณ์งาน เขาก็มองเห็นแววตาที่เปล่งประกายบ่งบอกให้เห็น ความอยากทำงานด้วยความจริงใจ ใครมีความปรารถนาแรงกล้ามาก ก็จะได้เปรียบเด็กคนอื่นที่ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร เวลาสัมภาษณ์งานก็ไม่มีอะไรแสดงให้เขาเห็นว่าคุณ มีความทะยานอยากได้งานนี้จริงๆ เขาก็ไปเลือกคนอื่นดีกว่า สุดท้ายขนาดตัวเราเองยังไม่มีความสนใจ แล้วใครจะมาสนใจในตัวเราล่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว หวังว่าน้องๆ คงจะรู้แนวทางในการสมัครและสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้งานกันมากขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากยังไม่ได้รับการพิจารณาเข้าทำงานล่ะก็ อย่าเพิ่งหมดหวัง และขอให้เชื่อว่ามีคนที่ต้องการตัวเรารออยู่ข้างหน้า



  • สนับสนุนเนื้อหา Sanook! Campus



Create Date : 20 กรกฎาคม 2555
Last Update : 20 กรกฎาคม 2555 7:23:18 น. 0 comments
Counter : 1910 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ข่าวดี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]