รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
เมืองในสมมุติ

ถ้าท่านอยู่ในประเทศไทย ท่านก็จะพบบรรยากาศแบบประเทศไทย
ทีมีร้อนและฝน ถ้าท่านเดินทางไปที่ขั้วโลกเหนือ ท่านก็จะพบบรรยากาศแบบขั้วโลกเหนือที่มีความหนาวเย็นเป็นส่วนใหญ่ กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน

ในชิวิตการปฏิบัติธรรมในการพ้นทุกข์ก็เช่นกัน ถ้าจะเปรียบก็เหมือนมืองในสมมุติ

เมื่อสมมุติ 1
ก่อนที่ใครสักคนที่ยังไม่เคยปฏิบัติ จิตใจของเขาส่วนใหญ่จะถูกโมหะปิดบังเอาไว้ ถ้าเปรียบก็เหมือนว่า คน ๆ นี้อยู่เมืองในหมอก ที่มองไปทางไหน ก็ไม่เห็นอะไรชัดเจน เพราะหมอกปิดบังสายตาของเขาตลอดเวลา เขาจะเดินวนไปวนมาอยู่ในเมืองในหมอกนี้ หาทางออกไม่พบ เมื่อเขาเดินชนเข้ากัยอะไร เขาเจ๊บ เขาจะโกรธ แต่ก็ไม่รู้ว่า เขาโกรธอะไร เพราะเขาไม่เห็นสิ่งที่เขาชนเอา

เมืองสมมุติ 2
ต่อเมื่อเขาหันมาเจริญสติปัฏฐาน 4 จนกำลังจิตเริ่มตั้งมั่นขึ้น จิตรู้ ของเขาเริ่มเกิดขึ้น และเริ่มเห็นอาการของขันธ์ 5 ได้บ้างแล้ว ตอนนี้ ถ้าเปรียบก็จะเหมือนว่า เขาได้ออกจากเมื่องในหมอกนี้ ไปยังอีกเหมืองหนึ่งที่มีหมอกเหมือนกันแต่เบาบางกว่า เขาเเห็นอะไรได้บ้าง แต่เห็นไม่ชัด ยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เขาเห็นคืออะไร

เมืองสมมุติ 3
ต่อเมื่อเขาลงมือฝึกฝนการปฏิบัติต่อไปอีกอย่างไม่ย่อท้อ กำลังจิตของเขาเริ่มตั้งมั่นมากขึ้น การเห็นอาการของขันธ์ 5 ก้จะปรากฏให้เห็นได้บ่อยขึ้น เห็นได้ชัดขึ้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า เขาได้ไปอีกเมืองหนึ่ง ที่หมอกเบาบางลงไปกว่าเมื่องเดิมอีก ทำให้เขาเห็นภาพต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น และเริ่มรู้และเข้าใจในสิ่งที่เขาเห็นได้บ้าง แต่ยางอย่าง ก็ยังเห็นไม่ชัดและไม่เข้าใจ

เมืองสมมุติ 4
เมื่อเขาได้ปฏิบัติต่อไปอีกอย่างไม่ย่อท้อ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเขาได้เข้าไปอีกเมืองหนึ่ง ในเมืองนี้ไม่มีหมอก มีแสงสว่างดีมาก เขาเห็นภาพอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจนดี เขารู้ในสิ่งที่เขาเห็นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีอะไรอีกมากในเมืองนี้ ที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรทั้ง ๆ ที่เขาได้เห็นมันแล้ว

.....
เมืองสมมุติทั้ง 4 ที่ผมยกมาเปรียบเทียบนั้น มันก็คือสภาวะแห่งการรู้ของจิตใจในระดับต่างๆ เริ่มจากเมืองที่ 1 ที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย จนเมืองที่ 4 ที่รู้มากขึ้นเพราะสิ่งปิดบังไม่ได้มีอีกต่อไป

ในความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติธรรมของคนหนึ่งๆ เขาจะอยู่ในเมืองทั้ง 4 ตลอดเวลา สลับไปสลับมา ที่เร็วมาก ๆ บางครั้งเขาจะอยู่เมืองที่ 1 บางครั้งเขาจะอยู่เมืองที่ 2 เมืองที่ 3 เมืองที่ 4 ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า กำลังแห่งสติสัปมชัญญะของเขาในขณะนั้น ๆ เป็นเช่นไร

แต่ถ้าใครที่มีกำลังแห่งสติสัมปชัญญะมั่นคงถาวรมาก เขาจะเมื่องที่ 3 และที่ 4 ได้นานมาก ๆ และอยู่เมืองที่ 1 และที่ 2 ด้วยเวลาที่สั้นมาก ๆ

การอยู่เมืองที่ 4 ได้นานมาก ๆ คือ ความตั้งมั่นแห่งสติสัมปชัญญะที่ดีเยี่ยม จิตเขาจะเป็นอุเบกขา ทุกข์ใจใด ๆ ไม่อาจเข้ามาในจิตใจของเขาได้เลย
จิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใส ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ตัวตนของตนเอง เพราะความมีอะไร ต่อมิอะไรนั้น มันได้ดับหมดสิ้นไปแล้ว ในเมืองที่ 4 นี้

เมื่อผมเข้าสู่วงการปฏิบัติธรรม ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมบางอาจารย์ถึงได้พูดถึงเมืองนิพพาน และก็มีหลายอาจารย์ว่า เมืองนิพพานนั้นไม่มีจริง ต่อเมื่อผมปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มเข้าใจว่า เมืองนิพพานานั้นที่แท้ก็คือเมืองสมมุตินั้นเอง มันเป็นเมืองในจิตใจ ไม่ใช่เมืองจริง ๆ แบบกรุงเทพ หรือ ลอนดอน

แต่ว่ากันจริง ๆ แล้ว ทั้งกรุงเทพ และลอนดอน ก็เป็นเมืองสมมุติเช่นกัน
ที่ชาวโลกเขาสมมุติกันขึ้นและตั้งชื่อให้ว่า นี่นะคือกรุงเทพ นี่นะคือลอนดอน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ไม่มีทั้งกรุงเทพ ไม่มีทั้งลอนดอน

ความเข้าใจเรื่องสมมุติ จะทำให้เข้าใจเรื่องปรมัตถ์ได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจสมมุติ ก็จะไม่เข้าใจปรมัตถ์เลย

เมื่อท่านอ่านถึงตรงนี้ ท่านคิดว่า สิ่งที่มีกล่าวในพระไตรปิฏก เรื่องนรก สวรรค์ นั้น เป็นสถานที่จริง หรือ สถานที่สมมุติ กันครับ
เรื่องนี้ ผมมิบังอาจสรุปให้ท่าน แต่ถ้าท่านต้องการรู้ความจริง ท่านสมควรปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าในเรื่องสติปัฏฐาน 4 ครับ




Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 20:00:22 น. 2 comments
Counter : 692 Pageviews.

 
อนุโมทนาด้วยค่ะ


โดย: benyapa IP: 68.183.1.128 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:58:14 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:20:00:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.