ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา
บทความที่ผมจะเขียนนี้ ไม่เหมาะสำหรับคนใหม่ที่เพิ่งฝึกฝน เพราะท่านจะอ่านแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ผมจะเขียนขึ้นเพื่อใครสักคนที่ได้พากเพียรฝึกฝนมามากพอสมควรแล้วและสามารถเข้าใจได้เมื่อได้อ่าน ก่อนที่ท่านจะมาถึงจุดนี้ ท่านต้องผ่านการฝึกฝนจนกระทั้ง.จิตรู้.เกิดแล้ว และตั้งมั่นได้แล้ว ถ้าท่านยังไม่มีคุณสมบัตินี้ ผมแนะนำให้อ่านเรื่อง ตัวอย่างการรู้กายใน blog ของผม แล้วก็ลงมือฝึก ฝึก ฝึก ทุกวัน ฝึกมาก ๆ จน.จิตรู้ เกิดก่อน และ จิตรู้ตั้งมั่นก่อน ขอให้ท่านอย่าใจร้อน การข้ามขั้นไม่ทำให้ท่านไปเร็วขึ้น แต่กลับเป็นว่า ท่านจะเสียเวลาเปล่า เมื่อท่านฝึกสติสัมปชัญญะดังที่ผมเขียนไว้ใน blog เรื่องตัวอย่างการรรู้กาย ท่านจะสังเกตตัวเองได้ว่า ในขณะที่ท่านกำลังฝึกอยู่ แล้วถ้าวันไหนฝึกดี ขอให้ท่านสังเกตตัวเองว่า วันนี้จิตใจท่านจะสดใส และ จิตท่านจะว่องไว รับรู้อะไร อะไร ได้เร็วดี จิตใจท่านอาจมีความสุข หรือ อาจเฉย ๆ ก็ได้ นี่แสดงว่า จิตท่านพร้อมแล้วที่จะยกจิตเข้าสู่วิปสสนาหลังการฝึกฝนแล้ว ขอให้ท่านยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาทันที อย่าได้รีรอ การยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาทำอย่างไร วิธีการก็คือ ขอให้ท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระครับ อย่าไปบังคับจิตให้รับรู้อะไร ซึ่งถ้าท่านฝึกมาดีแล้ว จิตรู้ ท่านตั้งมั่น เมื่อจิตถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จิตรู้ จะทำงานของเขาเองเป็นอิสระเพราะไร้การบังคับนั้นเอง ปล่อยให้จิตรู้ เขารู้อะไรก้ได้ ที่เป็นไปของเขาเอง ไม่ต้องไปบังคับว่า ต้องรู้อย่างโน้น ต้องรู้อย่างนี้ แต่ในธรรมชาติของคนที่ยังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ เมื่อจิตเป็นอิสระ จิตมักจะคิดครับ ( ถ้าท่านฝึกมาดี จิตรู้จะเห็นจิตคิดได้ ถ้าท่านยังฝึกมาไม่ดีพอ จิตรู้จะถูกจิตคิดดูดเข้าไปผสม ถ้าเป็นว่า จิตรู้ ถูกจิตคิดดูดเข้าไปผสมเมือ่ไร วิปัสสนา ก็จบเห่ทันที ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยวิธีนี้แล้ว ) เมื่อจิตมันคิด ให้จิตรู้ เฝ้าดูจิตคิดนั้นไป เรื่อย ๆ ไม่ต้องไปห้ามมันหยุดคิด เฝ้าดูมันคิดไปเรื่อย ๆ ถ้ามันหยุดคิด ก็ช่างมัน ถ้ามันคิดใหม่ก็ช่างมัน มันจะคิดเรื่องอะไรก็ช่างมัน เรื่องดี ก็ช่างมัน เรื่องเลวก็ช่างมัน ปล่อยมันคิดโดยจิตรู้เฝ้าดูมันไปเรื่อย ๆ นี่คือเรียกว่า การเฝ้าดูโดยไม่แทรกแซง ครับ การปฏิบัติแบบนี้ เป็นเพียงแค่ จิตรู้ เห็นการทำงานของจิตตสังขาร อันเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 เรียกว่า จิตพิจารณาขันธ์ ครับ ขอให้จิตพิจารณาขันธ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการสะสมทางปัญญาไว้ก่อน เมื่อจิตพิจารณาขันธ์เป็นการสะสมไว้แล้วมาก ๆ แล้ววันดี คืนดี จิตท่านจะมีการโผล่งตัวออกมาอีกทีหนึ่งของปัญญา เป็นว่า จิต เข้าใจ ขันธ์แล้วว่า ขันธ์ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แต่เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเกิดการปล่อยวางขันธ์ได้ จะเห็นว่า การพิจารณาขันธ์ 5 นี้ ไม่ใช่การนึกคิดแบบที่คนธรรมดาเข้าใจกันเลย แต่กลับเป็นว่า จิตรู้ เฝ้าตามดู การทำงานของขันธ์ 5 โดยไม่แทรกแซงนั้นเอง อนึ่ง ถ้าท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระ แล้ว แต่กลับเป็นว่า จิตท่านว่าง ๆ เฉย ๆ อยู่ ไม่คิดสักที เรื่องนี้พอบอกได้ 2 นัยยะ คือ นัยยะแรก ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือ ว่า นัยยะ 2 ท่านบังคับจิตอยู่ ไม่ได้ปล่อยจิตให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่ท่านมองไม่ออกว่ากำลังบังคับจิตอยู่ ซึ่งอาการหลังนี้ ที่บังคับจิตไว้โดยไม่รู้ตัว เป็นกุญแจสำคัญทีนักปฏิบัตตกม้าตายไปมากต่อมากว่า ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าถึงการปล่อยวางในขันธ์ 5 ได้สักที เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านจะเห็นได้ว่า การปฏิบัตินั้นควรดำเนินไปอย่างไร เพื่อให้ถึงการพ้นทุกข์ตามหลักการของสติปัฏฐาน 4 ถ้าท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าได้เที่ยวประกาศให้ใครต่อใครฟังไปว่า จิตท่านว่างเสียเหลือเกิน เดี๋ยวคนที่เขารู้เรื่องจะอมยิ้มเอาได้ครับ
Create Date : 22 กรกฎาคม 2552
11 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:58:49 น.
Counter : 2950 Pageviews.
โดย: kaoim IP: 119.31.65.185 23 กรกฎาคม 2552 12:16:31 น.
โดย: นมสิการ 23 กรกฎาคม 2552 14:27:09 น.
โดย: นมสิการ 26 กรกฎาคม 2552 0:45:17 น.
โดย: นมสิการ 26 กรกฎาคม 2552 0:49:50 น.
โดย: นมสิการ 27 กรกฎาคม 2552 14:14:38 น.
โดย: lungsem IP: 112.142.150.127 28 กรกฎาคม 2552 21:23:26 น.
โดย: นมสิการ 29 กรกฎาคม 2552 1:12:04 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:59:14 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
เมื่อวานนี้มันเริ่มจะเห็นคำตอบตรงรู้กับเห็นแล้วค่ะ พอมาอ่านเจอที่คุณนมสิการบอกว่า ไม่ต้องไปใส่ใจกับตรงนี้มาก ก็โอเค.ค่ะ เราสร้างสติด้วยการเคลื่อนไหวให้ต่อเนื่องต่อไปดีกว่า... ตรงที่เราหัดด้วยการเคลื่อนไหวนี้ได้ผลดีตรงที่สามารถทำอะไรไปด้วย แล้วก็ภาวนาไปด้วย เพราะว่ามาอยู่วัด พระอาจารย์ก็ใช้ให้ทำงานโน่นงานนี่ตลอดเลยค่ะ จะมีเวลาทำตามรูปแบบจริงๆ ก็หลังทุ่มนึงไปแล้ว เลยมีความรู้สึกว่า เราได้ภาวนาทั้งวัน ซึ่งก็ถูกตามหลักของพระอาจารย์เหมือนกันว่า ท่านบอกว่า ให้ทำงานไปพร้อมกับภาวนาไปด้วย
ตอนนี้ก็กำลังสะสมที่มันเห็นสิ่งที่เกิด และดับไปอยู่ค่ะ
มีโอกาสจะเข้ามารายงานภาวนาให้ทราบเป็นระยะๆค่ะ
อนุโมทนา