รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
28 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
ทำไมพุทธศาสนาจึงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน

มีกระทู้ในห้องศาสนา //www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8371734/Y8371734.html ที่เป็นคำถามที่น่าสนใจว่า

แล้วทำไมต้องจำโน่นจำนี่ได้ ทำให้เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันจริงๆซักที

ถ้ามนุษย์เกิดมาเพื่อพัฒนาตนเอง การจำได้ ความห่วงหา ความรัก โลภ โกรธ หลง จะมีมาเพื่ออะไร ให้การพัฒนาตนเองยากขึ้นอย่างนั้นน่ะเหรอ???

......................................
สำหรับเรื่องนี้ ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ
1. พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่สอนให้คนพ้นจากทุกข์
คำว่า การอยู่กับปัจจุบันนั้น ก็คือ การไม่นึกถึงเรื่องในอดีต การไม่นึกถึงเรื่องในอนาคต แต่เพราะมนุษย์ที่ยังมีอวิชชา เมื่อหลงนึกเข้าไปในอดีต หรือ ใจลอยนึกถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ล้วนเป็นความคิดที่มีอวิชชาประกอบด้วยเสมอ ความคิดที่มีอวิชชาประกอบนี้ ก็คือความหลงอันเป็นโมหะ อันเป็นต้นต่อแห่งความทุกข์ใจ ซึ่งเรื่องนี้ ผมคงไม่ต้องบอกต่อ ทุกท่านที่เคยหลงเข้าไปคิดเรื่องในอดีต ใจลอยในอนาคต คงรับทุกข์ใจกันมาถ้วนหน้ากันแล้ว

อนึ่งการที่มนุษย์จะอยู่กับปัจจุบันได้ มีสถานเดียว ก็คือ เขาต้องมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในขณะัปัจจุึบันเท่านั้น ถ้าขาดแล้วซึ่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็จะหลุดจากปัจจุบันทันที

ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การอยู่กับปัจจุบัน ก็คือ การมีสัมมาสติ สัมมาสมาธินั้นเองครับ

2. สำหรับข้อ 1 นั้นเป็นเรื่องธรรมปฏิบัติ สำหรับเรื่องทางโลกแล้ว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ยังต้องอาศัยการคิดเรื่องในอดีต การวางแผนงานในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับงานทางโลก ผู้ปฏิบัติต้องแยกให้ออกในเรื่องนี้ อย่าได้นำมาปนกัน จะ้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาทันทีและจะวางตัวไม่ถูก กลายเป็นตัวประหลาด จะเข้ากับใครก็ไม่ได้ครับ

3. สำหรับนักปฏิบัิติทีปฏิบัติมาดีมากแล้ว จิตรู้เขาเกิด และ เป็นจิตรู้ทีแผ่กระจายกว้างออกไปแบบไร้ขอบเขต เขาย่อมจะเห็นได้ชัดเจนว่า การอยู่กับปัจจุบัน หรือ การมีสัมมาสติ สัมมาสมาธินั้น เขาจะเห็นสภาวะธรรมอันเป็นปรมัตถ์ธรรม พร้อมไปกับเรื่องราวทางโลก เขาจะเห็นสภาวะแห่งการไร้คัวตนเมื่อเขาอยู่กับปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคิดโน่น คิดนี่ก็ยังได้ เหมือนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป และไม่หลงไปกับความคิด

แต่สำหรับนักปฏิบัติมือใหม่ หรือ ผู้ที่ยังมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ไม่แน่นพอ เขาจะวางตัวกระทำเหมือนอย่างนักปฏิบัติที่ำชำนาญแล้วไม่ได้ครับ
ถ้าเขารู้ทางธรรม ทางโลกเขาจะไม่รู้ ถ้าเขารู้ทางโลก ทางธรรมเขาก็จะไม่รู้ มันเป็นซะอย่างนี้ ดังนั้น การฝึกฝนที่ต่อเนื่องและถูกต้องเท่านั้น จึงจะนำพาเขาให้รู้อยู่ทั้งทางโลก และ ทางธรรม
มันไม่ใช่ของง่าย แต่ก็ยังมีทางที่เป็นไปได้อยู่ครับ

....................
เรื่องคำสอนในพุทธํศาสนามักจะยากอยู่ตรงนี้ เพราะคำสอนเดียวกัน จะใช้เหมือนกันทุกคนย่อมไม่ได้ เนื่องจากระดับแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีต่างกันนั้นเอง

รู้อยู่กับรู้ ทุกข์ใจก็จะไม่เกิดครับ นี่ก็ อยู่กับปัจจุบันเหมือนกัน สุดแล้วแต่ใครจะพูดสื่อสารออกมาแบบใดเท่านั้น

หมายเหตุ สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องใน blog ของผม อาจอ่านไม่เข้าใจในเรื่อง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ผมนำมากล่าวถึง ซึ่งเรื่อง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นหลักปฏิบัิติเพื่อการพ้นทุกข์ในพุทธศาสนา ผมมีเขียนไว้หลายตอนใน blog ผมนี้ ลองหาอ่านดูได้ครับ



Create Date : 28 กันยายน 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:07:10 น. 6 comments
Counter : 1461 Pageviews.

 
ที่ให้มีสติอยู่กับ ปัจจุบันเพื่อไม่ให้จิตฟุ้งเท่านั้นเอง
สมาธิจะได้เกิดง่าย


โดย: นายทนโท่ IP: 110.169.2.119 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:23:44:05 น.  

 
การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เพื่อไม่ให้จิตฟุ่งซ่านครับ
แต่การมีสติอยู่กับปัจจุบัน คือ การที่จิตรู้เห็นความจริงได้ในปัจจุบัน

เมื่อจิตรู้เขาเกิดและแยกตัวออกมาแล้ว จิตตสังขาร หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ฟุ่งซ่าน นั้น มันจะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก้ได้ แล้วแต่เหตุและปัจจัย แต่การอยู่กับปัจจุบัน จะทำให้จิตรู้ เห็นอาการของจิตตสังขารนี้ อันเป็นไปเองของขันธ์ 5

การไปกดให้จิตตสังขารไม่เกิดขึ้น ย่อมเป็นการปฏิบัติด้วยตัณหาที่ไม่ต้องการให้มี ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

จิตตสังขาร หรือ ความคิดฟุ่งซ่านนั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเด็กเล็ก เขาย่อมเล่นซุกซนไปตามเรื่องตามราวของเขา แต่ จิตรู้ ที่เฝ้าดูเห็นจิตตสังขารอยู่ จะเป็นตัวการที่ไม่ให้จิตตสังขารโลดแล่นไปในทางที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ ก็เหมือน ผู้ปกครองที่ปล่อยให้เด็กเขาเล่นไป แต่ตามดู ไม่ให้เด็กไปสร้างเรื่องราวขึ้นเท่านั้นเอง

ไม่ต้องเชื่อครับ เพียงแต่ฝากไว้พิจารณาของท่านเอง


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:6:30:57 น.  

 
ในสมัยเมื่อหลายปีก่อนที่ยังปฏิบัติแบบไม่ถูก 55 คิดว่าการอยู่กับปัจจุบันเลยสร้างปัญหาให้กับตัวเองและคนรอบข้างค่ะ สมัยนั้นยังทำงานประจำอยู่ มีอยู่วันนึง เราโพล่งขึ้นมาว่า เราเหมือนคนไม่มีอนาคต เพราะตัดความคิดถึงอดีตและการตั้งเป้าหมายในอนาคตออก รวมไปถึงเป้าหมายของการทำงานไปด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องทางโลกซึ่งยังต้องเกี่ยวข้องอยู่ เอาปัจจุบันธรรมมาทำให้เรื่องทางโลกป่วนเลยค่ะ เพราะความไม่เข้าใจ แล้วตัวเราเองก็ดูเป็นคนประหลาดไปด้วย

แต่ปัจจุบันนี่รู้สึกว่าสบายขึ้นค่ะ แต่ภายนอกคนอื่นกลับดูเหมือนเราเป็นคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมค่ะ


โดย: kaoim IP: 119.31.126.141 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:8:05:04 น.  

 
อดีตและอนาคต..เป็นสมุติบัญญัติที่จิตหลงไปคิดว่ามีอยู่จริง....แท้จริงคือสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปทีละขณะ

ขณะที่เรายืนบนขั้นบันได..เท้าของเราสัมผัสขั้นบันได้เพียงขึ้นเดียว(ขั้นที่เรายืนอยู่)...ขั้นที่อยู่บนและล่าง..เราไม่สามารถสัมผัสได้...


โดย: palmgang IP: 119.42.71.230 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:13:50:22 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณ palmgang
ท่านกล่าวได้ชัดเจน กระชับ เห็นภาพได้ดีมาก ๆ ครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:15:25:52 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:19:16:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.