ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...
บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้
เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **
ตอนนี้ผมรู้สึกแบบเห็นกายกับความคิดมันห่างจากกันน่ะคับ คล้ายเส้นสองเส้นที่บางทีขนานกัน คือเหมือนร่างกายมันก็ทำงานของมันได้เอง ความคิดก็เหมือนกัน โดยที่บางทีไม่ต้องเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ ต่างคนต่างทำงานของมันไป แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเส้นเดียวกันอยู่คับ
มันเป็นความรู้สึกที่เกิดตอนที่ผมไปรู้อยุ่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ่อยๆ (เมื่อก่อนผมจะรู้สึกถึงลมหายใจกับความคิดประมาณอย่างละครึ่งคับพี่) แต่ตอนนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวของกายราว 70 ลมหายใจกับความคิดอีกที่เหลือ (ผมรวมความรู้สึกต่างๆ ที่ใจไว้ในความคิดนะคับ จะได้เขียนรวบๆ) แล้วมันก็เป็นกลางต่อความคิดมากขึ้นด้วยครับ ทั้งที่เมื่อก่อนผมรุ้สึกว่าผมรู้ความคิดได้บ่อยๆ แทบจะเป็นหลักเลย มันกลับเป็นกลางน้อยกว่าตอนนี้ ที่ผมไปรู้ที่กายเป็นหลักอีก
แต่เมื่อวันก่อนที่ผมจะเห็นกายกับความคิดมันห่างจากกันนั้น เหมือนมันตื่นอยุ่ทั้งวันเลยคับ แต่อาจจะคิดไปเองก็ได้ คือมันเหมือนมันรู้สึกตัวได้เอง แทบทั้งวัน เป็นอยู่สองสามวันคับ ตอนนี้ก็ยังรู้ได้ แต่นานๆ ทีแล้ว ตอนนี้ผมเลยมาใส่ใจในการรู้กายเป็นหลักอย่างที่พี่เคยแนะนำเลยคับ ส่วนอย่างอื่น ก็รู้ได้เท่าที่รู้
เท่าที่สังเกตอีกเรื่อง ขณะที่ไปรู้อะไรนั้น มันจะมีแค่สองอย่างเกิดขึ้น คือ การรู้ และ สิ่งที่รู้ คือเคยอ่านเจอที่พี่เขียนบอกว่าจริงๆ จะเห็นว่ามีจิตรู้ไปรู้ ในตอนแรกจะรู้สึกว่า ตัวรู้นี้เป็นเรารู้ อยู่ แต่ผมจะมาเห็นตัวรู้ หรือรู้สึกว่าตัวรู้นั้นเป็นผม ก็อีกขณะนึง หลังจากที่รู้แล้ว น่ะคับ