รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
10 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
จงกรม บ่มรู้ ดูใจ ไม่เข้าไปในความคิด

"จงกรม บ่มรู้ ดูใจ ไม่เข้าไปในความคิด" ผมได้ยินประโยคการปฏิบัตินี้จากซีดีของ อาจารย์โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ ) ประโยคนี้เป็นการสรุปวิธีปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ที่สั้น กระทัดรัด จำได้ง่าย

มาดูความหมายในการปฏิบัติกันครับ

1 ) จงกรม .... คำนี้จะหมายถึง การเดินจงกรม หรือ จะเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไรก็ได้ อาจเป็นในการฝึกตามรูปแบบ หรือ การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน

2) บ่มรู้ ..... คำนี้ จะหมายถึง การรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่เป็นไปเองอย่างต่อเนื่องอันเนื่องจากการทำงานเองของระบบประสาทของร่างกาย เมื่อผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกตัวอยู่
เมื่อท่านสังเกตตัวเองดู เมื่อท่านเพียงรู้สึกตัวเป็นปรกติ จิตใจสบาย ๆ ไม่มีอะไร ไม่มีการคิดอะไรอยู่ ไม่ใจลอย ระบบประสาทของร่างกายจะทำงานเองอย่างเป็นอิสระของมันเอง ตาก็ยังมองเห็น หูก็ยังได้ยิน กายก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนการไหว การสัมผัส เป็นต้น การรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวนี้อยู่สม่ำเสมอ นี่คือ การบ่มรู้ อันเป็นสิ่งให้สติระลึกถึง เป็นเครื่องรู้ของจิต
การบ่มรู้นี้สำคัญนัก เพราะจะเป็นบ่มเพาะกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้แข็งแกร่งมากขึ้น

3) ดูใจ .... คำ ๆ นี้ ก็คือ การรู้สภาวะจิตใจในขณะนั้น ๆ ว่า จิตใจ มีอะไร อยู่หรือไม่ หรือ จิตใจว่างเปล่า ไม่มีอะไร สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่บางคน จะรู้สึกถึงสภาวะของจิตใจนี้ไม่ได้เลย ถ้ารู้สึกถึงไม่ได้ ก็ไม่ต้องตกใจ ขอให้เว้นข้อนี้ไปก่อน แต่ถ้าใครสามารถที่ดูจิตใจนี้ได้แล้ว ก็ขอให้ดูไปด้วย
แต่การดูจิตใจนี้ ไม่ใช่หมายความว่า การไปจ้องดูที่จิตใจ นี่จะเป็นการเพ่งจ้องไป อันเป็นการปฏิบัติที่ผิด แต่การดูจิตใจที่นี่ คือ การรู้ที่เป็นไปเองโดยไม่ต้องไปจ้องดูเลย

เพื่อขยายความในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นได้
ท่านเคยปวดท้องถ่ายหนักไหมในขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่ หรือ กำลังเดินอยู่ ก็ได้ นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่า ขณะนั้นมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ปวดท้องอยากจะถ่ายหนัก ท่านคงรู้สึกได้แน่ ๆ แต่ถ้าท่านในขณะนี้ ท่านไม่รู้สึกถึงการปวดท้องถ่าย เพราะมันไม่มีนั้น ท่านรู้สึกถึงการที่ไม่มีความรู้นึกต้องการถ่ายหนักนี้ได้หรือไม่

การรู้สึกที่ไม่มีว่าต้องการถ่ายหนัก ก็จะเหมือนความรู้สึกที่ไม่มีอะไรของจิตใจเช่นกัน มันไม่มีจริง ๆ ก็เลยทำให้บางคนรู้สึกไม่ได้ แต่ก็บางคนก็รู้สึกถึงได้

สำหรับ จิตใจ ถ้ามีอะไรอยู่ เช่น มีอาการพอใจ หรือ ไม่พอใจ ในสิ่งใด ก็ขอให้สลัดอาการในจิตใจ นั้น ๆ ทิ้งไปเสีย

4) ไม่เข้าไปในความคิด ..... คำ ๆ นี้หมายถึง ในขณะที่กำลังปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิอยู่ ตามวิสัยของปุถุชน เมื่อท่านฝึกฝนสัมมาสติ อยู่นั้น ความคิดจะฟุ่งขั้นมาอยู่ตลอเวลา อย่าไปห้ามมันไม่ให้คิด แต่ว่า เมื่อมันคิดแล้ว ให้สลัดความคิดนั้นทิ้งไป อย่าเข้าไปในความคิดนั้น เพราะเมื่อเข้าไปในความคิด จิตรู้ จะหายไป ทำให้นักปฏิบัติไม่เห็นสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่กำลังปรากฏอยู่ตามความเป็นจริง

............................

ผมเห็นใน Youtube มีคนนำวิดิโอสอนการรูสึกตัวของอาจารย์โกวิทเข้าไปใส่หลายตอน ลองหาใน Google ดูครับ//www.google.co.th/search?hl=th&q=youtube+%2B+kovit&meta=

มีหนังสือที่เขียนโดย อาจารย์โกวิท อยู่หลายเล่ม แต่เล่มที่ผมอยากแนะนำให้ท่านอ่านคือ
1) จากดั๊กแด้สู่ผีเสื้อ
2) ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือ

ซึ่งทั้ง 2 เล่ม ยังหาซื้อได้ในท้องตลอดอยู่ครับ

.................

ผมหวังว่า บทนี้ใน blog คงจะช่วยให้ท่านเข้าใจในวิธีการปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ดียิ่งขึ้นครับ




Create Date : 10 กันยายน 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:08:24 น. 10 comments
Counter : 1169 Pageviews.

 
เคยอ่าน ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือ น่ะครับ

ตอนนี้ผมรู้สึกแบบเห็นกายกับความคิดมันห่างจากกันน่ะคับ คล้ายเส้นสองเส้นที่บางทีขนานกัน คือเหมือนร่างกายมันก็ทำงานของมันได้เอง ความคิดก็เหมือนกัน โดยที่บางทีไม่ต้องเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ ต่างคนต่างทำงานของมันไป แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเส้นเดียวกันอยู่คับ

มันเป็นความรู้สึกที่เกิดตอนที่ผมไปรู้อยุ่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ่อยๆ (เมื่อก่อนผมจะรู้สึกถึงลมหายใจกับความคิดประมาณอย่างละครึ่งคับพี่) แต่ตอนนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวของกายราว 70 ลมหายใจกับความคิดอีกที่เหลือ (ผมรวมความรู้สึกต่างๆ ที่ใจไว้ในความคิดนะคับ จะได้เขียนรวบๆ) แล้วมันก็เป็นกลางต่อความคิดมากขึ้นด้วยครับ ทั้งที่เมื่อก่อนผมรุ้สึกว่าผมรู้ความคิดได้บ่อยๆ แทบจะเป็นหลักเลย มันกลับเป็นกลางน้อยกว่าตอนนี้ ที่ผมไปรู้ที่กายเป็นหลักอีก

แต่เมื่อวันก่อนที่ผมจะเห็นกายกับความคิดมันห่างจากกันนั้น เหมือนมันตื่นอยุ่ทั้งวันเลยคับ แต่อาจจะคิดไปเองก็ได้ คือมันเหมือนมันรู้สึกตัวได้เอง แทบทั้งวัน เป็นอยู่สองสามวันคับ ตอนนี้ก็ยังรู้ได้ แต่นานๆ ทีแล้ว ตอนนี้ผมเลยมาใส่ใจในการรู้กายเป็นหลักอย่างที่พี่เคยแนะนำเลยคับ ส่วนอย่างอื่น ก็รู้ได้เท่าที่รู้

เท่าที่สังเกตอีกเรื่อง ขณะที่ไปรู้อะไรนั้น มันจะมีแค่สองอย่างเกิดขึ้น คือ การรู้ และ สิ่งที่รู้ คือเคยอ่านเจอที่พี่เขียนบอกว่าจริงๆ จะเห็นว่ามีจิตรู้ไปรู้ ในตอนแรกจะรู้สึกว่า ตัวรู้นี้เป็นเรารู้ อยู่ แต่ผมจะมาเห็นตัวรู้ หรือรู้สึกว่าตัวรู้นั้นเป็นผม ก็อีกขณะนึง หลังจากที่รู้แล้ว น่ะคับ


โดย: บั๊กคุง วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:10:41:20 น.  

 
ขอแก้ย่อหน้าสุดท้ายนิดนึงคับ

ผมจะรู้สึกว่าผมเป็นคนรู้ ในอีกขณะนึง หลังจากที่รู้แล้ว แต่ไม่เคยเห็นว่าเป็นตัวรู้ หรือตัวรู้ที่แยกต่างหาก ห่างๆ ไปจากผม เหมือนตอนเห็นความคิดกับร่างกายนะคับ (เขียนเพลินไปหน่อย)


โดย: บั๊กคุง วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:10:45:50 น.  

 
แสดงว่า มีการพัฒนาขั้นมาบ้างแล้ว
การรู้ นั้น มันจะรู้อะไรก็ได้ แล้วแต่มันจะไปรู้
แต่โดยหลัก ๆ แล้ว กายจะรู้ได้บ่อย เพราะเรามีขยับตัวเคลื่อนไหวอยู่เสมอนั้นเอง


โดย: นมสิการ วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:11:02:26 น.  

 
ท่าน นมสิการ อธิบายให้นึกตามได้ง่ายและชัดเจนเมื่อพัฒนามากขึ้นจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า "ความคิดไม่ใช่ของเรา" ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ...สาธุ..สาธุ..อนุโมธามิ


โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:11:44:37 น.  

 
สาธุครับ


โดย: sak (psak28 ) วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:12:00:24 น.  

 
ผมก็ดูจิตแบบนี้หละครับ แวะบล็อกผมบ้างครับ


โดย: jet IP: 112.142.233.229 วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:23:43:07 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านครับท่าน

บ่มรู้อยู่ที่รู้(ฐานที่ตั้งของสติ) อย่าส่งจิตออกไปรู้อยู่ที่เรื่องครับ


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:8:00:36 น.  

 
ขอบคุณค่ะ จะแวะเข้าไปดูใน youtube ค่ะ


โดย: kaoim IP: 110.49.130.186 วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:8:05:28 น.  

 


...แวะมาทักทายค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะคะ .


โดย: คนดีคนเก่ง วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:8:32:49 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:19:21:34 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.