ขบวนการเกิดทุกข์ และ ดับทุกข์ ฉบับชาวบ้านอ่าน
จากภาพเป็นขบวนการเกิดทุกข์ทางใจขึ้น มาดูขบวนการครับ
A เป็นการทำงานของระบบประสาทของร่างกาย เช่น ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายได้รับการสัมผัส ใจมีการนึกคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา การทำงานนี้จะเกิดเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น เช่น สมมุติว่า เรากำลังนั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีโทรศัพท์จากเพื่อนมาบอกว่า เห็นแฟนของเรากำลังเดินควงคู่กับคนอื่นอย่างมีความสุขที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ขบวนการรับรู้เรื่องทำงานแล้ว
B เมื่อหูได้ยินเรื่องแฟนจากทางโทรศัพท์ ก็จะเกิดความคิดขึ้นมาทันที เมื่อคิด ก็จะมีขบวนการเข้าเสริมการคิด ที่ตำราเรียกกันว่า อวิชชา (ที่จริง ๆ คืออะไรก็ไม่รู้ แต่มันมาทำให้เกิดการคิดปรุงแต่งขึ้นมา )
C เมื่อมีการคิดด้วยการเสริมพลังจากอวิชชา ก็จะเกิดอาการพอใจ ไม่พอใจขึ้นมาทันที นี่คือทุกข์เกิดแล้ว ถ้าไม่พอใจ ใจก็จะกระวนกระวายใจ ไม่เป็นสุข ไม่เป็นอันทำงาน หน้าตาบูดบึ้ง พูดจาไม่มีน้ำเสียงที่น่าฟัง ใจสั่น มือสั่น หน้าแดง และอื่น ๆ ตามมา ที่สำคัญคือ สาร อะเดนาลีน (อะเดนาลีน ที่สารที่หลังในต่อมไร้ท่อที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปรกติและเป็นผลเสียแก่ร่างกาย ) เกิดการหลังภายในร่างกายโดยที่ควบคุมไม่ได้เลย
ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝน สัมมาสติ จนเกิดสัมมาสมาธิ เขาก็จะวุ่นวายใจอยู่ในกองทุกข์เป็นเวลานาน เขาอาจจะก่อทุกข์เพิ่มอีก ในยามเย็นเมื่อกลับบ้านที่ไปต่อว่าต่อวาจากับแฟน อาจกลายเป็นการทะเลาะวิวาท หรือ ทำร้ายร้างกาย เป็นเรื่องใหญ่ต่อไปได้
.....................
ทีนี้มาดูขบวนการดับทุกข์กัน
สำหรับผู้ที่ฝึกฝนสัมมาสติ จนจิตใจตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิดีแล้ว
แบบที่ 1 สำหรับผู้ทีฝึกมาดีพอสมควรแล้ว จิตรู้ ของเขาจะเห็นขบวนการที C อันทุกข์ได้เกิดแล้ว แต่ด้วยพลังแห่งจิตรู้ที่เกิดขึ้นและเห็นอาการทางจิตที่ C ได้ อาการทางจิตที่ C ก็จะหยุดลงได้กลับมาเป็นคนที่มีใจปรกติเช่นเดิม ยิ่งถ้าเป็นผู้ทีฝึกมาดีเท่าใด การเห็นทุกข์ก็จะยิ่งเร็วมากเท่านั้น และทุกข์ก็จะหยุดลงได้เร็วขึ้น
แบบที่ 2 สำหรับผู้ที่ฝึกมาดีแล้วและดีกว่าแบบที่ 1 สัมมาสติของผู้นี้จะว่องไวมากและตั้งมั่นอย่างมั่นคง เมื่อเกิดขบวนการการคิดขึ้นใน B จิตรู้ของเขาก็จะเห็นความคิดทันที และ ความคิดก็จะหยุดลงทันทีเช่นกัน ไม่เกิดปรุงแต่งต่อเป็นอาการพอใจ ไม่พอใจเกิดขึ้น
แบบที่ 3 สำหรับผู้ที่ทำลายอวิชชาลงได้ คือทำลายการเสริมแต่งลงได้แล้ว ถึงจุดนี้ ไม่ว่า เขาจะคิดหรือไม่คิด ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป เพราะทุกข์ใจไม่มีทางเกิดได้อีกเลย
..................
การลดลงแห่งทุกข์นั้น แบบที่ 1 และ 2 จะเป็นการลดลงด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิที่สัมมาสติตั้งมั่น ตราบใดที่สัมมาสติตั้งมั่น การเกิดขึ้นของทุกข์และการลดลงของทุกข์ ก็ยังมีมีอยู่เสมอ ๆ แต่ก็ยังดีที่ว่า ทุกข์ถึงแม้เกิดก็จริง แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน มันก็สลายลงไปด้วยกำลังแห่งสัมมาสติที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
สำหรับแบบที่ 3 นั้นเป็นการดับทุกข์อย่างถาวรด้วยปัญญาญาณที่เข้าทำลายอวิชชา อันเป็นแหล่งเสริมแต่งการปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ขึ้น เมื่อไร้อวิชชา ขบวนการความคิดที่เกิดก็ไม่เจือด้วยอวิชชาและอาการทุกข์ใจเกิดขึ้นไม่ได้
การลดลงแห่งทุกข์ไม่ว่าแบบด้วยสัมมาสมาธิ หรือ ด้วยปัญญาญาณ ทุกอย่างจะเป็นกลไกที่ทำงานอย่างอัตโนมัติ ถ้าผู้ฝึกฝึกมาดี อย่างไรกลไกนี้ก็ต้องทำงานเสมอ จึงมั่นใจได้ว่า ถ้าฝึกมาดีแล้ว ทุกข์ย่อมลดลงได้แน่นอน
แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสมาธิแบบฤาษี หรือ ฝึกสมถกรรมฐาน ถ้าเขาฝึกมาดี เขาก็สามารถใช้สมาธิที่ฝึกมากดอาการทุกข์ทางใจได้เช่นกัน แต่ถ้าเขาเผลอใจ สมาธิของเขาก็จะเสื่อมในตอนที่เขาเผลอใจ เมื่อสมาธิเสื่อม เขาก็จะกดทุกข์ใจไม่สำเร็จ ดังนั้น สมาธิแบบฤาษี จึงเชื่อถือไม่ได้ว่าจะทำงานได้ทุกครั้งเมื่อเกิดทุกข์ใจขึ้นมา
................................... ผมเขียนบทนี้ขึ้นมา เพื่อแสดงภาพให้เห็นได้ชัดขึ้นถึงประโยชน์แห่งการฝึกฝนสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และขบวนการดับทุกข์ในเกี่ยวเนื่องในพุทธศาสนาด้วยภาษาชาวบ้าน ง่าย ๆ หวังว่าท่านที่อ่านคงมองออกและเข้าใจได้พอสมควร ถ้าบทความนี้สามารถกระตุ้นให้ท่านเห็นประโยชน์แห่งพุทธศานาในการลดลงแห่งทุกข์ได้ และทำให้ท่านหันมาฝึกสัมมาสติจนเกิดผลแห่งการลดลงแห่งทุกข์ได้เกิดขึ้นจริง ก็นับว่าบทความนี้สามารถบรรลุเป้าหมายที่เขียนขึ้นมาแล้วครับ
แนะนำอ่านเพิ่มเติมสำหรับมือใหม่ ความรู้สึกตัว ฉบับชาวบ้านอ่าน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=24&group=1&gblog=43
ลักษณะของสัมมาสมาธิฉบับชาวบ้านอ่าน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=26&group=1&gblog=80
สำหรับการฝึกฝนสัมมาสติ ผมมีเขียนไว้ที่เรื่อง ตัวอย่างการฝึกเพือการรู้กาย //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2009&date=30&group=1&gblog=20
หลักการเบื้องต้นของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแบบชาวบ้าน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2009&date=02&group=1&gblog=83
Create Date : 19 กันยายน 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:07:31 น. |
Counter : 1754 Pageviews. |
|
|
|
ขบวนการที่1และ2 ยังมีสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้
ขบวนการที่ 3..จะไม่มีสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้..ธาตุรู้จะซึมซ่านไปทั่ว..จนกลายเป็นจิตหนึ่ง..
..อย่าได้ถือสาในข้อความนี้..โพสท์ส่งเดชไปอย่างนั้น