รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
ทำไมผมสอนแต่กายานุปัสสนา ไม่สอนการดูเวทนา ไม่สอนการดูจิต ไม่สอนการดูธรรม แล้วจะครบสูตรได้อย่างไร

ถ้าท่านติดตามอ่านบทความของผมในบล๊อกนี้และมีความสงสัยว่า ทำไมผมสอนแต่กายานุปัสสนา ไม่สอนการดูเวทนา ไม่สอนการดูจิต ไม่สอนการดูธรรม แล้วจะครบสูตรของสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างไร
ซึ่งเรื่องนี้ ผมขออธิบายดังนี้

สิ่งที่ผมอธิบายการฝึกฝนการลูบแขนอันเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ก็เพราะว่า การฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพื่อให้ท่านเกิด สติสัมปชัญญะ ก่อน เป็นสิ่งทีฝึกได้ง่ายสำหรับคนส่วนใหญ๋ ใคร ๆ ก็ฝึกได้ ไม่ต้องรู้อะไรมาก ฝึก ๆ เข้าไปนั้นแหละ แล้ว สติสัมปชัญญะของท่านก็จะเกิดได้เอง แต่มีข้อแม้ว่า ต้องฝึกอย่างถูกต้อง และต้องฝึกบ่อย ๆ สมำเสมอเท่านั้นเอง

เมือสติสัมปชัญญะของเท่านเกิดแล้ว และท่านยังฝึกต่อไปอีกอย่างสม่ำเสมอ ต่อไป จิตรู้ ของเท่านจะเกิดขึ้น เมื่อฝึกต่อไปอีก จิตรู้ ที่เกิดจะตั้งมั่นมากขึ้น ปรากฏการรู้ได้นานขึ้น ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่า กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา ก็จะเห็นได้เองด้วย .จิตรู้. อันเป็นครบทั้ง 4 สูตรของสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง

แต่ถ้าจิตรู้ ยังไม่เกิด ยังไม่ตั้งมั่น ไม่มีทางเลยที่การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 จะครบถ้วนอย่างแท้จริง

สำหรับท่านที่ฝึกมาในแนวอื่น ถ้าการฝึกของท่านก่อให้เกิดความตั้งมั่นแห่งจิตรู้ ก็ใช้ได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านฝึกมาเนินนาน แล้ว ยังไม่รู้เลยว่า จิตรู้ เกิดนี่เป็นอย่างไร ท่านสมควรจะมองการฝึกของท่านเสียใหม่ เพราะค่อนข้างแน่นอนครับว่า มันจะไม่ตรงทางตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ซะแล้วครับ




Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:59:48 น. 9 comments
Counter : 2904 Pageviews.

 
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่า หากฝึกมานานแล้ว จิตตื่นรู้ยังไม่เคยปรากฏเลย คงต้องพิจารณาว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า

หลายๆคน ยังแยกไม่ออกเลยค่ะว่า จิตที่ปรกติและจิตที่พวกเขาคุ้นเคยน่ะ มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อันนี้คือจุดอ่อนของนักภาวนาที่เิริ่มจากการดูจิตเลย



โดย: แมกโนเลีย IP: 58.8.38.3 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:36:15 น.  

 
สาธุค่ะ


โดย: 12ปันนา IP: 58.9.55.216 วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:06:38 น.  

 
สำหรับผมมีความเห็นคล้ายคลึงกับท่านครับ

ของผมนั้นต้องอาศัยอานาปานสติที่ฐานจุดกระทบครับ
ซึ่งก็เป็นกายคตาสติอีกแบบหนึ่งครับ

เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆก็เป็นแบบที่ท่านบอกแหละครับ
คือต้องผ่านเวทนา ผ่านเข้าถึงจิตรู้ เมื่อถึงก็เห็นธรรมอันเป็นคู่ปรับครับ

ผมเองขอยืนยันว่า การจะดูจิตให้ได้ผลนั้นควรเริ่มต้นที่กายคตาสติครับ


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:07:08 น.  

 
อาณาปานสติที่จุดกระทบ จะยังเป็นการเพ่งอยู่
ถ้าฝึกอาณาปานสติ ให้รู้ลักษณะว่ามีการหายใจอยู่ เช่นรับรู้อาการที่ไหว ๆ กระเพื่อม ๆ ของลม นี่จะเป็นการฝึกที่ไม่เพ่งครับ

ถ้าเราฝึกแบบไม่เพ่ง เราจะรู้เพียงอาการที่เกิดขึ้นเท่านั้น
และจิตรู้ที่ตั้งมั่น อยู่ที่ฐานของการรู้ แต่ถ้าเราไปเพ่งที่จุดกระทบ จิตรู้ จะไหลออกจากฐานที่ตั้ง วิ่งไปสู่ที่จุดกระทบทันที


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:16:37 น.  

 
ท่านนมสิการครับ
การเพ่งรู้ที่จุดลมกระทบที่ผมปฏิบัติอยู่นั้น
เป็นเพ่งรู้ที่ฐานที่ตั้งของสติเช่นกันครับ ลมเข้าก็รู้ลมออกก็รู้(ไม่ตามลม)

เมื่อเพ่งรู้ จิตจะออกไปรู้เรื่องอะไรก็รู้ว่าออกไป
เมื่อรู้ว่าจิตเผลอสติหลุดออกจากฐานก็อาศัยองค์ธรรมอีก๒องค์
คือสัมมาวายามะเพียรประคองเพ่งรู้อยู่ที่ฐาน
และสัมมาสติระลึกการเพ่งรู้อยู่ที่ฐาน โดยไม่ต้องตามลมครับ

เมื่อลมหายใจถูกเพ่งรู้มากเข้าๆ
ลมหายใจซึ่งเป็นกายสังขารชนิดหนึ่ง
ก็แสดงพระไตรลักษณ์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนครับ

ผมปฏิบัติอยู่นั้นก็อาศัยฐานที่ตั้งของสติเช่นกันครับ
เมื่อเพ่งรู้ ย่อมรู้จักผู้รู้ใช่มั้ยครับ???

ที่ท่านว่า "อยู่ที่ฐานของการรู้"นั้น ฐานที่ตั้งอยู่ที่ไหนครับ
ถ้าเป็นที่ฐานกายนั้น ส่วนไหนของกายครับ

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:54:24 น.  

 
ฐานที่ตั้งของการรู้ มีอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน
มันจะกว้างๆ อยู่รอบ ๆ ใบหน้า ในพระสูตรก็มีเขียนไว้ในอาณาปานสติ ที่ว่า .ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า.
การดำรงสติเฉพาะหน้า นั้นคือฐานของการรู้ครับ
เมื่อ .จิตรู้ . เกิดและตั้งมั่นในฐานของการรู้เมื่อใด
จิตรู้ จะรู้เพียงอาการทางกาย อาการทางจิต โดยที่ .จิตรู้ .ยังคงอยู่ที่ฐาน ไม่หนีไปไหนเลย เมื่อจิตรู้ ไม่หนีไปเลย จิตรู้จะรู้เพียงอาการต่าง ๆ ถ้ารู้ทางกาย ก็จะ ที่ไม่มีกาย ไม่มีอวัยวะ ไม่มีรูจมูก มีแต่ อาการที่จิตรู้ รู้อยู่ที่ฐานเท่านั้น
คุณลองพิจารณาดูก็ได้ครับ ถ้าคุณไปรู้ที่ปลายจมูก เมื่อดูลมกระทบ ถ้าฐานของจิตรู้ อยู่ที่นั้นแล้ว ถ้าคุณเดินจงกรม จิตรู้ วิ่งไปที่เท้าที่กระทบพื่นหรือไม่ ถ้า จิตรุ้ วิ่งไปทีเท้าอยู่ แสดงว่า จิตรู้ วิ่งไป วิ่งมา ไม่อยู่ฐานแล้วครับ เพราะเดียวก็ไปอยู่ปลายจมูก เดียวก็ไปอยู่ที่เท้า อย่างนี้เป็นต้น

ผมพูดเรื่อง จิตรุ้ วิ่งไปวิ่งมา ไม่อยู่กับฐาน รู้ทีแท้จริง กับคนหลายคน ไม่มีใครเข้าใจและเชื่อผมเลย เพราะเขาเพ่งจนเคยตัวนั้นเอง เลยไม่รู้ว่า การที่ไม่เพ่ง นั้น ที่จริงเป็นเช่นไร โดยเฉพาะพวกที่ฝึก หนอ ๆ ที่คนสอนให้รู้ที่เท้ากระทบ รู้ที่ท้องที่พองยุบ นี่เป็นการเพ่งชัด ๆ เลย คุณลองพิจารณาดูให้ดี ๆ ครับว่า จริงหรือไม่ว่า นี่คือเพ่งโดยที่จิตรู้วิ่งไปที่เท้า วิ่งไปที่ท้อง ไม่ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของการรุ้

อีกประการหนึ่ง เมื่อจิตรู้ อยู่ที่ฐานแล้ว เวลา เกิดอะไรขึ้นก็ตาม เช่น เกิด เวทนา เกิด การปรุงแต่งทางจิต เช่น เกิดโกรธ จิตรู้ ก็จะเห็น เวทนา เห็นจิตปรุงแต่งได้ ซึ่งการเกิดของเวทนา ของจิตปรุงแต่ง ก็เกิดอยู่ที่เดียวกับ ฐานของ.จิตรู้ นั้นเอง

มีคำกล่าวในมหายานที่กล่าวไว้ว่า
อย่าใช้จิตแสวงหาจิต เพราะหาเท่าใด ก็จะไม่พบครับ
จะมีแต่รู้ แต่ไม่รู้ว่า อยู่ที่ใด แปลกมาก ๆ


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:25:17 น.  

 
ถ้าคุณฝึก อาณาปาณสติ
เวลาผมสอนคนใหม่ให้เขารู้ลมหายใจ ผมจะบอกให้เขาลืมตาครับ ตามองไปข้างหน้าเฉยๆ หรือมองไปไกล ๆ แต่อย่าจ้องอะไร
เพียงแต่ลืมตาขึ้นเท่านั้น ตาเขาจะเห็นภาพทันที อันเป็นสักแต่ว่าเห็น โดยที่ไม่สนใจว่า เป็นภาพของอะไร
เป็น ผุ้หญิง หรือ เป็นผู้ชาย เป็นต้นไม้ หรือ ว่าเป็นอะไร แล้วให้นั่ง .กอดอก.ไว้
เมื่อตาเขามองไปไกล ๆ แบบไม่จ้องดูภาพ ไม่ต้องการู้ว่า เห็นอะไร คุณสังเกตดูครับว่า
คุณจะรู้สึกถึงการกระเพื่อม ๆ อันเนื่องมาจากการหายใจได้ โดยที่ .จิตรู้.ของคุณจะอยู่ที่ฐาน
โดยไม่วิ่งไปจับที่ใดเลย นีเรียกว่า รู้ลมอยู่ทีฐานครับ เมื่อจิตรู้อยู่ที่ฐาน จิตรู้จะรู้ได้หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน
เช่น ตามองเห็น หูก็ได้ยิน กายก็รู้สึกได้ถึงการกระเพื่อม ๆ เนื่องจากการหายใจได้
แต่ถ้าคุณหลับตาเมื่อใด จิตรู้ อาจวิ่งไปจับแถวหน้าอกที่กระเพื่อมได้ เพราะการเพ่งจนเคยชินนั้นเอง

การที่จิตไปจับที่ปลายจมูก หรือ ไปจับทีหน้าอก นั้น ก็เพราะว่า ตัณหาครับ ที่ดึงจิตรู้หนีจากฐานไปยังจุดที่มีการยึดติดทันที
(ลองอ่านเรื่อง ชักกะเย่อ อีกทีครับ ผมมี Update ใหม่ )

มีกรรมฐานเรื่องลมเป็นอันมาก ที่มีการแพร่หลายในปัจจุบัน ต่างก็สอนว่า ให้รับรู้ลมที่ปลายจมูก
ซึ่งผมพูดเรื่องนี้กะใครแล้ว ไม่มีใครเชื่อว่า นี่คือการเพ่งแล้ว

แต่ที่ผมปฏิบัติมา ผมรู้ครับว่า สิ่งทีสอนกันนี่คือเพ่ง ครับ และถ้าเพ่ง ก็เป็นปัญหากับการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ครับ

คุณลองดูวิธีการที่ผมเขียนนี้ซิครับ ว่าได้เข้าใจหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ โดยลองฝึกจริง ๆ เพียง 1 นาที คุณก็จะเข้าใจได้ว่า
จิตรู้ อยู่ที่ฐานมันเป็นอย่างไร แล้วกรุณาบอกผลของผมด้วยครับ ถ้าคุณเข้าใจแล้ว
ผมจะลบข้อความนี้ ออกจาก blog ของผมไปทันที เพราะผมไม่ต้องการมีข้อขัดแย้งกับ
ครูอาจารย์ที่เขาสอนเรื่องการรู้ลมกระทบที่ปลายจมูกครับ ขอบคุณครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:45:47 น.  

 
ให้อ่านเรื่องนี้ประกอบด้วยครับ
เพ่ง การใช้จิตทำงานที่นักปฏิบัติมือใหม่ไม่รู้ว่ากำลังเพ่งอยู่

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=25-06-2009&group=1&gblog=44


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:49:25 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:20:00:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.