มือใหม่สงสัยในการปฏิบัติ ภาค 2
คุณมือใหม่มีคำถามต่อเนื่องมาดังนี้ ส่วนการฝึกในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่หนูล้างจาน หนูก็จะรู้แต่การล้างจาน แต่แบบบางทีก็แว็บไปคิดเรื่องอื่น เช่น เอ เอกสารอันไหนต้องส่งตอนไหนนะ หรือคิดไปถึงเรื่องที่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แล้วหนูก็จะ แบบประมาณว่า อ้าว เอาอีกแล้ว เผลอไปคิดอีกแล้ว พอพอ มาล้างจานต่อ แบบนี้ เรียกว่า รู้ตัวหรือเปล่าคะ คือ พอรู้ตัวว่าเราเผลอไปคิดเรื่องอื่น ก็หยุดไม่คิดต่ออย่างนี้หรือเปล่าคะ อีกเรื่อง เนื่องจากหนูเป็นครูค่ะ บางทีเด็กนักเรียนก็ทำผิด แล้วหนูก็แบบว่า โมโหอ่ะค่ะ ก็ว่าเด็ก ไปซะ พอเฮ้ย โมโหอีกแล้ว จะหยุดเลยก็ใช่ที ก็ขอว่าอีกสักนิด แล้วก็หยุด แบบนี้พอได้ใหมคะ มีอะไรจะแนะนำหนูบ้างหรือเปล่าคะ ส่วนสาเหตุที่หนูอยากมานั่งสมาธิ แล้วก็สวดมนต์ก็คือ อยากให้ศิริมงคลเกิดแก่ชีวิต แต่ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ มีเงินทองไม่ขัดสน และพอที่จะได้ช่วยเหลือ ผู้อื่นบ้าง บางครั้งก็เลยงง กะตัวเองว่า นี่เราจะใช้ธรรมะ เพื่อความโลภหรือเปล่าแต่ถ้าระหว่าง มีเงินกับไม่มีเงิน ในชีวิตประจำวัน หนูขอมีเงินค่ะ อย่างน้อยก็อยู่สบายมากกว่านั้น ก็ได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย ............................ มาอ่านความเห็นของผมดังนี้ครับ 1 เมื่อเราทำงาน เช่นล้างจาน เราก็ต้องสนใจในการล้างจานครับ แต่ว่า การสนใจในการล้างจานนี้ ถ้าจะปฏิบัติไปด้วย ล้างจานไปด้วย คุณต้องลานจานแบบผ่อนคลาย ล้างจานแบบสบาย ๆ ครับ อย่าไปตึงเครียดกับการล้างจาน ที่ผมบอกว่า ให้ล้างจานแบบสบาย ๆ นี่เป็นอย่างไร ผมจะยกตัวอย่างให้คุณได้เห็นของจริงที่เกิดขึ้นจริงกับคนทั่ว ๆ ไปก็คือ ในขณะที่คนกำลังอาบน้ำครับ เดียวเย็นนี้ กลับบ้านไปอาบน้ำ ก็ให้สังเกตดูว่าเป็นอย่างไรที่ว่า ให้สบาย ๆ ไม่ตึงเครียด เมื่อคนอาบน้ำแบบสบายๆ ไม่ตึงเครียด เขาจะมีความสุขเล็ก ๆ กับการอาบน้ำนั้น มือก็ถูไปตามลำตัวที่สกปรก รู้สึกได้ถึงการถู การสัมผัส นั้น ๆ หูก็ได้ยินเสียงน้ำที่ไหลมา ในขณะเดียวกัน ถ้าใช้ฝักบัว ก็จะรู้สึกถึงน้ำที่กระทบสัมผัสตามร่างกายได้ด้วย จมูกก็ได้กลิ่นสบู่อาบน้ำได้ นี่คือลักษณะที่คนอาบน้ำได้และไม่เคร่งเครียด แล้วอาบน้ำที่เคร่งเครียดเป็นอย่างไร สมมุติว่า คุณตื่นสาย คุณต้องรีบอาบน้ำเพื่อให้ทันเวลา คุณก็จะรีบ ๆ ทุกอย่าง เมื่อคุณรีบ จิตใจก็เคร่งตึง จิตจะหนัก ไม่สบายเลย จิตใจจะจดจ่อแต่การอาบน้ำ ไม่สนใจเรื่องอื่นใด น้ำกระทบตัวก็ไม่รู้สึก เพราะมัวไปรีบอาบน้ำ นี่คือความต่างของ 2 แบบ พอจะมองภาพออกไหมครับว่า เวลาล้างจานแบบสบาย ๆ นี่เป็นอย่างไร เวลาล้างจานแบบเคร่งตึงเป็นอย่างไร การทำงานในชีวิตประจำวันทุกอย่าง ให้ทำงานแบบผ่อนคลายดังสภาพที่อธิบายให้เห็นเรื่องการอาบน้ำที่สบาย ๆ เช่น แปรงฟัน ใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหาร ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน การเดินเล่นพักผ่อน และอื่น ๆ อีกมาก เหตุผลที่ให้ทำอะไรด้วยความสบาย ๆ ก็คือ ในขณะจิตใจที่สบาย ๆ นี้เป็นสัมมาสติ เมื่อฝึกให้เคยชิน ก็เป็นสัมมาสมาธิ เพื่อการพ้นทุกข์แบบพุทธศาสนา อนึ่ง การที่จิตใจสบาย ๆ ก็เท่ากับจิตได้กินอาหารจิตที่เป็นเลิศ มีประโยชน์ต่อจิตเอง ให้อ่านเรื่อง กินให้อ้วน ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=25&group=1&gblog=79 มื่อได้อ่านเรื่องการทำงานแบบสบาย ๆ แล้ว แต่ว่าในความเป็นปุถุชน ก็จะมีความคิดโผล่แว๊บขึ้นมาเสมอ ๆ เดียวคิดเรื่องโน้น เดียวคิดเรื่องนี้ ซึ่งคุณมือใหม่ ก็สงสัยว่าจะจัดการกับความคิดนี้อย่างไรดี ซึ่งเรื่องนี้ ผมมีเขียนไว้แล้วในเรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความคิด ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=05&group=1&gblog=25 ในที่ขณะเราเผลอคิด นี่เป็นการหลงคิด ในขณะที่หลงคิดจะไม่รู้สึกตัว แต่ในขณะวินาทีที่เรารู้ว่า เรากำลังหลงไปคิดเรืองอะไรก็ตาม ในขณะนั้นเป็นขณะที่รู้สึกตัว ในผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ การหลงคิดนี่เป็นธรรมดาทีต้องเกิดขึ้น ถ้าใครไม่เกิด แสดงว่า ไปกดมันไว้ไม่ให้มันไม่คิด ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดทางครับ ในการปฏิบัติ เราไม่ห้ามที่มันจะคิด แต่เมื่อมันคิดแล้ว เราต้องรู้ว่า อย่างไร ควรหยุดความคิดนั้น อย่างไรไม่ควรหยุดความคิดนั้น ขอให้อ่านดูในเรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความคิด ที่ผมมีเขียนไว้แล้วในนั้นได้ ในทางโลก ผมเคยดูสารคิดเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของชายชาวอมริกัน หมอนี้ชอบว่ายน้ำที่สุด มีบริษัทหนึ่งจ้างเขาในราคาแพง ให้คิดสินค้าใหม่ๆ ออกมา บริษัทสร้างบ้านให้เขาอยู่ ทำสระว่ายน้ำอย่างดีให้เขาว่ายน้ำในบ้าน วัน ๆ เขาจะว่ายน้ำด้วยความผ่อนคลาย จิตใจสบาย ในขณะที่เขาว่ายน้ำ จิตของเขาจะปลอดโปร่งและจะคิดสินค้าใหม่ ๆ ออกมาได้บ่อย ๆ เขาจะรีบจดสิ่งที่จิตคิดนั้นออกมาได้ เพราะถ้าไม่รีบจด มันจะหายไปและจะจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร นี่คือประโยชน์ของจิตคิดในทางโลกครับ ในทางธรรม เมื่อจิตจะรู้แจ้งในธรรม มันก็มีลักษณะคล้าย ๆ จิตคิดเหมือนกัน มันจะโผล่งรู้ออกมาทันทีแบบไม่รู้ตัว เมื่อคุณเจอเอง คุณจะเข้าใจ นี่เป็นประโยชน์ของจิตคิดในทางธรรมครับ ดังนั้น อย่าไปห้ามความคิด อย่างไปกดจิตให้นิ่ง ๆ แล้วคิดว่า นี่คือสมาธิที่ถูกต้อง เราต้องมีสัมมาสติ แล้วปล่อยจิตให้เป็นอิสระ เมื่อจิตมันคิด ถ้าเป็นประโยชน์ นำมาใช้ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ โยนมันทิ้งไปทันที แล้วก็เริ่มให้มันคิดอีก ที่ผมเขียนออกมาแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผมเข้าใจเองจากการปฏิบัติของผมเอง ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคุณไปอ่านหนังสือของคนอื่น เขาอาจจะพูดไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้ ขอให้คุณพิจารณาไตร่ครองเอาเอง อย่าเชื่อใครง่าย ๆ แม้แต่สิ่งที่ผมเขียน 2 .เมื่อสอนเด็ก เด็กทำผิด แล้วเกิดการโกรธขึ้นมา นี่เป็นเพราะสัญชาติเดิมของปุถุชนที่อยู่ในจิต มันทำงานครับ ซึ่งก็เป็นอย่างนี้กันทุกคนในปุถุชน การที่คุณรู้สึกตัวว่า เอ้าโกรธอีกแล้ว ในขณะนั้นเป็นการรู้สึกตัวกลับมาอีกทีหนึ่ง แต่เมื่อโกรธไปแล้ว บางคนก็อาจจะเสียใจในสิ่งทีตนเองทำไปเมื่อสักครู่นี้ เมื่อโกรธยังอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ ผมแนะนำดังนี้ครับ 2A เมื่อคุณโกรธ แล้วรู้ตัวได้ นี่เป็นการดีครับที่กลับมารุ้ตัวได้เอง แต่ถ้าเมื่อกี้ทำอะไรลงไปที่ทำให้เสียใจ ก็ถือว่า ผิดเป็นครู อย่านำสิ่งที่เสียใจ มาคิดให้เศร้าโศรก เพราะจิตใจ จะกินอาหารที่ไม่ดี ดังที่ผมเขียนไว้ในเรื่อง กินให้อ้วน ให้ตัดใจเสีย อย่าไปคิดถึงมันอีก 2B ถ้าคุณลงมือฝึกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในแบบทีผมเขียนไว้จนได้ผลดีพอ จิตรู้ จะเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตรู้ เกิดขึ้นได้แล่ว เวลาคุณโกรธ จิตรู้ มันจะเห็น เมื่อจิตรู้ เห็นอารมณ์โกรธ แล้ว อารมณ์โกรธจะหายไปได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะดีกว่าแบบที่เขียนไว้ในข้อ 2A ครับ 2C ถ้าคุณฝึกได้ 2B แล้ว และฝึกต่อไป จนเกิดปัญญารู้แจ้งในทางธรรมระดับต้น ๆ จะมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็คือ อาการโกรธ หนัก ๆ มันจะไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย แต่หวุดหงิด จะยังมีอยู่บ้าง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่ออารมณ์โกรธไม่มาให้เห็นอีกเลย มันก็ดีกว่า 2B และ ทุกข์ใจก็ลดลงไปเอง เมือ่ความโกรธไม่มาเลย จริงไหมครับ นี่คือ ผลของปัญญาในพุทธศาสนา มันจะออกมาแบบนี้ ลดทุกข์ได้เพราะแบบนี้ครับ เมื่อคุณเห็นประโยชน์ของ 2B และ 2C แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติฝึกฝน สัมมาสติ ให้เป็นสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น ครับ 3. การนั่งสมาธิ การสวดมนต์ จะเป็นมงคลหรือไม่ ไม่ใช่อยู่ที่นั้น แต่อยู่ที่ว่า ในขณะที่นั่งสมาธิ ในขณะที่สวดมนต์ คุณรู้ตัวหรือเปล่า มากกว่า ถ้ารู้ตัว ก็เป็นกุศล ถ้าไม่รู้ตัว ก็เป็นอกุศล อ่านเรื่อง มาทำความเข้าใจกับคำว่า ปฏิบัติธรรม ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2009&date=06&group=1&gblog=85 4. เรืองมีเงิน ไม่ใช่เป็นความโลภ คนรู้ธรรมไม่จำเป็นว่าต้องไม่มีเงิน การหาเงินอย่างไม่มีคุณธรรมต่างหาก นี่คือความโลภ การช่วยเหลือคน เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นจุดอ่อนในตนเอง ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาในการช่วยเหลือ และนั้นก็หมายถึง หายนะที่อาจตามมาได้ถ้าช่วยเหลือใครในเรื่องใด โดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง 5 เรื่องการสอนเด็ก ผมแนะนำว่า อย่าเพิ่งไปสอนใคร ให้คุณฝึกตัวเองก่อน ฝึกจนเข้าใจ เห็นจิตรู้เกิดได้ เห็นจิตรู้จัดการกับความโกรธได้แล้ว นั่นแหละครับ คุณจึงจะพอมีความเข้าใจในการปฏิบัติพอสมควรแล้ว และพอจะแนะนำคนอื่นได้บ้างแล้ว แต่ถ้าทุกอย่างยังไม่เกิดเลย เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ โกรธหัวพัดหัวเหวียงอยู่ คุณจะมองไม่ออกว่า ธรรมปฏิบัติแห่งพุทธศาสนาที่แท้จริงเป็นเช่นไร ฝากไว้พิจารณาครับ
Create Date : 16 กันยายน 2552
14 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:07:41 น.
Counter : 1101 Pageviews.
โดย: มือใหม่ (ไม่ยอมล็อกอิน) IP: 192.168.2.57, 119.42.94.211 16 กันยายน 2552 12:00:30 น.
โดย: มือใหม่ (ไม่ยอมล็อกอิน) IP: 192.168.2.57, 119.42.94.211 16 กันยายน 2552 12:08:59 น.
โดย: นมสิการ 16 กันยายน 2552 12:21:50 น.
โดย: มือใหม่ (ไม่ยอมล็อกอิน) IP: 192.168.2.57, 119.42.94.211 16 กันยายน 2552 12:22:42 น.
โดย: นมสิการ 16 กันยายน 2552 14:32:38 น.
โดย: นมสิการ 16 กันยายน 2552 14:47:50 น.
โดย: แม่ภูมิ IP: 61.7.189.154 16 กันยายน 2552 17:29:27 น.
โดย: นมสิการ 16 กันยายน 2552 17:59:51 น.
โดย: มือใหม่ค่ะ IP: 61.7.189.154 16 กันยายน 2552 19:45:45 น.
โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 6:47:31 น.
โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 14:06:13 น.
โดย: beautyastro IP: 202.5.81.195 17 กันยายน 2552 18:07:43 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:19:14 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
หนูตามาอ่านคำตอบค่ะ
อาจารย์ ไขข้อข้องใจของหนูทุกอย่างค่ะ
เรื่องความคิดที่แว็บๆ มา ถ้าเป็นเรื่องดีก็คิดต่อ
แต่ถ้าไม่ดี ไร้สาระ ผ่านมาแล้ว คิดไปไม่ช่วยอะไรก็เลิกคิด
ส่วนเรื่องเมื่อคืน สรุป ไม่ทันได้นั่งสมาธิค่ะ
เพราะ ดันมีเรื่องจุกจิก กวนใจ เกี่ยวกับเรื่องงานของคุณสามี เลย ดันไปพูดตัดพ้อ ต่อว่า เค้าเข้าให้อีกแล้ว ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่า การเป็น ภรรยา ที่ดี ต้องคอยให้กำลังใจสามี เรื่องงานก็ต้องมีผิดพลาดกันได้ ต้องรู้จักพูดให้เค้าสบายใจ แต่แหม ดันคิดได้ตอนพูดไปแล้วนี่แหละค่ะ
เลยไม่ได้ นั่งสมาธิสวดมนต์อะไรเลย นอนซะเลย เฮ้อ
หนูว่า หนูจะค่อยๆ พยายามฝีกตามอาจารย์ว่านะคะ
หนูจะตามไปอ่านตามลิงค์ที่อาจารย์แนะนำค่ะ
แล้วถ้ามีเวลาเหลืออีก จะทยอย ทยอยอ่านทีละบล็อกค่ะ
...........
ลืมรายงานเรื่องการนั่งสมาธิเมื่อเช้าค่ะ
ตอนแรก หนูขี้เกียจ ลูกแขนค่ะ ก็เลยจับที่ท้อง เอ่อ ที่หน้าอกอ่ะค่ะ แบบว่า เวลาหายใจเข้า แล้ว จะขึ้นลง ใช่ใหมคะ
ทีนี้ พอจับไปมา ชักไม่ได้แหะ หนูก็เลยมาลูบที่ หลังมือแทนค่ะ เพราะรู้สึกว่า ถ้าลูบที่ต้นแขนแบบอาจารย์ว่า มันเมื่อยอ่ะค่ะ ก็เลยลูบไปสักพัก ก็รู้สึก สบายๆ ดีค่ะ
ส่วนเรื่องอาบน้ำ ช่วงนี้รู้สึกได้ค่ะ เพราะว่าหนูตื่นมาอาบน้ำตั้งกะ ตี 5 ค่ะ ก็เลยมีเวลา เหมือนว่า ถ้าเรามีเวลาทำอะไรเราก็จะรู้สึกสบายได้ด้วย ก็เลย พยายามจัดเวลาของตัวเองใหม่ด้วยค่ะ
สรุปที่หนูเข้าใจจากคำตอบบล็อกนี้ก็คือ
1. ทำอะไรก็แล้วแต่ให้รู้สึกถึงสิ่งที่เรากระทำ สิ่งที่กระทบกับตัวเรา
2. แต่ต้องทำอย่างไม่เคร่งเครียด และบังคับตัวเอง ให้ทำแบบสบายๆ
3. การเผลอไปคิดบ้างเป็นเรื่อง ปกติ แต่ต้องแยกให้ได้ว่า สิ่งใดจะคิดต่อ สิ่งใด ไม่ควรคิดต่อ
ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถามค่ะ