สิงหาคม 2549

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
12
13
14
15
16
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
17 สิงหาคม 2549
All Blog
หรือตั้งใจไปเหงา
สิ่งที่เศร้าที่สุดของความรัก
เห็นจะคือ คนที่เรารัก...ไม่ได้รักเราเลย...


“ลองทบทวนดูดีๆ นะว่าจะเลือกทางไหน ระหว่างตัดให้ขาด...ซึ่งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจจะมากมาย แต่ไม่นานมันก็จะหายดี... หรือจะอยู่... อย่างเจ็บปวดตลอดไป ด้วยความรักเพียงฝ่ายเดียว” เป็นคำพูดของคนที่เพียงบังเอิญผ่านมา และ...ผ่านไปบนหนทางสายยาวไกลที่เขามา

ริมทะเลตะวันตกกับอากาศที่ร้อนจัดกับการมาโดยไม่ตั้งใจ... นึกถึงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่จะมาถึงที่นี่...ขณะนอนมองเพดานอยู่นานว่าจะทำอะไรดี ไปห้องสมุด ไปสวนจตุจักร ไปพันธุ์ทิพย์ ไปร้านหนังสือ ไปดูหนัง... ไปไหนดี? เวลานั้นคนที่ส่งเสียงมาตามคลื่นโทรศัพท์มือถือ อยู่ที่ชลบุรี... เขาอยู่กับคนที่เขารัก แล้วเราล่ะ? จะต้องอยู่อย่างเศร้าเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ?.. เป้สีกรมท่าใบเก่ามีหนังสือหนึ่งเล่มชื่อ “มาดเกี้ยว” สมุดบันทึก ไปรษณียบัตรและปากกา พร้อม... อาบน้ำ เสื้อยืดจากมูลนิธิเพื่อนช้างถูกนำมาสะบัดสองสามครั้งก่อนสวม กางเกงยีนส์ และรองเท้าหนังคู่เก่า ไม่บ่อยนักที่จะแปลงร่างจากสาวออฟฟิศมาดดีเป็นเด็กกะโปโลที่ผิดแผกอย่างสิ้นเชิงกับวิถีสามัญในเมืองหลวง

แล้วก็พาตัวเองไปยังสถานีรถไฟ ๑๒.๑๕ น. ถึงสถานีหัวลำโพง...

“ขอโทษนะคะ รถไฟที่จะออกเที่ยวถัดไปเวลาเท่าไหร่และ สายไหน?” เป็นคำถามเมื่อถึงคิวต้องซื้อตั๋ว.. แล้วก็ได้ตั๋วมาเป็นตั๋วหัวหิน ๘๔ บาท ๑๒.๒๕ น. รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากกรุงเทพฯ “กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางโดยรถไฟสายใต้ และเป็นครั้งแรกที่.. ลำพัง.. เงียบและเหงาดีแท้... ป่านนี้เขาคงอยู่กับคนที่เขารักอย่างมีความสุข... แต่คนที่เป็นทุกข์กับความรักนั้นเป็นเรา แต่จะว่าไปแล้ว.. เราเองต่างหากที่เลือกให้เป็นเช่นนี้เอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มใจ

ถามตัวเองว่า “ไปเพื่อจะหลุดพ้น หรือตั้งใจไปเหงา?” แต่ก็สุดปัญญาจะตอบตัวเอง...

บางคำถามเราก็อาจจะมีคำตอบ แต่บางทีเราก็หาคำตอบไม่พบ...

“Hi, Where are you going?” ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเป็นชาวต่างชาติ การสนทนาด้วยภาษาต่างถิ่นจึงเริ่มขึ้น, มันทำให้หายเหงาได้ในระดับหนึ่งเพราะต้องคอยคิดคำพูดเพื่อสนทนาลำพังภาษา ไทยก็ยังต้องใช้เวลาคิด แล้วภาษาอังกฤษที่สอบตกไปสามรอบยิ่งทำให้ใช้เวลาอีกเท่าตัว สักพัก...ชายหนุ่มต่างถิ่นก็หมดความสนใจในสาวไทยหน้าแปลกและแปลกหน้า ไปสนทนากับเพื่อนใหม่ชาติเดียวกัน.. สาวน้อยหน้าใสก็เลยถูกวาง ให้ลำพังและเดียวดาย.. เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ บ่ายสองโมงเย็นเข้าไปแล้ว รถไฟเพิ่งจะถึงนครชุมน์ อีกนานไหมหนอ...จะถึงปลายทาง.. เฮ้อ หิว.. ก็ตั้งแต่เย็นวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากความเศร้า... เลยเดินไปที่ตู้เสบียง

เลือกที่นั่งได้ริมหน้าต่างโต๊ะสุดท้าย...สั่งข้าวผัดรถไฟราคา ๔๐ บาทมานั่ง “ละเลียด” เพื่อจะยืดระยะเวลาให้นานที่สุด...การนั่งตู้เสบียงนั้นดีอย่างหนึ่งคือไม่ต้องมีคนมานั่งจ้องหน้า...และมีพื้นที่ว่างพอที่จะวางสมุดบันทึกและเขียนอะไรได้บ้าง...

“ขอโทษนะฮะ ที่ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย?” ชายหนุ่มที่ยืนถือจานข้าวอยู่ตรงข้าม ท่าทางสำรวม ผมยาวของเขาถูกรวบเรียบร้อยด้วยเชือกหนังเส้นเล็ก เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวหม่น กางเกงเลสีกรมท่าและมีย่ามสะพายอยู่บนไหล่

“ไม่มีค่ะ” แล้วก็หมดความสนใจในชายหนุ่มแปลกหน้าเพียงเท่านั้น... นอกหน้าต่างเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าเขาทึบทึม นั่งมองเหม่ออยู่นาน...ชายหนุ่มชวนคุย

“ไปไหนเหรอฮะ”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี คุณว่าที่ไหนน่าไปล่ะคะ”

“แล้วคุณตีตั๋วไปไหนล่ะ”

“หัวหิน...”

“ผมกำลังจะไปหินกรูด ที่ประจวบฯ ไปด้วยกันมั้ยล่ะฮะ?”

“คุณคิดว่าดิฉันจะไปกับคนแปลกหน้า?”

“ก็แล้วแต่คุณ...ผมเพียงแต่ชวน ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องไป” เขายิ้ม

“ตกลงค่ะ” อย่างน้อยก็ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใครมาคอยเตือน... ในเวลานั้น การเริ่มต้นในสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เริ่มขึ้น

บางครั้งการเดินทางโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่
ไม่เคยรู้...

“ผมกำลังจะไปสมทบกับกลุ่มที่เดินทางมาก่อนซึ่งรออยู่แล้วที่บ่อนอก และอีกบางคนที่มาพร้อมกันก็อยู่บนรถไฟขบวนนี้” เขาบอกเล่าถึงจุดมุ่งหมายของการเดินทาง

“ฉันเคยได้ยินมาเรื่องปลาวาฬบรูด้า โรงไฟฟ้าและ..การประท้วง” การสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจึงได้เริ่มขึ้น

“คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้หรือ?” เขาถามขึ้น

“อืมม์...ฉันรักเมืองไทยนะ นั่นแปลว่าถ้าการลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วประเทศชาติได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็น่าสนับสนุนไม่ใช่เหรอ” ฉันแสดงความคิดเห็น... อย่างที่รู้สึก

“แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ถ้าหากว่ามีคนบางกลุ่มที่มีอำนาจสามารถจะปิดบัง หรือบิดเบือนข้อดี, เสีย ของการลงมือดังกล่าวไว้ได้ ประชาชนสามัญสักกี่คนที่จะรู้ความจริง” เหตุผลที่เขากล่าวถึงนั้นทำให้ฉันต้องนิ่งและคิด...

“แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อเราเป็นประชาชนธรรมดา” ฉันไม่เข้าใจจึงถามขึ้น

“บางทีการไปครั้งนี้อาจจะเปิดมุมมองใหม่ให้ความคิดของคุณได้บ้าง”

“ฉันก็หวังอย่างนั้น” แล้วต่างก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทักทาย

“คุณเดินทางโดยไม่มีจุดหมายปลายทางอย่างนี้เสมอหรือ?” เขาถามขึ้นทำลายความเงียบ

“เป็นครั้งแรกก็ว่าได้... ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้...เห็นจะเป็นเพราะความรักกระมัง”

ฉันบอกเล่าความรูสึกกับคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักและพบเจอกันมาก่อนในชีวิต อาจเพราะในเวลานี้...ฉันไม่มีใครเลยก็ได้ จึงวางใจ... ที่จะบอกเล่าเรื่องราว

“ธรรมดาฮะ ผมก็เคยเป็น และก็ยังเป็นอยู่” ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินประโยคนี้จากคนแปลกหน้า

“ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งฮะ แต่เราเป็นเพื่อนกัน ความรักของเราจึงเป็นไปไม่ได้เพราะเธอมีคนรักอยู่แล้ว สิ่งที่ผมจะต้องเลือกมีสองทางคือ อยู่... อย่างเจ็บปวดตลอดไป ด้วยความรักเพียงฝ่ายเดียวหรือตัดให้ขาด...ซึ่งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจจะมากมาย แต่ไม่นานมันก็จะหายดี....คุณรู้มั้ยผมเลือกทางไหน?” เขายื่นหน้ามาถาม...

“ไม่รู้สิ... ฉันไม่มีคำตอบในเวลานี้หรอกค่ะ” แน่ล่ะ ก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่ต่างเลยกับเรื่องของฉัน ไม่ต่างเลย...

นอกหน้าต่างรถไฟ เริ่มมองเห็นทะเลอยู่ลิบตา นั่นหมายความว่าจุดหมายปลายทางของเรานั้นใกล้เข้ามาทุกที

“อีกสักครู่ก็จะถึงแล้วล่ะ คุณพร้อมหรือยัง?”

“พูดเหมือนจะไปรบ... ฉันไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ”

“งั้นลุย....” นาฬิกาบอกเวลา ๑๘.๐๐ น. รถไฟถึงสถานีประจวบฯ เสียงกลองยาวแว่วมาแต่ไกล คนที่ลงจากรถไฟ มีมากกว่าที่เห็นในทีแรก...หลายคนหน้าตาคุ้นเคย นักเขียน นักกวี จิตรกร นักหนังสือพิมพ์และนักข่าว....ฉันได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ทันทีที่ลงจากรถไฟ เพราะหลายคนเป็นนั้นมีชื่อเสียง นักเขียนคนที่ยืนข้างๆ เป็นคนเขียนคอลัมน์ในนิตยสารที่ฉันอ่านประจำ เขาหันมายิ้มให้ อีกคนที่อยู่ด้านหน้านั้นเป็นนักกวีมีชื่อเสียง และฉันเองก็ชื่นชอบในผลงานเขามากจนอยากจะเดินเข้าไปขอลายเซ็น.... แต่คนที่ ‘ดึงคอเสื้อ’ ฉันไว้คือชายหนุ่มที่ชักชวนฉันมานั่นเอง... แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าเรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย

“สวัสดีครับพี่ณต นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว วันนี้เตรียมอุปกรณ์วาดภาพมาพร้อมไหมครับ” คนที่เดินเข้ามาทักทายนอบน้อม ทำให้ฉันต้องเลี่ยงไปยืนข้างหลังเขาโดยปริยาย

“พี่สาวมาจากมูลนิธิเพื่อนช้างเหรอครับ...เชิญครับเชิญ ยินดีต้อนรับทุกท่าน” เขาหันมายกมือไหว้ฉัน และเสียงทักทายปราศรัยกันนั้นดังเซ็งแซ่เหมือนมหกรรมอะไรสักอย่าง

“อ่า...คือว่า” ฉันยังไม่ทันได้ตอบคำถามด้วยซ้ำ

“ครับ มาด้วยกันกับผมเอง” คนที่ถูกเรียกชื่อ ณต เป็นคนตอบคำถามนั้นเอง แล้วเขาก็พาฉันมาหลบคนใต้ร่มไม้

“ก่อนจะได้ออกทีวี และลงหนังสือพิมพ์ หลบก่อน.. เหนื่อยมั้ย... ต้องขอโทษด้วยนะฮะที่พามาลำบาก” เขาถามพลางยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน

“ฉันรู้แล้วล่ะ ว่าคุณมาทำไม... แต่ที่ฉันยังไม่รู้คือ คุณดังแค่ไหนต่างหาก” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกหาตัวจนพบและถูก ‘ลาก’ ตัวไปถ่ายภาพร่วมกับคนอื่นๆ

“ผมแน่ใจว่าเราจะเจอกันที่บ่อนอก..รถที่มารับ คุณไปกับคันไหนก็ได้..แล้วเจอกันสาวน้อย”

แล้วเขาก็หายไปในฝูงชน....

รถยนต์หลายคันพาคณะทั้งหมดตะบึงไปยังปลายทางที่รออยู่ แห่งหนึ่งที่เป็นเป้าหมายในการสร้างโรงไฟฟ้า.. คณะทั้งหมดไปถึงที่นั่นไม่ดึกนัก.. ชาวบ้านรออยู่พร้อมอาหารเย็นแบบบุฟเฟต์ หลังจากที่กล่าวต้อนรับและอิ่มหนำกับอาหารเย็นกันแล้วกลุ่ม “กวี นักคิด นักเขียน” ก็บอกเล่าถึง “จุดประสงค์และนโยบาย” ของการมา ตัวแทนชาวบ้านปราศรัยถึงข้อเสียของการสร้างโรงไฟฟ้า และ...กวี อ่านกวีของเขาที่นำมา จากนั้นก็ร่ำสุราและดนตรี...

เสียงร้องเพลง สลับกับการอ่านบทกวี และการปราศรัยดังอยู่ไม่ไกล... ท่ามกลางผู้คนมากมาย...แต่ฉันกลับไร้ความรู้สึกร่วมในทุกเหตุการณ์ อาจเพราะความรู้สึกในเวลานั้นคือสับสน และมีคำถามอยู่ในใจของตัวเอง จึงทำให้รอบๆ ข้างที่มากมายด้วยผู้คน กลับเหมือนไม่มีใครเลย... มองขึ้นไปบนท้องฟ้า วันนี้ดวงดาวบนท้องฟ้าสวยกว่าทุกๆ วัน... หรือเพราะว่าฉันไม่เคยแหงนมองดาว...จึงไม่เคยรู้เลยว่าบนฟ้านั้นสวย...

“ผมหาคุณแทบแย่... คนเยอะมากเลย... คุณทานอะไรหรือยัง” เขาเดินรี่เข้ามาหาฉันซึ่งแอบอยู่หลังโคนต้นมะพร้าวห่างไกลสายตาผู้คน

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ก็ฉันมาจากมูลนิธิฯ นี่คะ” ว่าจบก็หัวเราะ... เสื้อยืดสีเทารูปช้างตัวน้อยมีประโยชน์กว่าที่คิดแฮะ...

“อ่า....ขอเชิญศิลปินหนุ่มแห่งลุ่มน้ำน่านผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการประกวดจิตรกรรมนานาชาติที่โตเกียว และเป็นอาจารย์พิเศษของคณะจิตรกรรม...คุณ ณต อยู่ไหนเอ่ย... เชิญครับ เชิญ” เสียงพิธีกรจำเป็นซึ่งก็คือนักเขียนชื่อดัง... อีกเช่นกัน เรียกขาน เจ้าของชื่อจึงลุกขึ้น...

“คุณอยากฟังเพลงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า...”

“ไม่มีค่ะ”

ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ สุดแต่จะหมายให้ฉันเป็น
เจ็บก็จะทน จนเธอได้เห็น ว่าฉันได้เป็นเช่นเธอต้องการ
ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ กำหนดฉันไว้เป็นได้เสมอ....
แม้เป็นเพียงเพื่อน เกลื่อนใจรักเธอแสร้งจนเสียหลัก ก็จักยอมเซ..

พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้ ก็อยากให้ตาย หรืออยากให้ปลง
แต่ตราบที่ใจ เยื่อใยความรักมั่นคง ให้ตายกับปลง ตายคงง่ายกว่า...


เสียงที่ดังแว่วมานั้นไพเราะพอสมควรทีเดียว... ศิลปินหนุ่มแห่งลุ่มน้ำน่านผู้มีเชื่อเสียงโด่งดังจากการประกวดจิตรกรรมนานาชาติที่โตเกียว และเป็นอาจารย์พิเศษของคณะจิตรกรรม ชื่อ ณต เท่านั้นเองที่ฉันรู้จักเขา

และเพลงนั้นเองคือคำตอบของเขา...สำหรับทางเลือกแห่งความรัก... เขาเลือกเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง แต่ได้อยู่เคียงข้างคนที่เขารักอย่างเพื่อน... เท่านั้น แล้วฉันล่ะ? จะทำอย่างไรกับ ‘ทางเดินสายรัก’ สายเศร้านี้ดี...

“พรุ่งนี้ทางคณะจะลงพื้นที่ ดูไร่สัปปะรด ป่าชายเลน ฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ฟาร์มโคนม และไร่ว่านหาง จระเข้ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรที่นี่ คืนนี้คุณนอนบ้านพักกับพี่สร้อยนะ” เขาหมายถึงนักเขียนสาวชาวเหนือผู้มีชื่อเสียง...

“ขอบคุณค่ะสำหรับความกรุณา”
เสียงร้องเพลงและดนตรีแผ่วลงเมื่อค่อนดึก กลุ่มคนทั้งหลายย้ายจากโต๊ะด้านในไปจับเข่าสนทนากันริมทะเล เรื่องราวของชาวบ่อนอกและหินกรูดแต่ฉัน..จับเจ่าอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ก่อนที่จะถูก ‘ลาก’ ไปรวมกลุ่ม

“ก่อนอื่น ผมต้องรู้ว่าคุณชื่ออะไร? จะได้แนะนำถูก”

“มัทค่ะ.. มัทนา”

“อ้อ คุณดอกกุหลาบ สวยแต่หนามคม...”

“ฉันถือว่าเป็นคำชมนะคะ”

“ฮื่อ.. อาจารย์วสันต์ พี่ไพ พี่สร้อย พี่แอ๊ด และคนอื่นๆ รออยู่น่ะ...ไปกันเถอะ” เขาจูงแขนเดิน... และแล้วฉันก็ได้มานั่งล้อมวงสนทนากับกลุ่มนักเขียน นักกวีที่มีชื่อเสียงท่ามกลางแสงดาวริมทะเล เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย... มันทำให้ฉันได้รู้ในหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยรู้ และมุมมองใหม่ที่ไม่เคยมอง

ฉันเป็นเพียงพนักงานบริษัทเอกชนเล็กๆ ชีวิตประจำวันมีเครื่องตอกบัตรเป็นเจ้านาย เช้าถึงเย็นทำงาน และทำงาน น้อยนักที่จะมีโอกาสได้เดินทาง... เช่นนี้ และหากไม่เป็นเพราะความรัก...ฉันก็คงไม่พาตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ได้

“จะไปชลบุรีหาเอ๋...” น้ำเสียงของคนที่ฉันรัก.. แต่เราเป็นเพื่อนกัน เขามีคนรักแล้ว...แน่นอน เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ณต.. คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน เขามีทางออก...แต่ฉันยัง...

ตอนสายของวัน หลังจากที่รับประทานของเช้าและชมทะเลพอเป็นกระษัยแล้วทางเจ้าถิ่นก็พาออกเดินทาง แบ่งกลุ่มไปดูป่าชายเลน วงจรชีวิตของป่าชายเลน และไปดูไร่สัปปะรด ไร่ว่านหางจระเข้ ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มวัวนม ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ที่นี่ และเมื่อ “ลงพื้นที่” เรียบร้อยแล้วจึงไปที่บ้านหินกรูด ซึ่งแตกต่างกับบ้านบ่อนอกพอสมควรเนื่องจากว่าหินกรูดนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงมีรีสอร์ทและธรรมชาติที่แตกต่างจากบ่อนอกโดยสิ้นเชิง ชาวบ้านหินกรูดนั้นจัดการต้อนรับอย่างดี มะพร้าวหลายทะลายถูกนำมาวางเตรียมพร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือน... ฉันอยู่...จนถึงบ่ายแล้วจึงขอตัวกลับ...

“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่มาทำให้ลำบาก ไม่ได้ช่วยอะไรเลย...”

“คุณน่าจะอยู่อีกสักวัน”

“ฉันลางานได้วันเดียวค่ะ ถ้าถึงพรุ่งนี้อีกวันบอสคงเล่นงานฉันแย่...ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ”

“คุณก็บอกบอสไปสิว่า รถไฟยางรั่ว มัวแต่จอดเปลี่ยนยางอยู่ก็เลยกลับมาทำงานไม่ทัน...”

“คุณล่ะก็..นะ...นั่นจะทำให้ฉันถูกไล่ออกเร็วขึ้น”

“ดีสิ... จะได้มาร่วมขบวนกับพวกเราอย่างเต็มตัว”

“ถ้าวันหนึ่งที่พร้อม ฉันอาจจะทำอย่างนั้นก็ได้...”

“อยู่อย่างเจ็บปวดตลอดไป หรือจะจากอย่างเจ็บปางตายแค่ครั้งเดียว...คุณมีทางเลือกในใจคุณอยู่แล้ว.. ผมหวังว่าคุณต้องโชคดี บนหนทางที่คุณเลือก”

“ขอบคุณมากคุณณต... ถ้าถามว่าการเดินทางครั้งนี้ฉัน ‘ได้’ อะไร.. และ ‘เสีย’ อะไร? คำตอบของคือ ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นและได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ อย่างน้อยการบริโภคข่าวสารจากสถานที่จริงก็ทำให้ฉันรู้ว่า ประเทศไทยนั้นมีปมด้อยพอที่จะทำให้เราไม่กล้าสู้ความจริงในบางเรื่องและ แท้จริงแล้วลึกที่สุดของทุกคนก็ยังมีความเห็นแก่ตัว.. ไม่มีเว้น แต่ก็นั่นแหละค่ะ บางครั้งประชาชนธรรมดาก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะอำนาจบางอย่างที่เป็นนามธรรมได้”

“ผมมีหนังสือเล่มหนึ่งจะให้คุณด้วย ถือว่าเป็นอภินันทนาการจากคนแปลกหน้า...และหน้าแปลกก็แล้วกันนะฮะ...ความรักคือการให้... หนังสือเล่มนี้เป็นรวมกวีนิพนธ์ และเรื่องสั้น คนเขียนหลายท่าน...คุณได้นั่งสนทนาด้วยเมื่อคืนนี้...มีซีดีอยู่ข้างในด้วย.. คุณอาจจะชอบ” รถไฟเทียบชานชาลา... และฉันก็พร้อมสำหรับการเดินทางเพื่อกลับมาเผชิญกับวิถีคนเมืองเหมือนเช่นเคย...
และทางเลือกบนถนนสายความรัก....รอฉันอยู่ข้างหน้าแล้ว....

ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ สุดแต่จะหมายให้ฉันเป็น
เจ็บก็จะทน จนเธอได้เห็น ว่าฉันได้เป็นเช่นเธอต้องการ
ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ กำหนดฉันไว้เป็นได้เสมอ....
แม้เป็นเพียงเพื่อน เกลื่อนใจรักเธอแสร้งจนเสียหลัก ก็จักยอมเซ..

พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้ ก็อยากให้ตาย หรืออยากให้ปลง
แต่ตราบที่ใจ เยื่อใยความรักมั่นคง ให้ตายกับปลง ตายคงง่ายกว่า.../


PS. เรื่องสั้นที่เขียนหลังกลับมาจาก บ่อนอก-หินกรูด ในคราวนั้น เจริญ วัดอักษร ยังตักผัดปลาหมึกลงจานให้ พร้อมๆ กับมิตรภาพอันดียิ่งของพี่น้องและผองเพื่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ลืมเลือนในมิตรนั้น

เรื่องสั้นเรื่องนี้ตีพิมพ์แล้วในนิตยสารวัยน่ารักเมื่อสองสามปีก่อน (จำเล่มไม่ได้แล้ว) หลายๆ เรื่องที่นำมาโพสท์ลงบล็อค เป็นเรื่องสั้นที่ตีพิมพ์แล้ว

แต่ด้วยความที่ "อยากเก็บ" และ "อยากแบ่ง" ก็เลยเอามาแปะไว้ในบล็อคให้ได้อ่านกันค่ะ ^_^




Create Date : 17 สิงหาคม 2549
Last Update : 17 สิงหาคม 2549 9:12:58 น.
Counter : 1024 Pageviews.

2 comments
  
อ่านไปอ่านมาคิดว่าเรื่องจริงทั้งหมดนะเนี่ย
โดย: wanwitcha วันที่: 17 สิงหาคม 2549 เวลา:11:02:38 น.
  
เขียนดีแท้ อ่านแล้วคิดตามเลย
วันก่อนไม่มาฟ่ะ
โดย: ชมพู่ (ชมพู่มะเหมี่ยว ) วันที่: 17 สิงหาคม 2549 เวลา:11:59:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ