ธันวาคม 2549

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
21 ธันวาคม 2549
All Blog
จิบกาแฟชมดาวฯ
จิบกาแฟชมดาว…ริมทะเลกับความเหงา ข้างคืนเดือนหงาย

ค่ำคืนที่พระจันทร์เสี้ยวแขวนเกี่ยวกิ่งฟ้า.. ท้องฟ้าสว่างตา หากยามใดที่พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นเป็นสง่าอยู่บนผืนฟ้าที่มืดดำ ก็ชื่นชอบนักหนาที่จะมองไปยังท้องทะเลกว้างสุดสายตา ผืนน้ำพราวระยับด้วยแสงจันทร์นวลตกกระทบ…ไม่แปลกใจเลยที่หลีไป๋จมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไปเก็บพระจันทร์

…ความรักเอย..เจ้าลอยลมมาหรือไร…มาดลจิต….มาดลใจเสน่หา…….

เสียงเพลงเศร้าๆ ที่ดังแว่วมาจากเรือนพักหลังข้างๆ เออ…หนอ ใครกันช่างมีอารมณ์ฟังเพลงเหงาๆ ในเวลาสองยามอย่างนี้ เสียงคลื่นที่โยนตัวเป็นจังหวะดูจะสอดประสานกันอย่างลงตัวกับบทเพลง ไม่รู้สึกขัดเคืองเหมือนบางครั้งที่กลุ่มวัยรุ่นมาพัก พวกเขามักจะเปิดเพลงเสียงดังลั่นและมันทำร้ายโสตประสาทเหลือเกิน..

สายลมพัดพริ้วผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องกระทบผิวกาย อยากจะออกไปย่างเหยียบเท้าเปล่าบนหาดทราย แต่ก็ทำได้เพียงนั่งชมทะเลบนเปลญวนริมระเบียง ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปยังอีกปลาย…ขอบฟ้า แล้วจิบกาแฟไปพร้อมๆ กัน…..

กาแฟ… มีคนเคยบอกว่า “แล้วผมจะไปนั่งดื่มกาแฟเป็นเพื่อนคุณ” เป็นประโยคคำพูดที่โรแมนติก แม้จากเพียงตัวอักษร…

“มิตรภาพ ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า” เพราะอย่างนี้เล่า…จึงได้มี ‘เพื่อน’ มากมายทางตัวหนังสือและชายหนุ่มอารมณ์ละไมคนนี้ก็เช่นกัน เขาบอกเล่าว่าเขาเป็น ‘คนอยู่เรือ’

“ชีวิตคนเรือ….ต้องขึ้นอยู่กับน้ำ” นั่นเป็นหนึ่งในประโยคคำพูดของเขา “กลิ่นหอมของกาแฟ… มันยวนใจกว่ากลิ่นของสุราเป็นไหนๆ” เรื่องราวที่ส่งผ่านทางจดหมายอิเลค ทรอนิกส์เป็นเรื่องเล่าของชีวิตและความเป็นมา…

“ชีวิต 365 วันอยู่บนวัตถุลอยน้ำเสีย 285 วัน โดยประมาณ เรือสินค้าขนาดใหญ่... กำลังแล่นผ่านทะเลที่ไร้คลื่นลมด้วยความเร็ว 45 น๊อต เร็วมากเลยนะ งานของผม... ก็ทำให้ผมแกร่ง จนกระกระด้างและก้าวร้าว วันๆ บนเรือใช้แต่ภาษาอังกฤษ และสเปญ งานที่ต้องทำแต่วัตถุลอยน้ำ ขนาดความยาวเท่าตึกใบหยก วางนอนราบกับพื้น ระวางบรรทุก… บรรทุกตู้ที่คุณเคยเห็นบนรถหัวลากยัดใส่เรือเข้าไปได้.. หกพันตู้… อีกเพียงไม่กี่วันผมก็จะออกเรืออีกแล้ว.. สิงคโปร์ ปานามา โตโก อาฟริกาใต้…” เรื่องราวความเป็นมาของเขาถูกถ่ายทอดออกมาด้วยตัวหนังสือ ชีวิตของนักเดินทาง มักเป็นเช่นนี้เสมอ เราไม่เคยพบกัน.. ไม่เคยได้ยินเสียง แม้เราจะอยู่ห่างกันเพียง--ปลายตา

อาคารสูงในย่านธุรกิจใจกลางเมืองกั้นกลางระหว่างเราได้มิดชิด ‘บ้าน’ ที่เขามีเวลาอยู่… เพียงประมาณ 80 กว่าวันต่อปี… และอีกเพียงไม่กี่วันที่ต้องไป เขาจึง “ต้องอยู่บ้านเยอะๆ…เหมือนแมว”

“สิ่งที่คุณเห็น…ทุกวัน ผมก็เห็นเหมือนคุณ--บางทีเราอาจจะเดินสวนทางกัน…แต่ไม่รู้จักกัน” เพราะบ้าน…ห่างกันเพียง…ไม่ถึงแปดร้อยเมตร ในละแวกพื้นที่ย่านธุรกิจของเมืองหลวงเราไม่เคยแลกเบอร์โทรศัพท์เหมือนอย่างหลายๆ คนที่รู้จักกันโดยตัวอักษรจากการคุยผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เราสองคนแม้จะรู้จัก…ด้วยวิธีดังกล่าว แต่ก็ยังบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ

“เป็นความรู้สึกที่ดีครับ…ที่รู้จักกันแค่...ตัวอักษร....ผม..ชอบอย่างนี้...มากกว่า..มีความสุข เวลาที่ผมอยู่บนเรือ…ไม่มีใครเลย..ผมเปิดเมลล์.…ผมมีคุณ…..แค่นี้ละครับ.....ดีแล้ว”

“ผมชอบดื่มกาแฟครับ… พี่ชายผมก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เรากลับมาพบกัน เราสองคนจะนั่งดื่มกาแฟด้วยกัน สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทาง…เพราะพี่ชายผมก็เป็นนักเดินทาง” เขามักเล่าเรื่องราวของตัวเอง ครอบครัว โดยเฉพาะพี่ชายของเขา.. และกาแฟ…ที่สองพี่น้องชื่นชอบ ไม่แตกต่างกัน

“กาแฟเมล็ดแห้งที่ดีที่สุดของจำปาศักดิ์…ต้องเอาไปคั่วเสียก่อน...แล้วค่อยนำมาบด....ถึงจะนำมาชงแบบชาวบ้านๆ ทั่วไป…แต่กาแฟที่ดีที่สุดในโลก...คือกาแฟที่คนที่ผมรักที่สุด..ชงให้...เท่านั้น....แม้นว่าจะถูกบรรจุในถ้วยสังกะสีบุบๆ..” เขามักจะเอ่ยถึงบุคคลสองคนในชีวิตที่เขารักนั่นคือคุณแม่... และพี่ชายที่เป็นนักเดินทาง ช่างภาพและนักเขียนสารคดี—

“วันนี้ผมไปนั่งละเลียดกาแฟ และอ่านหนังสือ ร้านกาแฟที่คุณบอก-- บางที คนที่ชงกาแฟมาให้ผม อาจจะเป็นคุณก็ได้… เพราะกาแฟอร่อย อืมม์ เค้กมะนาวก็ด้วย… อร่อยดี” ถ้อยความในจดหมายอิเลคทรอนิกส์ของเขาถูกเก็บไว้ในไฟล์ข้อมูลต่างหาก… และถูกถ่ายทอดลงสู่กระดาษเก็บเข้าแฟ้ม ‘จดหมายจากเพื่อน…ทางอี-เมลล์’

สองยามกับอีกยี่สิบสี่นาที…เสียงคลื่นยังสาดกระทบโขดหิน ทะเล..ไม่เคยหลับจริงๆ แสงจากดวงไฟของเรือหาปลาริบหรี่อยู่ไม่ไกลตานัก.. แล้วป่านนี้หนอ เรือสินค้าขนาดใหญ่ความยาวเท่าตึกใบหยกจะอยู่ตรงส่วนไหนของมหาสมุทร เวลา 80 วันบนผืนดิน… สิ้นสุดลงเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จดหมายฉบับล่าสุดที่เพิ่งได้รับคือเมื่อสามวันก่อนบอกกล่าวสั้นๆ “เรือเพิ่งออกจากท่าโตโก…” จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นมีมาอีกเลย… ความคุ้นเคยที่หายไป--บางทีก็คิดถึง

...อย่าลืมกันเสียก่อน อย่าด่วนตัดรอนรักจากดวงใจ คำสัญญาให้ไว้ จารึกใจ ตราบชั่วดินฟ้า…

เสียงเพลงจากเรือนข้างๆ ก็ยังดัง…เป็นเพลงเก่าที่นำมาขับร้องใหม่ บางอย่างเก่าๆ ที่นำเอามาประยุกต์ใหม่ให้เข้ายุคสมัยก็…เข้าท่า…ดีเหมือนกัน

เรือนพักแปดหลังท้ายหาด… ห่างไกลผู้คน แต่เงียบสงบสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ฤดูกาลนี้ไม่ใช่เทศกาลที่นี่จึงไม่มีนักท่องเที่ยวที่หลงเลยมาด้วยจำใจ หากแต่เป็นผู้มาพักด้วยความตั้งใจ เรือนหกหลังมี ‘คนเก่า’ คือแขกที่เคยมาพัก กลับมาอีก… อีกหลังหนึ่งนั้นเป็นชาวต่างประเทศ และหลังติดกันนี้…

แม่บอกว่า “เรือนที่ถัดจากเราเขาโทฯ มาจอง บอกว่าอีกสองสามวันจะเข้ามา” หลังจากที่สั่งการฝากฝังให้ดูแลรีสอร์ท แล้วแม่ก็ไป…นิวซีแลนด์ แม่ยังสนุกกับการเที่ยว เดินทาง.. และบ่อยครั้งที่ลูกสาวของแม่คนนี้ต้องมา.. “ดูแลบ้านด้วยนะลูก”

อากาศเริ่มเย็นลง แต่กาแฟชืดหมดแล้ว… ดาวประจำเมืองพริบพราย ส่องแสงสว่างไสวกว่าดาวทุกดวง.. เหมือนดาวดวงหนึ่งบนบ่า….ใครบางคน ชายหนุ่มแห่งกองทัพอากาศไทย กับการสนทนาทางตัวอักษรตอนสองยามเมื่อ--นานมา เราใช้เวลาสนทนากันทางตัวหนังสือ…จนกระทั่งตะวันฉายแสงของอีกวัน

“ไปเรียนที่ญี่ปุ่นหกปี กลับมาได้ไม่ถึงปี ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่..” กองบินแห่งเมืองปากน้ำโพ…เขาประจำอยู่ที่นั่น

“เคยอยู่บนที่สูงๆ แล้วมองลงมามั้ย มันสวยมากเลยนะ เหมือนตอนที่ขับเครื่องบิน จะรู้สึกรักเมืองไทยมากที่สุด เพราะมองเห็นสีเขียวของต้นไม่ สายน้ำ หมู่บ้าน… ภูมิใจมากที่ได้เกิดเป็นทหารไทย” เขาบอกเล่าถึงภาระหน้าที่ในการปกป้องประเทศชาติ ดูเถอะ… แล้วคน ‘อ่าน’ ก็นั่งปลื้มหน้าจอมอนิเตอร์… สักกี่คนนะที่จะเหมือนเขา…

“รักชาติยิ่งชีพ.. ครับผม” การสนทนาเป็นไปตามแบบอย่างของทหาร สุภาพ แต่แฝงด้วยอำนาจ…

“ไม่ค่อยมีเพื่อนครับ…โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง เพราะทั้งกองทัพ--เป็นผู้ชาย อยากรู้ว่าคนอื่นๆ คิดเห็นในเรื่องเดียวกันกับเราอย่างไร… อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น” นั่นเองคือเหตุผลที่เค้าสนทนากับคนที่…ไม่เคยเห็นหน้า จากโปรแกรม.. หน้าจอคอมพิวเตอร์…และจากนั้นต่อมาเราก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางจดหมายอิเลคทรอนิกส์ และสนทนากันแบบไม่เห็นหน้า.. รู้ก็แต่ว่าตัวหนังสือหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้คือเขา-- ก็แปลก ที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะลักษณะการคุย ภาษาที่ใช้แม้แค่จากตัวอักษร แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ชายหนุ่มนักดื่ม..กาแฟ ก็จะคุยเรียบๆ ภาษาโรแมนติก เปรียบเขาคล้ายใต้ท้องทะเลลึก เงียบสงบ…

หนุ่มนักบินคนนี้ก็ไม่ต่างจากเหยี่ยวบนท้องฟ้า เครื่องบินที่เขาขับวนว่ายเพื่อปกปักรักษาอธิปไตยให้บ้านเมืองคือนกเหยี่ยวตัวเปรียวที่มีเขา…เป็นสายตาและสมองควบคุมบังคับ .…แล้วดึกดื่นป่านนี้ พ่อนกเหยี่ยวแห่งกองทัพไทยจะทำอะไรอยู่หนอ

… เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าพะวัง นานเท่านานที่คอยจะฟังคำนี้คำเดียวที่หวัง อยากฟังจากปากดวงใจ…

อืมม์…คนข้างบ้านนี่ไม่หลับไม่นอนหรือไรนะ แสงไฟจากโคมไฟดวงเล็กส่องผ่านกระจกฝ้าออกมาให้รู้ว่ายังมีคน…ไม่นอนเหมือนกัน เสียงเพลงที่ดังแผ่วๆ นั้นถึงยังได้ดังอยู่จนเกือบชั่วโมงแล้ว เครื่องเล่นเทปจะเหนื่อยล้าบ้างมั้ยนะ แต่เพลงก็ไพเราะดี ป่านนี้แม่คงถึงนิวซีแลนด์ และคงต่อไปสวิสฯ ไปอิตาลี… ที่ไหนๆ ที่แม่อยากจะไป…เพื่อพักผ่อน โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ศิลปะ… แม่จะไม่พลาดเสมอทุกครั้งที่เดินทาง

“ปั้นได้ยังไงนะ เก่งจัง เหมื๊อน เหมือนคนจริง” เมื่อครั้งที่ไปกับแม่ และแม่ก็ไปยืนทึ่งรูปปั้นผู้นำของประเทศตะวันตกท่านหนึ่ง…แม่ไม่รู้หรอกว่าลูกสาวของแม่… มีเพื่อนเป็นประติมากรกับเขาเหมือนกัน… ชายหนุ่มศิลปินนักปั้นเล็กๆ จากรั้วเพาะช่าง

“ที่บ้านเป็นโรงงานหล่อทองเหลือง” เหตุผลที่เขาเลือกเรียนศิลปะ…

“ทีแรกก็ไม่ได้ชอบหรอกแต่เพราะไม่รู้จะเรียนอะไรเพื่อนๆ เลยลากไปสอบโรงเรียนศิลปะ ติดเฉย” นั่นแหละ..ที่มาที่ไปของประติมากรมือใหม่ เขาเพิ่งเรียนจบมาและยังว่างงาน ก็เลยมีเวลานั่งสนทนาหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนเที่ยงคืน…ถึงสว่าง เขาเป็นหนึ่งในจำนวน ‘เพื่อนทางตัวอักษร’ ไม่กี่คนที่ได้สนทนากันทางเสียงเพราะเขาให้เบอร์โทฯ มา…

“โทฯ มานะ ตอนนี้ไม่สบายใจเลย อยากคุยกับใครสักคนเท่านั้น แต่…ขี้เกียจพิมพ์” ดูเถอะ เขาพูดตรงๆ อย่างนี้เอง เรื่องราวที่เขาบอกเล่าก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ความรักที่ผิดหวัง ทำให้คนเราอ่อนแอได้ไม่น้อยเลย

“ไม่รู้ดิ่…เราอ่อนไหวไปมั้ง ศิลปินก็งี้แหละ อ่อนไหว ใจง่าย รักง่าย” แล้วเรื่องราวก็ถูกบอกเล่า “รักมากเลยคนนี้ คนแรกในชีวิต แต่เรื่องราวน้ำเน่ามาก พูดแล้วอย่าขำนะ…รู้จักกันในที่ผู้ชายเค้าเที่ยวกันนั่นแหละ แล้วเค้าก็ทำงานในนั้นด้วย ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะรักเขาหรอก แค่..เล่นๆ แต่ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ารักเขาเข้าเมื่อไหร่ อาจจะเพราะผูกพันมั้ง เค้า…ขี้อ้อน ช่างเอาใจ น่ารักดี แล้วก็คบกันอยู่พักใหญ่…พามาบ้าน ครอบครัวรับไม่ได้ เพราะเขาทำงานกลางคืน ป๋าสั่งเลิกคบ แต่..ตอนนั้นมันเลิกไม่ได้แล้วอ่ะ ก็คนมันรักแล้วก็เลยแอบคบกัน…จนวันนี้” เรื่องราวบอกเล่าง่ายๆ แต่น้ำเสียงที่บอกเล่าหดหู่จนรู้สึกได้ คนเล่าก็เศร้า คนฟังก็ซึม ก็มันน่าใจหายน้อยอยู่หรือเล่า

“ว่าจะทำเซอร์ไพร์ทสักหน่อย นั่งปั้นรูปอยู่ตั้งนาน ปั้นดินด้วย เป็นหน้าเขา แล้วพอไปหา เอาหุ่นปั้นเนี่ยไปให้วันเกิด เจอ…อยู่กับคนอื่น โมโหก็เลยโยนลงข้างล่าง แตกเลย เสียดายมาก อุตส่าห์ตั้งใจทำ” นั่นแหละเรื่องเศร้าที่เขาไม่ยอมเล่าทางตัวหนังสือ…

“เธอไม่ต้องแสดงความคิดเห็นก็ได้นะ เพราะเราแค่อยากเล่าเฉยๆ มันอึดอัด ถ้าไม่ได้บอกใครสักคนไว้ แต่เราไม่เล่าคนอื่นหรอก เพราะเราไม่อยากถูกเยาะเย้ย แต่เรารู้ว่าเธอไม่เยาะเย้ยเรา ผู้หญิงจะมีอารมณ์และความรู้สึกละเอียดอ่อนกว่าผู้ชาย ไม่มองอะไรตื้นๆ”

…และนับจนวันนี้เราก็ไม่เคยได้คุยกันทางโทรศัพท์อีกเลย แต่เราก็ติดต่อกันทางจดหมายอิเลคทรอนิกส์ เขาส่งข่าวมาเสมอว่ากิจการหล่อทองเหลืองกำลังไปได้ดี และป๋าก็ให้เขาดูแลการปั้นแบบ หล่อแบบ เขากำลังสนุกกับงาน และบางทีจิตใจที่บอบช้ำของเขาอาจจะดีขึ้น งาน… จะทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งเศร้าและโทษตัวเองถึงเรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า…

“เราไม่ได้อยากเป็นศิลปินชื่อดังคับประเทศหรอก เอาแค่รับผิดชอบกิจการให้มั่นคงได้ก็พอแล้ว เราเหมาะกับการเป็นนักธุรกิจ เป็นพ่อค้า มากกว่านักจินตนาการ” ไม่เหมือนคนที่ชอบเรียกตัวเองว่าศิลปินบางคน ที่ดูจะแสวงหาชื่อเสียงให้ตัวเองจนลืมไปว่า… ศิลปิน ไม่ใช่เทวดา

กาแฟแก้วใหม่… หอมกรุ่น คุ้นเคย… ผ้าคลุมไหล่ผืนหนาจากบาหลี เป็นของฝากจากแม่เมื่อครั้งที่แม่ซื้อของมาแต่ง… ‘เรือนครัว’ ซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวเหมือนเรือนพักหลังอื่น หากแต่ที่นี่จะเปิดโล่ง มีโต๊ะไม้ตัวเตี้ยๆจากพม่า กับเบาะนั่งผ้าลายขิดและหมอนอิงจากขอนแก่น…หน้ากากไม้และรูปภาพตกแต่ง…จากบาหลี แจกันดินเผาทรงเตี้ยเสียบดอกลีลาวดีสีขาว..แจกันละช่อ อาหารเช้าของแขกที่มาพักจะอยู่ที่นี่…และของตกแต่งจากทุกมุมโลกก็มักจะรวมกันอยู่ที่นี่…

…หากฉันรู้สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย ยอดดวงใจที่ฉันเฝ้าคอย คงไม่เลื่อนลอยเป็น
ของใคร…


แล้วไม่เพียงแต่เสียงเพลง… หากมีเสียงร้องคลอไปกับเพลงด้วย…ดูเถอะ ช่างอารมณ์ดีเสียจริงหนอ อยากรู้แล้วละสิว่าแขกเรือนรับรองหลังข้างๆ นี้ หน้าตาเป็นอย่างไร…

ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรืองๆ อืมม์…นะ จะสว่างอยู่อีกไม่กี่นาน รอสวัสดีทักทายดวงตะวันยามเช้าหน่อยก็ดี… เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้นั่งชมดาว จิบกาแฟจนสว่างคาตา เช่นนี้… ถ้าไม่เพราะต้องมาเฝ้ารีสอร์ทให้แม่… ป่านนี้คงนั่งอัพเดทข้อมูลเวบไซท์ ตอบอีเมลล์ลูกค้าที่สั่งซื้อของทางอินเทอร์เน็ต เช็คยอดจำนวนสินค้า คนเดียว…บนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมใจกลางกรุง ยามสายก็เตรียมตัวเดินทางไปสั่งออร์เดอร์สินค้ายังต่างจังหวัด ไปธนาคาร ไป…ยานใหญ่… ในเวลานี้จึงไม่อยากจะแตะต้องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คที่วางอยู่ใกล้ๆ มือนี้เลย แต่ก็อีกนะแหละ…จะมีเพื่อนคนไหนส่งความคิดถึงมาทางตัวอักษรบ้างหนอ แน่นอนอีเมลล์แอดเดรสของเพื่อน.. กับงาน..คนละส่วนกัน และยามเช้าของวันนี้ ไม่ดีเลยที่จะเครียดเพราะงาน…..

“สวัสดีสาวน้อย… ผมเพิ่งกลับจากตรวจงานที่สิงคโปร์ ตอนนี้ผมอยู่ริมทะเล มาพักผ่อนเผื่อคุณไง ทะเลที่นี่สวยมาก ไม่อยากเชื่อเลยว่าที่นี่คือเมืองไทย อืมม์… เห็นทีผมจะต้องเลิกไปฮาวายแล้วล่ะ” พ่อหนุ่มวิศวกรประจำบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง.. สาขาประเทศไทย อืมม์ จดหมายฉบับนี้เพิ่งเขียนไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แสดงว่าก็ยังมีคนไม่นอนเป็นเพื่อนกัน หรืออีกบางที เขาอาจจะเพิ่งตื่น.. ชายหนุ่มคนนี้ก็เหมือนคนอื่นๆ การรู้จักกันทางตัวหนังสือไม่ได้ทำให้เราดูห่างเหินกันเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าก็รู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่ผ่านตัวอักษรมา…เขาบอกว่าต้องรับผิดชอบโครงการ…หลายพันล้าน วางระบบไฟฟ้าและซ่อมบำรุงหลายบริษัททั่วโลก

“เหนื่อยมาก แต่ก็สนุก ท้าทายดี ได้คิด ได้แก้ปัญหา ต้องเอาเหตุเอาผลมาเป็นข้อบังคับ ไม่ต้องอยู่กับที่นิ่งๆ …ชอบ” เขามักจะเขียนมาเล่าเรื่องงาน-งาน และงาน ท่าทางคงจะเหนื่อยน่าดูจริงๆ นั่นแหละ เขาช่างไม่มีเวลาได้หยุดนิ่งเพื่อพักผ่อน พักเหนื่อย หรือให้โอกาสกับร่างกายตัวเองให้ได้ผ่อนคลายบ้าง แต่…เอ จดหมายฉบับนี้เขาบอกว่าอยู่ริมทะเล ประเทศไทยนี่เอง อย่างนั้นก็…คงได้พักบ้างแล้วสินะ บางทีที่เขาเขียนมาบ่นเล่า เรื่องราวของสุขภาพ ก็อดใจหาย…เป็นห่วง..ไม่ได้

“วันนี้เจ็บตามากเลย นั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน กว่าจะเคลียร์โปรเจคท์เสร็จ สว่างเลย..” อาการป่วยไข้ของเขา เห็นว่าต้องดูแลตัวเอง…

“ไม่มีใครเลยจ้ะ เคยมีแฟนนะ แต่ก็เลิกกันเพราะไม่มีเวลาให้..” นี่เอง เหตุของการเลิกร้างของคนทำงานเพราะไม่มีเวลาให้กันนี่เองเล่า เขาเขียนจดหมายมาบ่อยกว่าใครเพื่อน บางคราวบางครั้งก็วันละสิบห้าฉบับเรียกได้ว่าเกือบทุกสองชั่วโมง…จนกลายเป็นความคุ้นเคย-- คุ้นตา เหมือนจะเป็นคนขี้เหงาเหลือประมาณ เพราะในยามใดที่อยู่คนเดียวก็ส่งเมลล์ เวลาไหนที่เหนื่อยๆ ก็ส่งเมลล์เกือบจะทุกความเคลื่อนไหว..ที่เขาบอกเล่าจนรู้ว่าในเวลาไหนเขาทำอะไรบ้างในชีวิต…แต่คนที่นั่งอ่านจดหมายเขาอยู่ตอนนี้…ก็ทำได้เพียงแต่แสดงความหวังดีและเห็นใจผ่านทางตัวอักษร..อาจจะไม่ลึกซึ้งกินใจ แต่ขณะที่เขียน..จิตใจในตอนนั้นก็อยู่ที่คนรับจดหมายแล้วล่ะ แม้จะเป็นเพียงเพื่อน เพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า แต่ทว่าความหวังดีและจริงใจ…บางทีก็อาจจะมีให้กันมากกว่าคนที่เจอหน้ากันทุกวันก็ได้ สำหรับสังคมทุกวันนี้

แล้วก็ได้เปิดอ่านจดหมายเพียงฉบับเดียว เมื่อคุณแม่บ้านมาเรียน ‘คุณหนู’ ให้ไปรับประทานอาหารเช้า ‘คุณหนู’ ก็เลยต้องกุลีกุจอเก็บโน้ตบุ้ค เก็บแก้วกาแฟ…อืมม์ แต่ก็อดเหลือบมองเรือนพักข้างๆ ไม่ได้ เสียงเพลงเงียบไปแล้วแต่แสงจากโคมไฟยังสว่างจ้าอยู่เลย ตะวันโผล่พ้นขอบน้ำไปตั้งนาน หรือหลับไปเสียแล้วก็ไม่รู้… แน่ะ… เหมือนรู้ทันความคิด…ปิดโคมทันทีเลย อุ๊ย เปิดหน้าต่างออกมาด้วย

“สวัสดียามเช้าสาวน้อย..” อาการค้าง…เกิดขึ้นทันที รอยยิ้มแห้งๆ ที่ส่งออกไปพร้อมเสียงแห้งๆ ของคน..ไม่ได้นอน น่าอายจัง เป็นสาวเป็นนางมือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟสองใบ อีกข้างหิ้วโน้ตบุ้ค ผ้าคลุมไหล่เลื่อนตกลงมา… น่าอายน้อยอยู่หรือเล่า…

“สวัสดีค่ะ…” แล้วก็ผลุบเข้าบ้าน… ก็แหม ใครจะกล้ายืนสู้หน้า… และหลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยก็ไปยังเรือนครัวพ่อหนุ่มข้างบ้าน…ก็ออกมาพร้อมกัน เหมือนจงใจ

“เมื่อคืนคุณแอบดูผมใช่มั้ยสาวน้อย เก่งจัง นั่งอยู่ที่เดิมได้ตั้งหลายชั่วโมง ผมเห็นคุณอยู่จนสว่าง”

“คุณก็...สว่างเหมือนกัน”

“ถ้าคุณไม่นั่งอยู่ผมก็คงนอนไปแล้ว…กลัวผีครับ แต่เห็นว่ามีเพื่อน เลยนั่งไปเรื่อยๆ ก็ว่า..ถ้าคุณเข้าบ้านผมก็คงไปนอนเหมือนกัน แต่มองมาทีไร คุณก็ยังนั่นงอยู่ที่เดิม ผมก็เลยเพลิน…ไม่หลับไม่นอน” เขาเล่า..ยิ้มแย้ม พูดคุยเหมือนสนิทสนมมาเนิ่นนาน… มนุษยสัมพันธ์ดีจัง

“แล้วคุณทำอะไรหรือ..ดึกดื่น”

“เล่นอินเทอร์เน็ตครับ” เขาตอบตรงๆ

“คุณหิ้วแล็ปท้อปมาด้วยหรือ”

“ก็เหมือนคุณนะแหละแม่สาวน้อย ผมเห็นนะ คุณก็เล่น แช้ตเหรอ?”

“เมื่อเช้าเหรอคะ เปล่าค่ะ เชคเมลล์”

“เช่นกัน...ผมส่งเมลล์ ถึงเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า…มันฟังดูตลกมั้ย เพื่อนกัน แต่ไม่เคยพบกันเลย” เขาเอื้อมมือไปเด็ดดอกลีลาวดีข้างทางส่งให้

“ขอบคุณค่ะ อืมม์ ไม่แปลกค่ะ มิตรภาพไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า”

“ว้าว คุณพูดเหมือนเพื่อนผมเลย เพื่อนที่ผมเพิ่งจะส่งเมลล์ไปถึงเขาเมื่อเช้า…ก็พูดอย่างนี้แหละ เอ ผู้หญิงนี่เค้าคิดอะไรคล้ายๆ กันเนอะ อืมม์ ถึงเรือนครัวแล้ว เราไปทานข้าวกันเถอะ เพราะผมต้องกลับกรุงเทพฯ วันนี้แล้วแย่จังที่ไม่ได้คุยกับคุณนานๆ แม่สาวน้อย”

“คุณกลับมาที่นี่อีกก็เจอฉันที่นี่แหละค่ะ..”

“ครับผม นี่ผมเพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์ เพิ่งรู้นะว่าที่นี่มีทะเลสวย เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตของผมคนหนึ่งบอกว่ามีบ้านพักด้วย ให้เบอร์มาเรียบร้อย ผมก็เลยมาที่นี่…ต้องเขียนเมลล์ไปขอบคุณแล้วล่ะ” เมื่อถึงเรือนครัวก็เลยขอแยกตัวไปหลังครัว… แล้วเราก็ไม่ได้พบกันอีก--ชายหนุ่มข้างบ้าน เช็คเอาท์ออกไปหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย…

มิตรภาพที่ไม่เห็นหน้า…ก็ยังคงดำเนินไปตามรูปรอยของมัน ชายหนุ่มทั้งสี่คนก็ยังหมั่นเขียนเมลล์ มาหา บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปในชีวิต… หนึ่งในสี่หนุ่ม… ถ้าเขารู้ว่าแม่สาวน้อยที่เขาเก็บดอกลีลาวดีข้างทางให้ และเพื่อนสาวที่บอกเรื่องทะเลและบ้านพัก กับแม่สาวน้อยที่เขาบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังทุกวันเป็นคนเดียวกัน… จะรู้สึกอย่างไรหนอ.. จะรู้บ้างมั้ยนะ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเพียงบังเอิญเจอ ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนในชีวิตจริง แต่เป็นเพื่อน…สนิท… ในอินเทอร์เน็ต

อืมม์ หลังจากที่แม่กลับมาแล้ว-ไปที่ร้านขายเครื่องใช้ทองเหลืองบ้างดีกว่า… ให้แม่เอามาตกแต่งรีสอร์ท บางทีอาจจะได้เจอกับใครอีกคนที่ร้านนั้น แน่นอน เพราะที่ร้านกาแฟ…คนที่นั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม..คอกาแฟ และนั่งนานเท่าๆ กัน จิบกาแฟรสชาดที่มาจากคนชงคนเดียวกัน และก็…เค้กมะนาวเหมือนกัน…เขายังไม่รู้จนวันนี้…ว่าเป็นใคร-- ส่วนนายทหารหนุ่มแห่งกองทัพอากาศไทย..ไม่เป็นไร ได้พบกันแน่นอนที่นครสวรรค์ เพราะผ้าทอที่สั่งออร์เดอร์ไป…ต้องไปรับแล้ว ลูกค้าจากเยอรมันต้องการด่วนเสียด้วย…

เพื่อนรัก….บางที คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณตอนนี้อาจจะเป็นเพื่อนสาวจากอินเทอร์เน็ตคนนี้ก็ได้ อย่าลืมยิ้มให้เธอบ้างนะ…/




----------------------------------------------------



เป็นอีกเรื่องที่ชอบ เพราะมี "เค้า" มาจากเรื่องจริงๆ ของคน 4 คน ที่ตอนนี้ ก็มีวิถีของตัวเองอย่างที่เลือกเป็น...

อ่านเรื่องนี้ทุกครั้ง มักจะนึกถึงพวกเขาทุกคราวไป บางครั้งเรื่องที่เขียนขึ้นก็เหมือนไดอารี่...

เขียนเรื่องนี้ต่อเป็นเรื่องยาว เกือบจะจบ แต่ก็หายไปกับฮาร์ดดิสก์ เดิมที่พังไป... เลยเหลือแต่เรื่องสั้นที่เก็บใน handy เท่านั้นเอง

เรื่องราวดีๆ เก็บไว้จำ ในวันที่ผ่านเลยแล้ว.... ^^"



Create Date : 21 ธันวาคม 2549
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 15:55:12 น.
Counter : 925 Pageviews.

2 comments
  
เราจะพยายามยิ้มให้ทุกๆคน เพราะไม่แน่ เค้าอาจะเป็นคนๆนั้นของคุณ


น่ารักดีนะคะ เดี๋ยววันหลังจะแวะะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆค่ะ
โดย: ปาล์ม (palmpada ) วันที่: 22 ธันวาคม 2549 เวลา:20:38:18 น.
  
ดีจังเลยที่ชั้นคลิกมาอ่านเรื่องนี้

ลุกไปชงกาแฟก่อนนะ
โดย: แพงกวิ้นของแก IP: 124.120.15.11 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:51:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ