พฤศจิกายน 2556

 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
All Blog
เรื่องสั้น : ช่องว่าง

ผมรูดซิประเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นชุดทำงาน และเครื่องใช้ส่วนตัว จำพวก ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู และถุงเท้า ไม่ลืมที่จะลั่นกุญแจให้เรียบร้อยเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติเมื่อต้องออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย

ผมกลับมาเก็บข้าวของเหล่านี้ในช่วงพักกลางวันขณะที่เธอไม่อยู่.. เมื่อเช้าคู่ชีวิตของผมงัวเงียบบอกขณะที่หมอนยังปิดหน้าก่อนที่ผมจะออกจากห้องว่า

“บ่ายนี้ฉันไม่อยู่นะ ต้องไปงานวรรณกรรม คุณอย่าลืมกุญแจห้องล่ะ” เท่านั้นเอง แล้วเธอก็นอนหลับต่อโดยไม่สนใจใยดีว่าผมออกจากห้องไปตอนไหน และ... ผมต้องผจญภัยบนรถเมล์ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ต่างกำลังมุ่งหน้าไปยังปลายทางด้วยความเร่งรีบ ขณะที่เธอนอนหลับอย่างเป็นสุขบนเตียงนอน...

เสื้อเชิ้ตผมเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาบนแผ่นหลัง ทั้งที่ยังเช้าอยู่ นั่นเป็นเพราะการเดินทางไปทำงานซึ่งอยู่ห่างจากที่พักคนละมุมเมือง...ผมต้องตื่นนอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นและไปให้ถึงที่ทำงานทันเวลาก่อนนาฬิกาจะบอกเวลาแปดโมงเช้า ผมเคยบอกกับเธอว่าอยากจะย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน เพราะจะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารถเมล์และไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมากนัก และที่สำคัญมันทำให้เราได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น แต่เธอก็อ้างว่าเธอไม่ชอบบรรยากาศในเมือง เพราะมันทำให้เธอเขียนหนังสือไม่ได้ เธอบอกว่าการมีอาชีพเป็นนักเขียนต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อากาศดี นั่นจะให้เธอมีแรงบันดาลใจที่จะเขียน... แต่การเดินทางมักจะทำให้ผมหัวเสียบ่อยครั้งเมื่อต้องเผชิญกับฝุ่นควัน และผู้คนที่ต่างก็เร่งรีบพอกัน... การจะมองหาความเอื้อเฟื้อในชั่วโมงเร่งด่วนจึงค่อนข้างยาก...

ผมเป็นพนักงานบริษัทในตำแหน่งเล็กๆ ที่มีเวลาทำงานคือ แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ผมต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อที่จะอาบน้ำ และออกจากที่พักก่อนตีห้าเพราะถ้าหากช้ากว่านั้นเพียงสิบหรือสิบห้านาทีก็ทำให้ผมไปทำงานสายได้เป็นชั่วโมง ดังนั้นผมจึงมีเวลาออกจากห้องพักที่แน่นอน ขณะเดียวกับหลังห้าโมงเย็นเป็นเวลาที่รถติดแสนสาหัสสำหรับใจกลางเมืองอย่างถนนสาทร กว่าผมจะฝ่าดงรถติดกลับถึงห้องพักได้ก็เกือบสามทุ่ม.. เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน.. นั่นอาจสร้างความเคยชินให้กับผม แต่ก็ไม่ได้ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นเลยแม้เพียงสักน้อย ผมอยากจะย้ายที่พักมาอยู่ให้ใกล้ที่งานใจจะขาด และถ้าหากผมตัวคนเดียว ผมคงทำอย่างนั้นแล้ว...

เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกับผม ใช้เตียงนอนร่วมกัน ผ้าห่มผืนเดียวกัน ห้องน้ำ ถ้วยกาแฟ ทีวี ตลอดจนไม้ถูกพื้นที่ผมไม่เคยเห็นเธอหยิบมันขึ้นมาใช้งานเลยสักครั้งตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา...

เราไม่ได้แต่งงานกัน แต่เราอยู่ด้วยกันด้วยความพึงพอใจ... ก็ผมเองนั่นแหละที่หอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเธอหลังจากที่ได้รู้จักกันเพียงไม่นาน ขณะที่เธอกำลังถูกสัมภาษณ์อยู่บนเวทีของงานมหกรรมหนังสือ สายตาที่เธอมองมาตรึงร่างของผมให้ยืนอยู่กับที่ และจนกระทั่งเธอเดินลงมาจากเวที ถูกขอลายเซ็น... ผมจึงเดินไปหาเธอดื้อๆ และพูดกับเธอ

“ผมไม่เคยอ่านผลงานของคุณ แต่ผมคิดว่าคุณคงมีชื่อเสียงมาก ผมคงไม่กล้าทำความรู้จักกับคุณมากไปกว่าบอกกับคุณว่าคุณเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ตอนที่อยู่บนเวที คุณทำให้หลายคนนิ่งฟังคุณพูดอย่างตั้งใจ และหนึ่งในนั้นก็รวมผมด้วย” อาจจะเป็นประโยคเชยๆ และตรงไปตรงมาจนฟังดูน่าขัน แต่นั่นก็ออกมาจากความรู้สึก ผมไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรกับผมมากไปกว่ากล่าวคำว่า “ขอบคุณค่ะ แล้วอย่าลืมติดตามผลงานของฉันนะคะ” หรือไม่ก็ “ไปตายซะไอ้งั่งเอ๊ย” แต่สิ่งที่เธอทำคือ “ขอยืมมือถือคุณหน่อยซิคะ” ผมยื่นให้เธอทื่อๆ และงงๆ เธอกดเบอร์ลงไปแล้วรอสัญญาณปลายสาย.. จากนั้นเธอก็กดวางแล้วยื่นมันคืนมาให้ผม... ก่อนจะบอกลาแล้วหายไปในท่ามกลางผู้คนมากมายที่เบียดเสียดกันเพื่อเลือกหา และซื้อหนังสือ...

หลังจากนั้นไม่กี่วันผมจึงรู้ว่า เบอร์โทฯ ที่เธอกดจากเครื่องผมออกไปนั้นเป็นเบอร์ของเธอเอง เมื่อเบอร์ผมโชว์ที่หน้าจอเครื่องโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วเธอจึงเมมโมรี่เบอร์แล้วโทรศัพท์มาหาผม นั่นเองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

“ประโยคคำพูดของคุณมันฟังดูเชยมากแต่จริงใจที่สุดที่ฉันเคยได้ยิน นั่นเป็นผลงานชิ้นแรกของฉันที่ได้ตีพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราว มันไม่ได้ดังอะไรนักหรอก แค่วิธีการโปรโมทของสำนักพิมพ์เท่านั้นเอง” เธอถือหนังสือของเธอมาให้ผมด้วยล่มหนึ่ง ในวันที่เรานัดเจอกันอีกไม่กี่วันต่อมา...

“ฉันก็คนธรรมดานี่แหละ ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าใครเขาหรอก ฉันเพิ่งจะลาออกจากงานประจำแล้วมาเขียนหนังสืออย่างเดียว เพราะถ้าต้องทำงานด้วย เขียนหนังสือด้วยจะทำให้งานเขียนไม่ค่อยเดิน และอาจจะถูกลืมจากนักอ่านได้ง่ายๆ” ตลอดเวลาที่นั่งคุยกันในร้านอาหาร เธอจะเป็นคนพูดเสียส่วนใหญ่...

มิตรภาพของเรางอกงามขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเมล็ดพืชที่อยู่ในดินและน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างดูลงตัว และเราก็คบหากันเป็นคนรักในเวลาไม่นานนัก...

“ฉันชอบคุณนะ คุณเป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ” นั่นคือนิยามที่เธอให้ผมมา ในขณะที่ผมไม่เคยเอ่ยปากเลยว่าเธอเป็นหญิงสาวที่เหมือนพายุทอร์นาโด... สิ่งที่เกี่ยวกับเธอ “เหมือนลมพายุ” ไปเสียหมด ทุกอย่างรวดเร็วแทบจะทันทีไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจทำอะไร เธอมักจะไม่คิดหน้าคิดหลังถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา แต่มักจะพูดเสมอว่า

“ฉันไม่ชอบอะไรที่เรื่องมาก ยุ่งยาก เพราะมันน่าเบื่อและน่ารำคาญ” เธอเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ ไม่แคร์เรื่องการอยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงาน เพราะเธอถือว่าความรักสำคัญกว่าการแต่งงาน

“ต่อให้จัดงานแต่งงานใหญ่โตในโรงแรมหรู การ์ดแต่งงานใหญ่เท่ากระดาษเอโฟร์พับครึ่ง เชิญคนสำคัญมาทั้งประเทศ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วต้องเลิกกันนั่นน่าอายเสียยิ่งกว่าอีก” ผมไม่รู้ว่าจะมีใครคิดเหมือนเธออีกหรือเปล่า แต่ผมล่ะคนหนึ่งที่ไม่คิดเหมือนเธอ..

“ถ้าไม่รักกันแล้วจะแต่งงานกันทำไม เพราะคนที่แต่งงานกันก็ย่อมต้องมีความรักเป็นสำคัญ” เธอจึงมักมองผมด้วยสายตาเอ็นดูปนเหยียดเย้ยเสมอ

“ฉันรักคุณเพราะคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี” ถ้อยคำปลอบประโลมหลังจากที่ถาโถมลงมาด้วยสายตาอันคมกริบเหมือนมีดปลายแหลม เป็นเรื่องปกติชีวิตคู่ของเราสองคน

เพื่อนที่ทำงานมักพูดเย้าแหย่ให้ระคายหูเสมอว่าผมกลัวเมีย อาจจะด้วยอุปนิสัยของความเป็นคนเงียบขรึม และไม่ช่างพูดนี่ก็ได้ ทำให้ผมกลายเป็นโจ๊กในหมู่เพื่อนฝูงเมื่อยู่ในวงเหล้าและการนินทาเมีย... และการที่ผมไม่เถียงก็ยิ่งเป็นเหมือนการยอมรับว่าเป็นความจริง..ในบางวันที่ผมกลับถึงห้องจะเห็นเธอนั่งจ้องหน้าจอมอนิเตอร์พิมพ์งานเขียนของเธออย่างตั้งอกตั้งใจ มีถ้วยกาแฟที่ว่างเปล่าวางอยู่ใกล้ๆ ที่เขี่ยบุหรี่มีบุหรี่ถูกจุดเหลือเพียงครึ่งมวนวางอยู่...

“ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เลย ขอทีเถอะ ดับมันซะ” เธอคลั่งไคล้นักเขียนที่ชื่อ เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เอามากๆ และมักจะชอบคิดว่าการทำตัวเหมือนเวอร์จิเนีย วูล์ฟ นั้นจะเป็นแรงกระตุ้นให้เธอสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพได้

วันหยุดส่วนใหญ่ หากเราไม่มีธุระต้องไปไหน ผมมักจะนอนดูทีวี ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงอ่านหนังสือนวนิยายเล่มหนากว่าขนาดของพจนานุกรม... ผมแปลกใจที่เธอนอนแช่อยู่บนเตียงนอนได้ถึงหกเจ็ดชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหนเลยได้ นั่นยังไม่แย่เท่ากับที่เธอไม่มีวิญญาณของความเป็นแม่บ้านในตัวเอาเสียเลย เธอไม่เคยกวาดบ้าน ไม่เคยถูบ้าน แม้กระทั่งซักผ้า ผมยังต้องเป็นคนยกลงไปใส่เครื่องหยอดเหรียญและต้องจ้างรีดชุดทำงาน ทั้งๆ ที่ผมมีเมียอยู่ที่บ้าน และไม่ต้องพูดถึงโต๊ะทำงานตัวโปรดของเธอ...นอกจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งแล้วมันยังเต็มไปด้วยกองหนังสือ ที่ชาร์จแบตมือถือ เปลือกลูกอม เถ้าบุหรี่ แม็กเย็บ กระดาษ ถ้วยกาแฟ และอีกจิปาถะสรรพสิ่งที่ไม่ควรอยู่บนโต๊ะทำงาน...

เราต่างก็มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง การอยู่ด้วยกันของเราจึงเหมือนเราต่างอยู่คนเดียว เมื่อใดที่เธอจมอยู่ในโลกของการเขียนหนังสือ กาแฟในถ้วยอาจจะเย็นชืดโดยไม่ถูกจิบแม้สักหยดเดียว ขณะที่ผมต้องเป็นคนเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะเธอมักจะวางของในทุกที่ที่เธอยากวาง บางเช้าที่ผมนึกจะทำอาหารเช้ากินเอง เธอจะขว้างทุกอย่างใส่ประตู ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาปลุก หนังสือนวนิยายหรือกระทั่งรีโมททีวี ถ้าหากมันอยู่ใกล้มือในตอนนั้น เพื่อประท้วงว่า นั่นเป็นเวลานอนของเธอและเธอไม่ต้องการได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น... ต่อให้นั่นเป็นเวลาเก้าโมงเช้าก็ตาม...

เหมือนเราจะมีโลกส่วนตัวกันคนละเวลา เธอจะเป็นนกฮูกในตอนกลางคืน เธอบอกว่ากลางคืนเงียบและทำให้เธอเขียนหนังสือได้อย่างลื่นไหลกว่ากลางวันที่มักจะได้ยินเสียงทีวีหรือกระทั่งเสียงตะหลิวอยู่เคาะบนกระทะ แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าเสียงเคาะคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ตอนตีสามของเธอนั้นมันทำให้ผมแทบบ้าเหมือนกัน..ความสัมพันธ์ของเราจึงเหมือนเพื่อนร่วมห้องที่ใช้ชีวิตร่วมกันไปวันๆ มากกว่าคนรัก... เธอมีสังคมของเธอ มีเพื่อนในแวดวงนักเขียนที่ผมไม่รู้จักสักคน และดูเหมือนเธอเองก็ไม่อยากจะให้ใครได้รู้จักผมด้วยเช่นกัน...

ในบางวันหากเธอต้องไปร่วมงานสังสรรค์ หรือต้องไปให้สัมภาษณ์ ไปเป็นวิทยากร หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับงานเขียนของเธอ ผมจะคอยถามว่าเธอพร้อมมากน้อยแค่ไหน เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถาม การพูดต่อหน้าผู้คน หรือแม้กระทั่งชุดที่จะใส่ไปงาน แต่เธอก็จะตอบอย่างหัวเสียว่า

“ฉันจัดการตัวเองได้น่า ไม่ต้องห่วงหรอก” เธอยั้งคำว่า “น่ารำคาญ” เอาไว้ได้...มันไม่ค่อยจะหลุดออกจากปากเธอนัก, แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่เธอโพล่งออกมาโดยไม่ทันคิด แต่เธอก็จะเข้ามาโอบด้านหลังแล้วเอ่ยขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิด

“คุณหลับหรือยัง มารับฉันหน่อยสิ” ตีสองของวันอังคาร เธอโทรศัพท์บอกให้ผมนั่งแท็กซี่ไปรับที่สถานบันเทิงหลังจากไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน... คืนนั้นผมไม่ได้นอน เพราะกว่าจะกลับมาถึงห้องพัก และต้องคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ ก็ปาเข้าไปตีสี่ครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ผมต้องตื่นนอนและเตรียมตัวไปทำงาน...

ผมยืนโหนรถเมล์ตลอดเส้นทางการไปทำงาน แม้จะง่วงงุนกับการไม่ได้นอนแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ผมเลือก “คน” ถูกแน่หรือ? หากเอาความรู้สึกถูกตาต้องใจมาเป็นบรรทัดฐานแล้วฟันธงว่านั่นคือรักแรกพบ และเมื่อได้พูดคุยถูกคอก็เชื่อว่านั่นคือพรหมลิขิต... ความง่ายดายจากความคิดเหล่านี้นี่เองทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างไม่ลังเล แต่เมื่อเนิ่นนานไปก็รู้สึกได้ถึงความผิดพลาดที่ตามติดมา... ใครว่าผู้ชายไม่คิดมาก... ผิดล่ะ, อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะที่มองชีวิตครอบครัวอย่างมีจุดหมาย

“มาอยู่ด้วยกันนะ จะได้ประหยัดค่าเช่า ห้องคุณมันแคบไปหน่อย อยู่สองคนแล้วอึดอัด คอนโดฯ ฉันกว้างพอที่เราจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวได้ ถ้าเรามีลูกก็ไม่ลำบากเพราะคอนโดฯ ฉันมีถึงสามห้อง” ประโยคที่ทำให้ผมตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเธอ

คนแต่ละคนก็เหมือนวงกลม วงกลมหนึ่งวงนั้นแทน “โลก” ของคนคนหนึ่ง เมื่อคนสองคนรู้จักกันก็เหมือนวงกลมสองวงกำลังทำปฏิกิริยา มันจะแทรกซึมเข้าหากันหรือว่ามันจะกระทบกันแล้วกระดอนออก นั่นก็อยู่ที่คนสองคนกับ “ปฏิกิริยา” ที่มีต่อกัน บางคู่ก็เข้ากันไม่ได้ ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตาม ... วงกลมที่แข็งและหนาจะปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง... มองอีกมุมหนึ่งก็คือการสร้างกำแพงล้อมรอบตัวเอง... ไม่ยินดีที่จะให้ใครปีนข้ามกำแพงนั้นเข้ามาและไม่ยินยอมที่จะออกจากกำแพงของตัวเองด้วย นั่นทำให้วงกลมที่เข้ามากระทบนั้นกระดอนออกไป “ตามแรงที่เข้ามา” แล้วก็เจ็บปวดเมื่อผิดหวังกับปฏิกิริยาตอบรับ.. การแทรกซึมเข้าหากันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย... บางครั้งต้องอาศัยจังหวะ เพื่อลดแรงปะทะของวงกลมทั้งสองนั้น....

เธอเป็นเหมือนวงกลมที่มีกำแพงแข็งหนาล้อมรอบ ไม่เคยเปิดประตูให้ใครเข้าไปทำความรู้จักตัวเธอในแบบอย่างที่เธอเป็น.. หรือบางที.. อาจจะเพราะวงกลมของเรากับเขามีกำแพงคนละอย่าง..คนหนึ่งพยายามเข้าหา ในขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เปิดประตูต้อนรับ....

กับบางคนเราอาจถูกตาต้องใจเมื่อได้พบเพียงแรกเห็น ชื่นชมเมื่อได้รู้จักมักคุ้น แต่ขณะที่บางคนแม้เพียงสบตากันครั้งเดียวก็รู้ได้ทันใดว่าเราไม่สามารถที่จะทำความคุ้นเคยกันได้ในชีวิตจริง

บางทีผมอาจจะ... เลือกคนผิดจริงๆ ก็ได้...

* * * * * * * * * * 

ฉันเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาที่หัวเตียงมาดูเวลา ก่อนที่จะกดรีโมทปิดเครื่องปรับอากาศ... นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที... ฉันคงเมาหนักไปหน่อยสำหรับเมื่อคืนนี้จึงได้นอนหลับเป็นตายจนไม่ได้ยินเสียงว่าเขาออกจากห้องไปตอนไหน...

นึกถึงเรื่องราวของเมื่อคืนนี้กับงานปาร์ตี้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของฉัน... เล่มที่สองกับความพยายามตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา ฉันทุ่มเททุกอย่างเพื่อหนังสือเล่มนี้จนลืมที่จะใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว...วันนี้มันสำเร็จลงด้วยดี... ฉันมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในแวดวงวรรณกรรมบนเส้นทางที่ฉันเลือกที่จะเดิน...

ฉันตักกาแฟลงในถ้วยสองช้อนก่อนที่จะกดน้ำจากเครื่องต้มน้ำร้อน... ชิท! ฉันแทบจะปาถ้วยกาแฟติดข้างฝาเมื่อน้ำที่กดออกมานั้นเย็นเฉียบเหมือนเพิ่งออกจากตู้เย็น....

ทุกๆ เช้าก่อนออกจากห้องเขาจะเสียบปลั๊กเครื่องต้มน้ำร้อนไว้เสมอ...

ฉันวางถ้วยกาแฟลงแล้วจุดบุหรี่ สูดควันเข้าปอด ริมระเบียงที่สายแดดกำลังไล่ลามเลียผิวให้แสบร้อนได้ในอีกไม่ช้านัก... ไม้กระถางที่แขวนริมระเบียง แห้งเหี่ยวและเฉาตายไปหลายกระถาง ถังขยะที่เต็มไปด้วยซองเปล่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซองบุหรี่ เปลือกผลไม้ที่เริ่มส่งกลิ่น... เสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก ห้องน้ำที่ไม่ได้ขัด ผ้าห่มที่ไม่เคยโดนแดดเลย...

ฉันยังไม่ชินกับการ “ไปเงียบๆ” ของเขาเท่าไหร่นัก... มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันนี้เอง...

ในวันแรกๆ ที่เขาไป - ฉันไม่แม้กระทั่งโทฯ ไปถามว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่กลับดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำที่ได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง... ฉันไม่ถนัดในการอยู่ร่วมกับคนอื่นเท่าไหร่นักแต่คิดว่าเราอาจจะเข้ากันได้ หลังจากที่ได้รู้จักและคบหา... เขาเป็นคนสุภาพ มองโลกในแง่ดี มีน้ำใจและไม่โกหก เป็นคุณสมบัติที่หาไม่ได้ง่ายๆ นักในตัวผู้ชายสมัยนี้ นั่นทำให้ฉันเลือกเขาและหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป.. แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานฉันก็เริ่มเข้าใจในตัวเองมากขึ้น ความเป็นปัจเจกที่ดูเหมือนมันจะมากจนเกินไปทำให้ฉันสร้างเกราะขึ้นมาหุ้มตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ระหว่างฉันกับเขาจึงยังมี “เส้นบางๆ” กั้นกลางระหว่างเรา

สิบกว่ากันแล้วที่เขาไม่อยู่... เขาไม่เคยโทฯ มาหา เช่นเดียวกับที่ฉันเองก็ไม่โทฯ ไป เราไม่ได้โกรธกันแต่เราไม่ได้พูดคุยกัน... ถึงแม้ตอนที่เขาอยู่ เราก็แทบไม่ได้คุยกัน ฉันหมกมุ่นแต่กับงานเขียน ขณะที่เขาก็ทำโน่นทำนี่ไปโดยที่ไม่เคยก้าวข้ามมาสู่โลกส่วนตัวของฉันเช่นกัน... แต่ปลายหางตาของฉันยังรับรู้ว่ามีเขาอยู่ในห้องกว้างๆ ด้วยกัน...นั่นทำให้ฉันอุ่นใจว่าฉันไม่ได้อยู่ลำพัง... เขาคอยเอาใจใส่ดูแล และเป็นห่วงเป็นใยในขณะที่ฉันวีนแตกใส่เขาเมื่อไม่ได้ดังใจ...

แต่เมื่อเขาไม่อยู่ ความเหงาก็เช้ามาแทนที่... ไม่มีร่างผอมบางนอนขดตัวอยู่ข้างๆ ไม่มีใครเสียบปลั๊กเครื่องต้มน้ำร้อนไว้ให้ชงกาแฟตอนเช้า อีกนานแค่ไหนไม่อาจรับรู้ได้กว่าทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในสภาวะที่ “เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น” ให้คนสักคนกลายเป็นอากาศในชีวิตไป, ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยมองเห็น และไม่เคยมีจริง นานแค่ไหน... ไม่อาจรู้

ฉันลงมือทำความสะอาดห้อง เก็บผ้าห่มไปผึ่งแดด เอาผ้าไปใส่เครื่องซักหยอดเหรียญ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เทขยะ กวาดพื้น เช็ดฝุ่น และเปลี่ยนต้นไม้ในกระถาง... แล้วไปหาเขาที่ทำงาน...

“ถ้าคุณคิดถึง ก็มาหาฉันบ้างนะ ฉันเอากุญแจห้องมาให้...”



หมายเหตุ :: ตีพิมพ์ในนิตยสารดิฉัน ฉ.๗๓๙ ปักษ์แรก ธ.ค.๒๕๕๐



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2556 23:30:39 น.
Counter : 1732 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ