สิงหาคม 2549

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
12
13
14
15
16
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
11 สิงหาคม 2549
All Blog
IMAGINE TO ANGEL

ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายนอกชาน สองเท้าพาดวางบนขอบระเบียงที่ไม่สูงนัก กีตาร์โปร่งวางบนตัก ฮัมเพลงความรักเป็นเพื่อนพระจันทร์ สายลมพัดไหวแววตาที่ทอดมองไป ไกลสุดปลายขอบฟ้า หรือดวงตามัวพร่า เขาเห็นนางฟ้ากำลังร้องไห้

อกหักเพราะรักมาก
พลัดพรากเพราะหวังครอง
ว่างเปล่าเพราะจับจอง
ร่ำร้องเพียงเพราะ เสียใจ…

“ความรักมันทำให้คนหูหนวก ตาบอด และเป็นบ้าได้จริงๆ”
เหมือนจะเย้ยหยัน ประชดประชัน แต่ลึกนั้นแฝงด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด หญิงสาวร่างบางนั่งห่างอีกมุมหนึ่งของริมระเบียงพูดเบา--

ชายหนุ่มถอนหายใจเชื่องช้า แผ่วเบา ความรักของเขามีคุณค่าก็ต่อเมื่อ เธอไม่มีใคร….

“ไม่มีใครรักมิน เท่าตรัง”
เธอเดินกลับมานั่งลงข้างๆ เขา เธอรู้ ความรักของเขามากมายเพียงใด ชายหนุ่มบนเก้าอี้หวายข้างๆ มีทุกอย่างให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความจริงใจ ความห่วงใย ความหวังดี ทั้งๆ ที่ตรังเองก็รู้ เธอไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ตอบแทน แต่เขาไม่เคยเรียกร้อง

“แค่ให้รัก ก็ภูมิใจนักแล้ว”
นั่นล่ะตรัง พอใจเท่าที่มียินดีเท่าที่ได้ แม้ลึกในใจจะรักเธอเพียงใดก็ไม่เคย แสดงออกเกินขอบเขตแห่งมิตรภาพ

“ผู้หญิงของนนท์ไม่ได้มีเพียงมินคนเดียว แต่คนที่มินรักคือนนท์คนเดียว เสียใจที่คาดหวังมาก ผิดหวังก็เลยเจ็บมาก”
มินตราเสียงเบา

“แต่หากไม่หวังเลย ก็ไร้ความพยายาม”
มินตราไม่รู้หรอกว่าเขาหมายความลึกเพียงใด และเขาเองก็ไม่ปรารถนาที่จะให้เธอรับรู้มากกว่าที่เข้าใจในเวลานี้

“มินเป็นยังไงบ้าง งานเขียนหนังสือ”
ตรังถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอ

“กำลังรวบรวมต้นฉบับที่ตีพิมพ์ในนิตยสารมารวมเล่ม คิดว่าคงอีกไม่นานนัก..”

“เราจะรออ่าน”

“ตรังอ่านต้นฉบับทุกเรื่องแล้ว เพราะก่อนที่มินจะส่งต้นฉบับเรื่องสั้นมินก็ส่งมาให้ตรังอ่านก่อนทุกที”
ทั้งคู่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามริมชายหาดที่ยาวไกล

“ไม่ได้เจอตรังนานเหมือนกันนะ”
พักหลังที่เธอให้เวลากับความรัก กับคนที่เธอรักมากมายจนไม่มีเวลาให้กับเพื่อนที่หวังดีเสมอ จนเมื่อเธอไม่มีใคร เขามักจะเป็นคนแรกที่เธอนึกถึง มินตราละอายใจ… ในเวลาแห่งสุขเธอไม่เคยนึกถึงเขา หากเมื่อใดทุกข์เศร้ากลับเป็นเขาที่เธอวิ่งมาหา…

“หกเดือนกว่า”
ตรังย้ำถึงวันเวลาที่ห่างเหิน

“แล้วตรังเป็นยังไงบ้าง พักนี้”

“โดดเดี่ยว เดียวดาย เสรี”
ตรังไม่อธิบายยาว หากคำพูดสั้นๆ นั้นก็รวมความหมายไว้ได้หมด

“ตรังน่าจะหาใครสักคน…”
เธอพูดเพียงนั้น แต่แค่นั้นก็ทำร้ายจิตใจเขาเสียจนไม่อยากจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้า

“มินก็รู้ เรารักมิน”

“แต่ตรังก็รู้ เราเป็นได้แค่เพื่อน”
นี่คือประโยคสรุป สั้น ง่ายและได้ใจความ เพราะต่างก็รู้ดีแก่ใจ ความรักถูกจำกัดเสรีภาพให้เป็นได้เพียงเพื่อนกัน จำต้องเก็บความรักแห่งการครอบครองเป็นเจ้าของหัวใจไว้ ให้เหลือเพียงรักอย่างเพื่อน แค่เพื่อนเท่านั้น

“แต่อย่างน้อยเวลาที่มินไม่มีใคร มินก็ยังมีตรัง”
เธอเองก็หวั่นเกรง กลัวว่าคำพูดบางคำจะทำร้ายจิตใจเขามากเกินไป

“ขอบใจ ที่ยังเห็นว่ามีค่า”
ไม่ใช่คำพูดประชดประชันแต่อย่างใด หากแต่เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงพูดออกไปตามความรู้สึก

ตรังไม่ช่างพูด ติดจะเงียบขรึมเสียจนบางครั้งก็เดาใจไม่ถูก การแสดงออกเท่านั้นหรอกที่ทำให้มินตรารู้ว่าเขารักเธอเพียงไหน แต่เธอเองก็ไม่อาจฝืนใจให้รักเขามากไปกว่าแค่ “เพื่อน” ได้

“ความรักมันห้ามกันไม่ได้ เรารักมิน ไม่ได้หมายความว่ามินต้องรักเรา คนเรา ห้ามความรักและชะตากรรมไม่ได้”
พูดเหมือนเข้าใจ แต่ลึกในใจก็ต้องฝืนยอมรับกับคำพูดของตัวเองเช่นกัน

“ตลกนะตรัง อกหัก มันเจ็บปวดดีจังหละ ความรักของมินไม่ได้มีอิทธิพลเพียงพอที่จะเอาชนะใจนนท์ได้เลยทั้งๆ ที่มินทุ่มเททั้งใจ แต่นนท์ก็ยังมีคนอื่นอีกมากมาย ตรังรู้ไหม นนท์บอกกับมินว่าเขายังไม่ “เลือก” ใครทั้งนั้น เพราะการจะเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิต เป็นเพื่อนร่วมทางจนตาย ไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เขาพูดไม่ผิด”

“แต่เขาเห็นมินเป็นสิ่งของสำหรับเลือกนะตรัง”
เธอพูดทั้งน้ำตา น้ำตาที่รินไหลอาบแก้มนวล สองมือเรียวเล็กจับแขนของตรังเขย่าด้วยความรู้สึกเรียกร้องความเห็นใจ เข้าใจ ชายหนุ่มโอบปลอบ เธอบอบบางและอ่อนแอนัก แต่ความรักของเธอยิ่งใหญ่

“แต่สักวันหนึ่งข้างหน้า เขาอาจเลือกมิน”
คำปลอบโยนของชายหนุ่มแผ่วเบา น้ำตาที่เปื้อนแก้มไหลซึมลงบนเสื้อของเขา ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆ พลางนึกในใจ ถ้าหากเธอรักเขาบ้างสักนิดเขาจะเอาทั้งชีวิตคุ้มครองปกป้องเลยทีเดียว

“มินจะนึกถึงตรังถ้าเมื่อไหร่ที่มิน ไม่มีใคร”

“เราอยากเป็นคนสุดท้ายที่มินจะนึกถึง”

ก่อนการร่ำลา เมื่อเธอต้องไป รอยยิ้มเศร้าๆ ฉาบบนใบหน้า บ่งบอกให้รู้ว่าความเศร้ามิได้จางหายไปกับกาล ตรงข้าม มันกลับฝังลึกลงในใจเกินกว่าจะลบล้างไปได้ง่ายๆ ด้วยกาลเวลา

“แล้วมิน จะมา”

และเมื่อเธอไป หัวใจก็เงียบเหงา แม้จะคุ้นเคยกับความเหงา ยินดีและเต็มใจที่จะให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้วก็ตามทีในบางครั้งที่รู้สึกเศร้าก็ปวดร้าวใจเพราะความเหงาเข้ามาตอกย้ำซ้ำเติม

อยู่คนเดียว…
แหงนมองบนท้องฟ้า
ดวงดาวพราวแสงพร่างสว่างตา
ไฉนข้า นั่งเหงา เปล่าดาย

เจ็บปวดยิ่งนักกับความรักที่ถูกจำกัดเสรีภาพ ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม เขาถึงได้รักเธอมากมายปานนี้


***

โฟล์คสวาเก็นสีดำจอดสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นกระถินเหลือง ดอกสีเหลืองช้ำกลีบบางร่วงหล่นเกลื่อนพื้น สายลมโบยพัด ที่ร้านเหล้า เพลงเบาๆ ที่เล่นเคล้าความความเศร้าโศกในค่ำคืนแห่งความเดียวดาย มันเศร้าบาดลึก เหล้าฝรั่งชั้นดีที่วางตรงหน้าเหลืออยู่ค่อนขวด น้ำสีอำพันไหลผ่านลำคอเรื่อยๆ พร้อมสายน้ำตาที่ไหลย้อนกลับคืน ไม่มีน้ำตาให้ใครเห็น เพลงคันทรีเศร้าๆ ท่วงทำนองของแซกโซโฟน บาดลึกความรู้สึก เจ็บปวดนัก รักข้างเดียว มุมหนึ่งของร้านเหล้า ชายหนุ่มนั่งเหงา ลำพัง

“รับมาร์ตินี่ดราย สักหน่อยไหมคะ”
หญิงสาวนั่งลงตรงข้าม พลางยื่นแก้วคอกเทลให้ชายหนุ่ม

“ไม่ยักรู้ ศิลปินก็เหงาเป็น”
เขาเหน็บ

“เปล่า ไม่เคยเหงา เพราะความเหงาไม่ชอบเหยียบย่างมาทักทายคนกำลังมีความสุข”
หญิงสาวหัวเราะร่วน เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกระโปรงยีนส์ยาวกรอมเท้า สวมรองเท้าหนังหุ้มข้อคู่ใหญ่ นั่งไขว้ขาจิบคอกเทล

“นี่ฉันผสมเองนะ เฟรนช์เวอมุธ กับยิน มันนุ่มลิ้นดีจัง”

“น่าจะชื่อเมรัย มากกว่าเมริน”

“ตั้งใจจะเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน”
เธอพูดเนิบช้าแล้วลุกไปที่เคาน์เตอร์ผสมคอกเทลให้เขา เธอไม่ได้บริการอย่างนี้กับลูกค้าทุกคน หากไม่เพราะอยากจะทำ เจ้าของร้านอย่างเธอจะอยู่ที่หลังร้าน เขียนรูปเงียบๆ คนเดียว

“มาร์การิตา สูตรของที่นี่ใช้ว้อดก้ากับทริปเปิล แสค ผสมกับน้ำมะนาว เกลือ เขย่าในน้ำแข็ง ขอบปากแก้วทาด้วยมะนาวแล้วคว่ำแล้วกับเกลือ ลองดูนะ แล้วก็ติชมด้วย นี่เพิ่งลองทำเองเป็นครั้งแรก แก้วนี้ฟรี”
แล้วเธอก็นั่งเท้าคางมองชายหนุ่มตรงหน้า ‘จิบ’ คอกเทลที่เธอผสมมาให้

เมรินค่อนข้างจะ ‘รู้จัก’ ตรังดี เขาและเธอเป็นเพื่อนกันมานาน นานจนเธอเองก็ลืมไปแล้วว่ารู้จักกันได้อย่างไร ตรังเป็นคนดี นอกจากหน้าตาที่หล่อเหลา-เอาการแล้ว ตรังยังใจดี ใจเย็นและใจกว้าง ไม่ว่าใครที่ได้รู้จักกับตรัง น้อยคนนักที่จะไม่ชอบเขา รอยยิ้มจากแววตาเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ใครที่ได้ใกล้ ‘หลงรัก’ ได้อย่างไม่ยากเย็น

“มินตรา เป็นอย่างไรบ้าง”
เมรินถามไถ่

“ไม่รู้สิ”
น้ำเสียงของตรัง ยากหรอกที่จะเดาได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร ในคำพูดนั้น ไม่ใช่เบื่อหน่าย หากแต่เหมือนไม่มีความรู้สึกใดเลยต่างหาก เมรินมองตา ค้นหาบางอย่างในใจ

“ไม่รัก แล้วเหรอ”
เธอเว้นระยะก่อนเอ่ยวลีหลัง

“รัก แต่ไม่หวังที่จะครอบครอง”

“ยอมแพ้”
เธอยักไหล่พูดอย่างเหยียดๆ เมรินเคยลุ้นจนตัวโก่งเมื่อครั้งแรกที่ตรังพาสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มมาแนะนำให้รู้จัก มินตราน่ารัก มนุษยสัมพันธ์ดีและค่อนข้างจะ ‘เดียงสา’ ในสายตาของเมริน คราวนั้นเองที่เธอมองเห็นความรักในแววตาของตรัง เขาเอาใจใส่มินตรามาก เธอรู้ เขารักมินตรา โลกของตรังสดใสเมื่อมีมินตราอยู่ใกล้ๆ เขาปกป้องดูแลประหนึ่งเธอเป็นคริสตัลที่บอบบางแตกหักง่าย หลายครั้งหลายคราที่เขาพามินตรามาที่ร้านจนเคยคุ้น แต่แล้ววันหนึ่งมินตราก็มา กับใครอีกคน เธอบอกว่าคนรักของเธอ คราวนั้นเองที่เมรินฉุนเฉียว ขุ่นเคืองอย่างไม่มีเหตุผล

“นายมีดีทุกอย่างสำหรับความรัก แต่ชะตานาย อาภัพรัก”
เมรินยังนั่งเป็นเพื่อนคุย ค่อนคืน ร้านปิดแล้ว แต่ชายหนุ่มยังอยู่ และดูท่าทางว่าจะไม่ได้กลับเสียแล้วคืนนี้

ร้านเหล้าเล็กๆ ที่เมรินและน้องชายลงขันเปิดกิจการ จัดร้านแบบคันทรีตามสไตล์ศิลปินของเมริน กิจการเล็กๆ ลูกค้าประจำเป็นส่วนมาก สองพี่น้องพอใจและภาคภูมิใจเพราะทำด้วยใจชอบ

เช้าวันใหม่เมรินเปิดประตูห้องน้องชาย สองหนุ่มยังนอนขดตัวใต้ผ้าห่มบนเตียงกว้าง เมรินมองสำรวจวงหน้าเพื่อนชาย จมูกโด่งเป็นสัน ขนตายาวดำสนิท คิ้วเข้ม ขอบปากหยักได้รูป เธอรู้ แม้ตรังจะหน้าตาดี แต่คนที่รักตรัง ไม่ได้รักเพราะ ‘หลงรูป’ แน่นอน หญิงสาวแตะเบาๆที่ข้างแก้ม ชายหนุ่มลืมตาช้าๆ

“เช้าแล้วจ้ะขอโทษนะที่ต้องปลุก ไม่อยากให้สายไปทำงาน”
เขาเหลือบมองนาฬิกาข้างผนังก่อนผลุนผลันลุกจากที่นอน

“จุ๊ จุ๊ เบาหน่อยจ้ะ ศิภัฏเพิ่งนอน เมื่อเกือบสว่างนี่เอง”
ชายหนุ่มจึงได้ค่อยๆ เดินออกมานอกห้อง

“ไปนะ”
เขาพูดเพียงนั้นแล้วพาโฟล์คสวาเก็นสีดำเคลื่อนกายออกจากร่มเงาของต้นกระถินเหลือง

นับเดือนที่ชายหนุ่มอยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียว ไม่มีใคร ไม่รักใคร หากความคิดถึง ความห่วงใยและความรู้สึกดีๆ ยังมีให้มินตราเสมอ ตรังตวัดแปรงอ้อยอิ่งอย่างชำนาญ เขานั่งเขียนรูปท่ามกลางความเงียบงัน มีพระจันทร์และดาวเป็นเพื่อน

“สวัสดีตรัง ยังเขียนรูปนี้ไม่เสร็จอีกหรือ”
เสียงทักทายดังขึ้นทำลายความเงียบ ทุกครั้งที่มินตรามาหา เธอมักพกพาความเศร้าหม่นในใจมาระบายให้เขาฟังอยู่เสมอ และครั้งนี้เขาก็ยังรอฟังอย่างใจเย็น ความเงียบของมินตราทำให้เขาแปลกใจ จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นเสียเอง

“นานนท์ สบายดีหรือ”
เขาเลี่ยงถามถึงชายหนุ่มอีกคน

“ก็ดี แต่มินก็ยังเป็นชอยส์เหมือนเดิม”
เธอเว้นระยะก่อนเอ่ยอีกประโยค

“ความรัก มันทำให้มินยินยอมที่จะเป็นหนึ่งในหลายคนที่นนท์บอกว่าเป็นคนรัก”
นานนท์ยังเหมือนเดิม ใจหนึ่งเขารู้สึกแค้นเคืองกับความเจ้าชู้คบผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกันของนานนท์ อีกใจก็รู้สึกยอมรับกับความคิดที่ว่า ‘คนที่จะต้องร่วมทางกันไปจนตาย ต้องเลือกให้ดี’ ก็ในเมื่อผู้หญิงเลือกที่จะเป็นหนึ่งในหลาย-- จะโทษนานนท์ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก

“ไปร้านไหม”
ชายหนุ่มชวน อย่างน้อยก็อาจทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง

รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน
ความรักร้อยเล่ห์กล รักเอยลวงล่อใจคน
หลอกจนตายใจ…

เมรินร้องเพลงเองในบางครั้งที่นึกครึ้มอกครึ้มใจอยากร้องเพลง มีลูกค้าขี้เมาบางรายที่เข้าใจว่าเธอมิใช่เพียงแค่ร้องเพลงหากแต่มีลำไพ่พิเศษกับแขกก็มักจะถูกน้องชายเธอหิ้วปีกไปทิ้งไว้หน้าร้านประจำ ศิภัฏไม่ทำอะไรลูกค้ามากไปกว่าเดินตรงมาหาแล้วบอกกับลูกค้าขี้เมาว่า “นั่นพี่ผม” รูปร่างสูงใหญ่ หน้าดุ ของน้องชายบางครั้งก็ทำให้แขกหายเมาเป็นปลิดทิ้งเลยก็มี แล้วพอร้านปิด ชายหนุ่มก็มานั่งหัวร่องอหายกับผลงานของตัวเอง

“เก๊กน่าดูเหมือนแหละพี่ ยิ่งตาอ้วนตาหยีนั่นแทบจะกราบเท้าผมเลยเชียว แต่เจ้ายักษ์นั่นทีแรกผมก็หวั่นๆ เหมือนกันแต่พอผมทำหน้าดุๆ ก็เปิดแน่บไปเลย”
เขาอารมณ์ดีเสมอถ้าอยู่กับพี่สาว ญาติคนเดียวในโลกที่เขามีอยู่ เขารักและเป็นห่วงเท่าชีวิต

มินตราและตรังนั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน ทั้งสองนั่งฟังเพลงเงียบๆ นานๆ จะมีเสียงสนทนาสักทีหนึ่ง

“มินเคยลองไม่รักนนท์ ไม่ติดต่อ ไม่ไปหา ไม่พบหน้า ไม่ใส่ใจมินทำทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยให้ไม่รักนนท์ได้ แต่มินแพ้ แพ้ใจตัวเอง”
มินตราเว้นระยะประโยค

“ความรัก ทำให้คนเราทำอะไรได้หลายอย่าง แม้แต่อย่างที่ไม่เคยทำ” ชายหนุ่มยังเงียบและนิ่งฟังอย่างใจเย็น

“สิ่งที่เอาชนะได้ยากที่สุด คือใจตัวเอง”

“ตอนนี้ สิ่งที่มินทำได้คือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวลา คู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันหรอก แต่หากมิใช่ จะยึดยื้อถือครองไว้ก็ไร้ประโยชน์”

“น่าจะบวช”
ชายหนุ่มเย้าเมื่อเห็นท่าทางเพื่อนสาวเหมือนจะ “ปลง”

“ตรังล่ะก็.. ว่าแต่ตรังเถอะเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิต ความรัก”

“ว่าง”
ชายหนุ่มพูดสั้นแต่กินความหมายได้กว้างไกลยิ่งนัก ความรัก ตรังยังไม่รักใครเท่าตัวเองในเวลานี้ ความรู้สึกที่มีต่อมินตราคือห่วงใยและหวังดี เหมือนที่เคยมี เฉกเช่นเพื่อนมีต่อเพื่อน

“ตรังเป็นเพื่อนที่มินไว้ใจมากที่สุด”
มินตรายังยืนยันในมิตรภาพคำว่าเพื่อน เหมือนเดิม

เมรินเดินตรงมาที่สองหนุ่มสาว ปล่อยหน้าที่
บนเวทีดนตรีเป็นของน้องชาย

“มาแอบขอความรักสาวในเงามืด โรแมนติกเหลือหลาย”
เมรินหยอกเย้า

“แต่ก็ต้องเศร้าเพราะสาวเจ้าไม่มีใจเหลือเผื่อผู้ใดแล้ว”
ตรังยังย้อนอย่างไม่ถือความในคำพูดนั้น มินตราหัวเราะร่าเริงไม่ถือเป็นเรื่องต้องเคืองกัน

“เมร้องเพลงเพราะ”
มินตราชม

“แน่นอน ถึงไม่ยอมจ้างนักร้องหญิงไง”

“ไม่ถ่อมตัวสักนิดเลยนะ”
ตรังแทรกขึ้น

“ก็ความจริง เราจะปฏิเสธไปไยเล่า”
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในวงสนทนา มินตราสบายใจขึ้นเมื่อได้พบปะพูดคุยกับตรัง เธอรู้ แม้ความรู้สึกที่มีต่อตรังจะต่างกับที่มีต่อนานนท์ แต่บางอย่างที่ตรังให้ กลับไม่มีในนานนท์ ตรังเป็นเพื่อนเสมอ สำหรับมินตรา

มินตราไม่เคยอยู่นาน แม้ทุกครั้งที่มาจะมาพร้อมอาการ “หน้านิ่วคิ้วขมวด” แต่ทุกครั้งที่เธอกลับไป จะมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าเสมอ

“นายมันจอมอภินิหาร มินตราบาดเจ็บมาทีไรนายรักษาหายทุกที แต่แปลก ไม่ยักรักษาใจตัวเองหายสักที”
เมรินชอบใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบ พูดให้คิด บางทีกว่าจะรู้ความหมายก็ทำเอาคนฟังปวดหัวไปหลายวัน แต่บางทีก็พูดตรงเสียจนคนฟังแทบรับไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อใจได้ เมรินไม่เคยคิดร้ายกับใคร

“แล้วมินจะมา”
ก่อนกลับไป มินตราจะทิ้งประโยคนี้เอาไว้เสมอ

รักนี่ มีสุขทุกข์เคล้าไป
ใครหยั่งถึงเจ้าได้ คงไม่ช้ำฤดี…

………………………………………………………

รักเอย รักที่ปรารถนา รักมาประดับชีวี
หวั่นในฤทัยเหลือที่ เกรงรักลวงฤดี
รักแล้วขยี้ใจ…

คืนค่ำแห่งความเงียบ รอบข้างว่างเปล่า ไม่มีเสียงจากเครื่องเสียง จะมีก็เพียงเสียงแมลงกลางคืนที่แข่งขันกันแผดเสียง กรีดปีกจนบาดแก้วหู ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงทอแสงระยับวับวาวเช่นทุกค่ำคืน คงมีบ้างสักบางดวงดาวที่ร่วงหล่นหายไปจากผืนฟ้ามืดดำ แต่จะมีสักกี่คนที่ใส่ใจอย่างมากก็อธิษฐานกับดาวตก ขอโน่น-ขอนี่ แล้วก็ลืม-เลือนเมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านไป เวลา..ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เวลา..ทำให้ความคิดเปลี่ยน เวลา..ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน แม้แต่บางความรู้สึกที่คิดว่ามั่นคงที่สุดแล้วยังเปลี่ยนแปลงได้

ตรังนั่งเขียนรูป ท้องฟ้ามืดดำ ดวงดาวพราวแสง ชายหนุ่มบรรจงแต้มสีบรอนซ์เงินลงบนผืนผ้าใบที่ลงดำทั้งผืนอย่างใจเย็น ในขณะเวลาที่ใครหลายคนแสวงหา “เพื่อนร่วมทาง” ตรงข้ามที่เขากลับแสวงหาความโดดเดี่ยว ไม่ยินดียินร้ายกับใครต่อใครรอบข้าง เขามีความสุขกับการได้ทำอะไรต่อมิอะไรคนเดียว ลำพัง นาน-นานจะแวะเวียนไปที่ร้านฟังเพลง เพลงที่เมรินร้อง

หากจะรักแล้ว รักใครก็จงรักเถิด
ความรักบรรเจิด พริ้งเพริดนักหนา
ชีวิตคนเรานั้นสั้นเหลือคณา..
อย่ารอช้าปล่อยเวลาให้ผ่านไป…

ตรังนั่งดื่มคนเดียวอยู่มุมหนึ่งของร้าน เฝ้ามองเมรินบนเวทีดนตรี ผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง เสื้อลูกไม้สีขาวกับกระโปรงยีนส์ยาวกรอมเท้าที่สวมใส่ ลูกไม้บางบ่งบอกชัดว่าอ่อนหวาน หากแต่กระโปรงบลูยีนส์นั้นทำให้ต้องระงับความคิดเอาไว้ แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะสวยงามอย่างลงตัวแต่ยังแฝงด้วยความขัดแย้งอยู่ในที

บินไปเดียวดายกลางสายลมแปรปรวน เพียงทะเลครวญฟังคล้ายเป็นเพลงเศร้า ค่ำคืนนี้ฉันเพลีย ฉันเหนื่อยฉันหนาว และเหงาเหลือเกิน… ไม่เคยมีใครมีรักแท้จริงใจ จะมองทางใดดูเคว้งคว้างว่างเปล่า ฝ่าลมฝนลำพังมากี่
ร้อนหนาว จนล้าสิ้นแรง…

หลังจบเพลงเมรินลงมานั่งเป็นเพื่อน

“เมรินร้องเพลงนี้ได้ดี”
เขาชม

“มอบสำหรับคนไร้รัก”
ว่าแล้วก็กรอกเหล้าเข้าปากรวดเดียว เมรินนั่งมองหน้าตรังแล้วยิ้มเย็นๆ เงียบงันไม่พูดจา เธอเมา เขารู้… และมากกว่านั้นเขาก็รู้… เมรินรักเขา

เมรินฟุบหลับกับโต๊ะเพราะความเมา ตรังไม่เคยเห็นเมรินดื่มมากจนเมาหนักขนาดนี้สักครั้ง

“กลายเป็นเมรีขี้เมาเข้าจนได้”
ตรังพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวร่างบางเจ้าของนัยน์ตาคู่เศร้า เขารู้จักเธอมานานมากจนไว้วางใจได้ทุกอย่าง เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เขารู้ด้วยว่าเธอรักเขา แต่เธอก็รู้ว่าเขารักมินตรา เธอจึงเพียงอยู่ห่างๆ เสมอต้นเสมอปลายในความเป็นเพื่อน มองเห็นและรับรู้ความเป็นอยู่ ความเป็นไปอย่างเพื่อน

“เราจะไม่มีวันทำลายมิตรภาพที่งดงามของเพื่อนด้วยตัวเราเองหรอก เพื่อนกัน แม้จะเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ แต่เส้นขนาน ไม่มีวันแยกจากกัน”
คำพูดของเมรินที่ตรังจำได้ขึ้นใจ..เธอวางตัวเองไว้อย่างเพื่อน และมั่นคงในมิตรภาพนั้น

“ความรักเป็นเรื่องแปลก ผู้รักและผู้ถูกรักมักจะเป็นคนละคนกันเสมอ… แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะมีคนเคยพูดว่าให้รักคนที่เขารักเรา… บางทีเราคงต้องเชื่อในสิ่งนั้นแล้วกระมัง”

ตรังพูดเบาๆ กับหญิงสาวที่เมาฟุบอยู่ตรงหน้า เธออาจจะไม่รับรู้ถึงคำพูดของเขาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ แต่ตรังบอกกับตัวเองอย่างนั้น เขาควรจะปล่อยให้มินตราเข้มแข็งด้วยตัวเองโดยที่เขาเป็นเพียงคนที่อยู่ห่างๆ เท่านั้น และสิ่งที่เขาควรจะทำคือหันมาเอาใจใส่เมรินมากขึ้น… เพราะคนที่รักเขา คือเมริน.../



Create Date : 11 สิงหาคม 2549
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2553 13:53:35 น.
Counter : 1051 Pageviews.

6 comments
  
.......
โดย: ดาริกามณี วันที่: 11 สิงหาคม 2549 เวลา:9:04:46 น.
  
เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะ

ชอบชื่อพระเอกนางเอก
ตรัง กับ มิน
โดย: พุดน้ำบุศย์ IP: 58.10.234.61 วันที่: 11 สิงหาคม 2549 เวลา:11:40:15 น.
  
ความรัก ลึกลับ ซับซ้อน
มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา
แต่ยังน่าค้นหา น่าสัมผัส
แม้จะเป็นเพียงคนที่รักเขา
หรือคนที่เขารักก็ตาม
โดย: ~โบยบิน~ IP: 203.172.111.77 วันที่: 12 สิงหาคม 2549 เวลา:16:24:06 น.
  
รัก..เข้าใจ
โดย: พิม IP: 203.150.4.131 วันที่: 16 สิงหาคม 2549 เวลา:9:59:48 น.
  
เฮ้อ...ปัญหาโลกแตกชะมัด
รักคนที่เขารักเรา หรือ รักคนที่เรารัก
... สำหรับเรา ถ้าเลือกได้ เราคงเลือกอย่างหลัง
แต่ในความรัก มันคงจะมีมากกว่า "รัก"
โดย: sovo (http://kangalala.spaces.live.com) IP: 124.87.237.237 วันที่: 12 ธันวาคม 2549 เวลา:10:29:43 น.
  
อยากจะเข้มแข็งแบบตรังบ้างจัง
โดย: kant IP: 203.121.139.30 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:15:36:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ