Group Blog
All Blog
|
### ปฏิทินแห่งแรกของโลก ###
แต่ก่อนนี้เข้าใจกันว่ากรีซเป็นชาติแรกที่คิดค้นเรื่องของ ปฏิทิน ได้ ต่อเมื่อได้พบ ภาพแกะปฏิทินสลักบนผนัง แห่งวิหารแห่งเมืองคาร์นัค จึงได้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้วผู้ที่คิดค้น ได้คนแรกคือ บรรพชนชาวอียิปต์แต่โบราณกาลนั่นเอง เมื่อประดิษฐ์ตัวอักษร ประดิษฐ์แผ่นกระดาษ สำหรับเขียน มีสีหมึก และมีปากกาแล้ว การบันทึกความจำได้บนแผ่นกระดาษ จึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา และแพร่หลาย ไปทั่วทุกทวีป เช่นเดียวกับ ชาติโบราณอื่นๆ คือ นับทาง จันทรคติ โดยกำหนดเอา ข้างขึ้นคือ คืนที่พระจันทร์ส่งแสง เต็มดวงคืนแรก ไปบรรจบ กับคืนที่พระจันทร์ส่องแสงเต็มดวง ในคราวต่อไป ซึ่งก็ถือว่าเป็น หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งรอบ เพื่อใช้ในสัญญา ที่ชาวนายืมข้าวมากิน เช่น ขอยืมข้าวมาเป็นเวลา 9 เดือน เมื่อพระจันทร์ส่งแสงเต็มดวง แล้ว 8 ครั้ง ก็หมายความว่า มีเวลาเพียงพระจันทร์เต็มดวง อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือ 1 เดือน ก็จะต้องนำข้าวที่ยืมมานั้น ไปคืนเจ้าของ แต่จากการที่นับเดือน ทางจันทรคตินี้ ในเดือนหนึ่งๆ ที่จะถึงพระจันทร์เต็มดวงนี้ มีไม่เท่ากัน บางเดือนก็มี 29 วันบ้าง 30 วันบ้าง ไม่แน่นอน ทำให้จำนวนวัน ในปีหนึ่งๆ ไม่เท่าเทียมกันชาวอียิปต์โบราณ คงปวดหัวและงง ๆ อยู่กับปรากฏการณ์ ธรรมชาติเช่นนี้ แต่ความช่างคิดช่างค้น อย่างชาวอียิปต์โบราณ จึงได้จัดทำปฏิทินขึ้น มาใหม่เสีย โดยเริ่มจากหลักการที่ว่า ให้ 1 ปีมี 12 เดือน ให้ 1 เดือนมี 30 วันเท่ากันหมด ให้ 1 ปีมี 360 วัน ครบ 1 ปีแล้วก็ให้เพิ่มอีก 5 วัน รวมเป็น 365 วัน ....สภาพชีวิตของคนโบราณต้อง ทำมาหาเลี้ยงชีพ เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเอง แบบไม่ได้หยุดได้หย่อนเอาเสียเลย กษัตริย์อียิปต์โบราณ กษัตริย์อียิปต์ จึงกำหนดให้ 5 วันสุดท้ายของปีนั้น เป็นวันหยุดพักผ่อน ประจำปีของประชาชน ให้ทุกคนได้เฉลิมฉลอง และสนุกสนาน หลังจากที่ทำงานมาเหนื่อยทั้งปี แล้วจะได้เริ่มต้นปีใหม่ ทำงานตัวเป็นเกลียว เพื่อองค์กษัตริย์อีกต่อไป คือผู้ที่คิดค้น ปฏิทินของโลก นับถึง พ.ศ. 2547 ก็ตก 6,255 ปี ที่โลกได้นำเอาปฏิทิน ของชาวอียิปต์มาใช้ เป็นของชาวโลก และในกาลต่อมา เมื่อชาวยุโรปรุ่นหลัง ๆ ได้รู้จักวิชาดาราศาสตร์มากขึ้น จึงได้พัฒนา และดัดแปลงจำนวนวัน ในแต่ละเดือนให้มี 30 วันบ้าง 31 วันบ้าง และเดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันบ้าง 29 วันบ้างตามเหตุผล ทางอธิกมาส เช่นที่พวกเราคุ้นเคยในทุกวันนี้ เมื่อประมาณ 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นปฏิทิน แบบสุริยคติ โดยชาวโรมัน ประยุกต์มาจากปฏิทินของอารยธรรมอื่น อีกทีหนึ่ง กษัตริย์โรมันในยุคแรก กำหนดให้ปฏิทินมี 10 เดือน สันนิษฐานว่าอิง ตามเลขฐาน 10 โดยให้เดือน March เป็น เดือน 1 ทั้งนี้ เพราะชาวโรมัน ให้ความเคารพ Mars เทพเจ้าแห่งสงคราม มากเป็นพิเศษ และในแต่ละเดือน จะมี 30 หรือ 31 วัน สลับกันไป อาจเกี่ยวข้องกับ ปฏิทินจันทรคติ เรื่อยไปจนถึงเดือนสุดท้าย คือเดือน December รวมแล้วมีทั้งหมด 304 วัน ฤดูกาลเริ่มไม่ตรง ตามปฏิทิน จนในสมัยกษัตริย์ Numa Pompilius เมื่อ 700 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กำหนดให้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 2 เดือน คือเดือน January และ February รวมแล้วมีทั้งสิ้น 355 วัน ปรับเปลี่ยนวัน ในแต่ละเดือนเสียใหม่ ให้เดือน มี.ค. มี 31 วัน เดือนต่อๆ ไปมี 30 และ 31 วัน สลับกันเรื่อยๆ จนถึงเดือนสุดท้ายคือ ก.พ. ให้มี 29 วัน รวมเป็น 365 วัน แต่ถ้าปีไหน เป็นปีอธิกสุรทิน ซึ่งมี 366 วัน ให้เดือน ก.พ. มี 30 วัน พร้อมทั้งเปลี่ยน ให้เดือน ม.ค. ซึ่งตั้งชื่อเดือนตามเทพเจ้า Janus ผู้มีสองพักตร์ และมีหน้าที่ เฝ้าประตูสวรรค์ ให้เป็นเดือนแรก ของปี และเรียกปฏิทินนี้ว่า "ปฏิทินจูเลียน" หรือ Julian calendar รวมถึงเปลี่ยนชื่อเดือนที่ 5 เดือน ก.ค. เมื่อนับเดือน มี.ค. เป็นเดือน 1 จาก Quintilis เป็น July ตามชื่อของ Julius Caesar ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ของ Julius Caesar ต้องการให้มีชื่อตัวเอง ในปฏิทินเหมือน ผู้เป็นบิดาบุญธรรม จึงเปลี่ยนชื่อเดือนที่ 6 ส.ค. เมื่อนับเดือน มี.ค. เป็นเดือน 1 จาก Sextilis เป็น August และเพิ่มวันให้มี 31 วัน เท่ากับเดือน ของพ่อด้วย โดยไปลดเดือน ก.พ. ให้เหลือ 28 วัน ในปีปกติ และเหลือ 29 วันในปีอธิกสุรทิน และนี่คือที่มาของปฏิทิน ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยได้มีการเพิ่มเติม รายละเอียดต่างๆ ในสมัยต่อมา แต่ได้มีการชำระปฏิทิน ในสมัยพระสันตปาปา Gregory XIII เมื่อประมาณปี 1582 เนื่องจากวัน ในปฏิทินเริ่มเกินไป จากความเป็นจริง และเรียกว่า "ปฏิทินจูเลียน-เกรกอเรียน" ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ เข้ามาใช้ อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2431 โดยนำมาปรับใช้ร่วม กับปฏิทินจันทรคติ ที่ใช้กันมาแต่เดิม ซึ่งได้รับอิทธิพลมา จากศาสนาของอินเดีย ในการใช้ดวงจันทร์ เป็นเครื่องกำหนดเวลา และประกอบพิธีทางศาสนา และประเพณีต่างๆ โดยยึดเอาวันมหาสงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 หรือประมาณช่วงกลางเดือน เม.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้อง กับปฏิทินสุริยคติ ที่เริ่มนำมาใช้กัน และต่อมาจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนให้วันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ 1 ม.ค. ตามแบบสากล โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. พ.ศ.2484 เป็นต้นมา มีขึ้นเมื่อวันที่ 14 ม.ค. พ.ศ. 2385 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้พิมพ์ แต่คาดว่าน่า จะเป็นหมอบรัดเลย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ โดยมีกลุ่มดาวจักรราศี เป็นตัวช่วยในการกำหนดนับ ซึ่งเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ ปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวใด ก็จะรู้ได้ว่าเดือนนั้น เป็นเดือนอะไร และดวงอาทิตย์ จะกลับมาปรากฏที่ตรงตำแหน่งเดิม บนท้องฟ้าทุกๆ 1 ปี และจากการที่ดวงอาทิตย์ ให้พลังงานแก่โลก และแกนสมมติ ของโลก เอียงทำมุม กับดวงอาทิตย์ ทำให้ภูมิอากาศ ในแต่ละเดือนแตกต่างกัน จึงเกิดเป็นฤดูกาลต่างๆ โดยเทียบเคียง กับกลุ่มดาวจักรราศีเช่นกัน แม้จะบอกฤดูกาล ได้ไม่ตรง แต่มีความเกี่ยวเนื่อง กับการประกอบประเพณี และพิธีทางศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่อินเดีย สมัยโบราณ จึงใช้ปฏิทินจันทรคติเพื่อบ่งบอก เทศกาลและวันสำคัญต่างๆ เช่น วันสำคัญทางศาสนา วันลอยกระทง ... ปฏิทินโปสเตอร์ ปฏิทินพก และปฏิทินสมุดบันทึก ซึ่งปฏิทินไม่ใช่เพียง แค่เครื่องมือ บอกวันเดือนปี แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อ ที่บอกเล่าเรื่องราว ได้อย่างหลากหลาย ให้ผู้คนในสังคม ได้รับรู้ รวมทั้งสะท้อนให้เห็น วิวัฒนาการ และความเป็นไปของสังคม ในยุคสมัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และอาจบอกได้ว่า ปฏิทิน คือสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา ### วันพ่อแห่งชาติ ###
### คำราชาศัพท์ที่เราใช้ในการโพสต์,ถวายพระพร ###
คำราชาศัพท์ที่เรามักใช้ในการโพสต์,ถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาท ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 1."ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ" เป็นคำลงท้ายที่ใช้แก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้พึงสังเกตทุกครั้งที่เขียนคำนี้ หลัง "ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม" เพราะเป็นคำสองคำมาใช้รวมกัน เห็นมีสื่อและหน่วยงานต่างๆ กล่าวคือ ต้องพูดหรือเขียนว่า...ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ... ซึ่งแปลเข้าใจง่ายๆ ว่า "ขอเดชะ" แปลว่า ขอบุญญาบารมีจากเจ้านาย "ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม" แปลว่า คุ้มหัวเรา... (เจ้านาย-เป็นคำโบราณเมื่ออ้างถึงพระบรมวงศานุวงศ์) การใช้คำ "ขอเดชะ" ที่เรามักใช้ผิดกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ ซึ่งผมและเพื่อนๆจะใช้คำว่า จะเห็นได้ว่าไม่มีคำ ขอเดชะ ต่อท้าย จะไม่มีถ้อยคำถวายพระพรหรือทรงพระเจริญ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 2."ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา" เห็นหน่วยงานใหญ่บางแห่ง ขึ้นคัตเอาท์ขนาดใหญ่เขียน ที่ถูกต้องเป็น ท-ทหาร (ทีฆ ทีฆา = ยาว) "ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา" จึงจะถูกตามราชบัณฑิตยสถานกำหนด เพราะสองคำนี้่ ความหมายเหมือนกัน ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 3.คำว่า "อายุ" สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใช้ คำว่า พระชนมพรรษา (พฺระ-ชน-มะ- พัน-สา) แปลว่า สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น ในปีพุทธศักราช 2555 รวมไปถึงคำถวายพระพรชัยมงคล "ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน" (คำว่า "พระชนมายุ" ณ ปัจจุบัน ใช้แทนคำว่า "อายุ" และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) และพึงจำว่า หลังพรรษา ไม่ต้องมีคำว่า "ครบ" ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 4.ต้องใช้ "เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา.. มีคนจำนวนมากกล่าวถึงการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาว่า เพราะคำว่า "วโรกาส" มีธรรมเนียมการใช้เฉพาะเมื่อ "ขอโอกาส" กล่าวคือ หากจะขอโอกาสพระมหากษัตริย์ ใช้ราชาศัพท์ว่า เมื่อขอโอกาสสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้โอกาส เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ดังนั้น ในกรณีอื่นๆ นอกจากการ "ขอโอกาส" ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 5.ควรใช้ "ถวายพระพร" หรือ "ถวายชัยมงคล" มีผู้รู้บอกว่า "ถวายพระพร" เป็นคำที่พระสงฆ์ใช้ ท่านจึงแนะนำให้ใช้ว่า "ถวายชัยมงคล" ปัจจุบัน อนุโลมให้ใช้เพื่อกล่าวโดยรวม มีทั้งพระและสามัญชน จึงให้ใช้คำว่า "ถวายพระพรชัยมงคล" ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ 6.ระหว่าง "ราชัน" กับ "ราชันย์" ต้องใช้คำไหน สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องเขียนว่า "ราชัน" ทั้งนี้ ควรทราบว่า "ราชัน" แปลว่า พระราชา ส่วน ราชันย์ หากเติม ย์ จะแปลว่า เพราะหากเราใช้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคำว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะหากมี นั่นแสดงว่าเรากำลังจะหมายถึง แต่สำนักพระราชวังได้ชี้แจงว่า ณ ปัจจุบัน และมีพระราชนามใด ตลอดจนหมายถึงพระองค์ใด เครดิต หงส์แดง พิทักษ์จักรีวงศ์ เทิดทูนองค์ภูมินทร์ ขอขอบคุณ fb ราชบัลลังค์และจักรีวงศ์ ที่นำมาเผยแพร่ ### ประวัติความเป็นมาของธงชาติไทย ###
ประวัติ ความเป็นมา ของธงชาติไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะทรงเห็นความลำบากของราษฎร และบางครั้งเมื่อเกิดความสะเพร่าติดธงผิด หากเปลี่ยนเป็นธงแถบสี ราษฎรก็สามารถทำธงใช้เองได้ ได้ทรงพยายามเลือกสีที่มีความหมายทางความสามัคคี ภายหลังจึงตกลงพระทัยใช้สีน้ำเงินแก่เพิ่มขึ้นอีกสีหนึ่ง วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2460 ว่า มีความโดยย่อว่า เพื่อนชาวต่างประเทศของผู้เขียน (อะแคว์ริส) ผู้เขียนก็มีความคิดเห็นคล้อยตามเช่นนั้น ซึ่งเป็นสีส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้าเปลี่ยนตามนี้แล้ว ธงชาติไทยก็จะประกอบด้วยสีแดง ขาว น้ำเงิน มีสีเหมือนกับธงสามสีของฝรั่งเศส ธงยูเนียนแจ็คของอังกฤษ ประเทศพันธมิตรทั้งสามคงเพิ่มความพอใจประเทศไทยยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เมื่อทรงทดลองวาดภาพธงสามสีลงในบันทึก ต่อมาเมื่อเจ้าพระยารามราฆพ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ รับสั่งว่าถ้าเปลี่ยนในขณะนั้นจะได้เป็นอนุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะเสนาบดีเพื่อฟังความเห็น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกว่า พระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช 2460 มีผลบังคับภายหลังวันออกประกาศ มีแถบสีขาวกว้าง 1 ใน 6 ของความกว้างของธงข้างละแถบ แล้วมีแถบแดงกว้างเท่ากับแถบขาวประกอบข้างนอกอีกข้างละแถบ และพระราชทานนามว่า ธงไตรรงค์ ความหมายของสีไตรรงค์ คือ สีแดง หมายถึง ชาติและความสามัคคีของคนในชาติ สีขาว หมายถึง ศาสนาซึ่งเป็นเครื่องอบรมสั่งสอนจิตใจให้บริสุทธิ์ สีน้ำเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศ ที่มาของภาพ ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย(ธงไตรรงค์) thaiflag.org ที่มาของเรื่อง ขอขอบคุณ fb ราชบัลลังค์และจักรีวงศ์ ### ความเป็นมาของวันลอยกระทง ###
วันนี้วันลอยกระทง มาทำความรู้จัก ประเพณีลอยกระทง วันลอยกระทง จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทิน สุริยคติ อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขึ้นเต็มฝั่ง เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำ ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่า เริ่มตั้งแต่เมื่อใด และมีหลักฐาน จากศิลาจารึกหลักที่ 1 ในสมัยก่อนนั้น พิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม พิธีลอยกระทง เป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนา เข้าไปเกี่ยวข้อง ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง ประเพณีลอยกระทง สืบต่อกันเรื่อยมา พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนขุนนาง นิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ ทำเรือลอยประทีปถวาย ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันการลอยพระประทีป ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่ 1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณ ของแม่น้ำ 2.เพื่อเป็นการสักการะ รอยพระพุทธบาท นัมมทานที และได้ทรงประทับ รอยพระบาทไว้บน หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที 3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทง และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง 4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือ ให้ความเคารพ โดยมีตำนานเล่าว่า พระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่ง 5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียม ของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา 6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทง 7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผู้เข้าร่วม ได้เกิดความคิดแปลกใหม่ บทความนี้เป็นของคุณ Siriwanna Jill จาก fb ขอบคุณภาพสวยๆจาก Google และขอบคุณเจ้าของภาพทุกท่านด้วยค่ะ |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |