Group Blog
All Blog
### ไขข้อข้องใจเรื่องคลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว หลังถูกหลอกมานาน ###














วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจ
และหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว
หลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า
ความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง
และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป

---------------------------------------------------------------------------------------------------
Supong Chan
22 hrs ·
□□□□□□□

คำสารภาพของวงการการแพทย์ระดับโลก

ว่าด้วยข้อเท็จจริงของเรื่องโทษไขมันอิ่มตัว กับโรคต่าง ๆ

ซึ่งเป็นการเผยแพร่ที่ดังระดับโลกในปัจจุบันอีกรอบก็ว่าได้

เป็นการพลิกวงการแพทย์แผนปัจจุบันเลยทีเดียว

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยาน

และแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก

 นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker ,

 Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ

ที่ได้เป็นแถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริง

ที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก

 Main stream Medicine

 จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆ

ตลอดมากว่า 60 ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้า

ทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa ,

AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า 25 ปี

เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000 ราย

ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจ (bypass) มาหลายหมื่นเส้น

 ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่า

ท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย

นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

"โรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก

 คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว"เป็นความเชื่อที่ผิด

“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)

ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุด

เพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า

ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผม

เกี่ยวกับสาเหตุตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจ

ที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง

วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที

 ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย

 สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้

เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตุโรคหัวใจและหลอดเลือด

และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่า

สาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก

 คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว

ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผม

จึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอล

ร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว

แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมา

ได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์

 ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหาก

ที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน

โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ

 เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆ กันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ ดังกล่าว

 มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมา

เดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการ

ที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน

 เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค

 สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจ

อย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว

นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆ ที่มีประชากร (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)

ประมาณ 25% ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ

และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free

มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย

แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิต

อันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปีนี้มากที่สุด

ในประวัติศาสตร์

ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า

มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน

มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 20 ล้านคน

มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes) กว่า 57 ล้านคน

 ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า

อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายุน้อยลงๆ

 (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก) มีคำถามตัวโตๆ ว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆ สั้นๆ ที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย

 ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้

หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่น

ไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี

 การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์

เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร

มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือ

กับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย

 เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตาม

ขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รุกรานที่เกิดจากพิษร้ายในอาหารการกิน

ที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้

จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)

การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

น้ำมัน แป้งขัดขาว น้ำตาล มหาภัยตัวจริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุด

ก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats)

 ที่อยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำมันถั่วเหลือง

 น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ

และน้ำตาลสูงๆ ในแป้งขัดขาว

และอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง

 ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม

 ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน

 เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบ

เหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้น

ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆ

 โดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่ง

แล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆ บริเวณท้องแขน

ถูไปมาจนค่อยๆ แดง เลือดซิบๆ

นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกัน

คือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆ เข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่อง

เลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆ ไปขัดถู

แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาล

ให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า

 (ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาล

ลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัว

และปริมาณเลือดในร่างกาย)

ทันทีที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า

 ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือด

ไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน

แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว

 อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป

 น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัว

กับโปรตีนหลายๆ ชนิดในเลือด

กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ

การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆ มื้อ

จึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอก

ครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า

ผมอยากจะย้ำๆ กับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5,000 คน

 ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น

ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผม

ว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็น

หลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบบางจนช้ำ

 จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหล

แต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆ มื้อ

หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆ

ขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี

เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด

น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ

โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั้น

มีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิด

ผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป

เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม

ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3

 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3:1 แต่ผลจากการที่วงการแพทย์หลงผิด

และเผยแพร่ความเชื่อว่า

สาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก

คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว

จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่า

เป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6

บางชนิดก็โหมกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก

 เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือน

ต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิม

กลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลาย

โดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี

ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง

 เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต์ฟู๊ดทั้งหลาย

ล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง

เช่นมันฝรั่งทอดกรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช

 (โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้

เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ?

ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัว

ทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์

โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย

แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพท์ที่ว่า” "ผ่านกรรมวิธี” เลย

ว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง

ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ

 ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากร

ขาดความสมดุลอย่างรุนแรง

สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3

กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1

 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรง

และปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมา

ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน

ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก

 ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด

 หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้น

จนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ

หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน

 อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่า

ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อ

ปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆ

จากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา

ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ

มีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 7,280 mg

น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6

สูงถึง 6,940 mg

ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติ

ซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6 ไม่เกิน 20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือ

กลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป

 ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย

 ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี

(ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆ จึงไม่เหม็นหืน?)

ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน




ขอบคุณที่มา fb. Jeed Jeed








Create Date : 03 กันยายน 2557
Last Update : 3 กันยายน 2557 13:18:47 น.
Counter : 1156 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ