The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
มิตยากับวานยา แล้วก็เทตสึกะ โอซามุ กับฟูจิโอะ ฟูจิโกะ (F.)

ที่จริงสองคู่ข้างบนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกันหรอก แต่แบบว่าคิดถึงขึ้นมาไล่ ๆ กัน ก็เลยเอามาหมกไว้รวมกัน มิตยากับวานยา ก็คือ ดมิทรี คารามาซอฟ และอีวาน คารามาซอฟ (เรื่องพี่น้องคารามาซอฟ ของดอสโตเยฟสกี้) เทตซึกะ โอซามุเป็นคนเขียนแบล็คแจ็ค เจ้าหนูอะตอม ฮิโนะโทริ และอื่น ๆ ฟูจิโอะ ฟูจิโกะเป็นคนเขียนโดราเอมอนและอื่น ๆ

...

ที่จริงควรจะเขียนถึงมิตยากับวานยา หลังจากที่อ่านจบใหม่ ๆ จะได้ยังสดอยู่ แต่ว่าก็ไม่ได้เขียนมาตลอด ถึงแม้จะยังนึกถึงอยู่เป็นระยะ ๆ ก็ไม่ได้เขียนอยู่ดี

ดูเหมือนในความตั้งใจของคนเขียน พี่น้องคารามาซอฟสามคน มิตยาเป็นตัวแทนของ...ว่าไงดีอะ ความโลกย์ ๆ ทั้งหลาย ความมัวเมาและความไร้เดียงสาของกายเนื้อ ประมาณนั้น อีวานเป็นตัวแทนของสติปัญญา ส่วนอโลชา น้องคนที่สาม เป็นตัวแทนของภาวะเหนือจากกายและปัญญา เป็นภาวะทางจิตวิญญาณ (transcendence สะกดถูกไหมเนี่ย)

แต่ที่จริงแล้ว จขบ.คิดว่าถ้าดอสโตเยฟสกี้ไม่ตายก่อน ทั้งสามคนคงไปถึงจุดเดียวกันได้สำเร็จ เพราะมันมีฮินท์มาทางนั้นอยู่แล้ว ว่าอีกอย่างคือดอสโตเยฟสกี้ไม่ได้เขียนเรื่องในระดับที่เห็นด้วยตา ซึ่งพอพูดแล้วก็พูดยาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายอย่างไรดี แต่เอาเป็นว่าดอสโตเยฟสกี้เขียนเรื่องในระดับเดียวกับเฮสเส และนักเขียนคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่เขียนในระดับ "ที่เกิดในใจ" มากกว่าในระดับที่เห็นด้วยตา อนึ่งจะอธิบายว่าสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร ดูเหมือนจะเป็นเรื่องพ้นวิสัยของ จขบ. แต่บางครั้งเรื่องที่เขียนระดับเกิดในใจ จะให้ความรู้สึกคล้ายความฝัน หรือบางครั้งก็รู้สึกเต็มตื้นในใจ หรือเหมือนกับว่าไปเร้าอารมณ์อะไรอีกอย่างหนึ่งในตัว ควบคู่ไปกับการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และบางครั้งเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกก็จะมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องที่เกิด "ในใจ" เสียอีก เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่จะมีแต่นักเขียนแปลก ๆ ถึงเขียนกัน เรามีความเชื่อว่าเรื่องที่กระตุ้นเร้าอารมณ์ โดยที่คนเขียนอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เช่น เรื่องตบจูบซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรในสากลจักรวาลเลย แต่คนอ่าน (บางคน) อ่านแล้วทำไมอินก็ไม่รู้ ที่จริงแล้วมันไปตอบสนองสิ่งที่อยู่ในใจ ดังนั้นความจริงจึงแล็คไปแต่คนอ่านก็อินอยู่ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช้ได้กับเรื่องอื่น ๆ ที่อาศัยใจเข้าว่าไม่ต้องมีเหตุผลด้วย แต่ถ้าพูดอย่างนี้ก็จะกลายเป็นว่าความจริงไม่สำคัญหรือ จขบ.ก็ว่าไม่ใช่ เพียงแต่พยายามอธิบายว่าการเขียนของเฮสเสหรือดอสโตเยฟสกี้เป็นอย่างไร และไม่ได้หมายความว่าเขียนอย่างนี้แล้วจะดีกว่าเขียนแบบอื่น เขียนแบบไหนก็ดีทั้งนั้น เหมือนที่ จขบ.พยายามจะบอกต่อไป (ถ้าสำเร็จ) ว่ามิตยาก็เป็นคนดี อีวานก็เป็นคนดี ส่วนอโลชายังไงมันก็ดีอยู่แล้ว

ที่จริงแล้ว ดอสโตเยฟสกี้นั้นไม่ได้เป็น "ที่เกิดในใจ" เต็มร้อย เรียกว่ากึ่งนอกกึ่งใน ถ้าเป็นเฮสเสจึงเกิดในใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่จริงแล้ว พวกกลอนของคาลิล ยิบรานก็เกิดในใจเต็มร้อยเหมือนกัน คือมันเข้าใจว่ะ แต่ถ้าให้เขียนออกมาว่าเข้าใจอะไร จะต้องเขียนยาวเป็นหน้า ๆ และไม่สามารถกินความที่คาลิล ยิบรานพูดออกมาแค่ไม่กี่คำได้ด้วย นี่เป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของกลอน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเขียนได้ด้วย

###

เรื่องมิตยากับอีวาน (ในเล่มไม่ได้เรียกว่า วานยา ซึ่งเป็นชื่อเล่น เพราะอีวานมันไม่น่ารัก ไม่สมควรถูกเรียกว่าวานยา) เป็นเรื่องที่ทำให้คิดได้เื่รื่อย ๆ เพราะมันมีอะไรให้คิดได้เรื่อย ๆ รู้สึกทึ่งกับดอสโตเยฟสกี้ที่ำพรีเซนต์ด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ผ่านตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจน แต่ที่นี้จะว่าเขาเขียนเรื่องเรียลลิสติกก็ไม่ถูก และสงสัยเหมือนกันว่าดอสโตเยฟสกี้จะคิดอย่างนั้นตอนที่เขียนหรือเปล่า อย่างเช่นตอนแรกที่เขียนอาจจะคิดอะไรอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเขียนไปแล้ว เรื่องมันกลับขึ้นไปในระดับที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดไว้ อย่างเช่นตัวมิตยานั้น เมื่อตอนเปิดเรื่องมาใหม่ ๆ รู้สึกเหมือนคนเขียนค่อนข้าง disdain มัน แต่ยิ่งไปยิ่งไป มิตยาก็ยิ่งน่ารักขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก (เหมือนเคยเขียนอะไรทำนองนี้แล้วครั้งหนึ่ง) คือมันน่ารักขึ้นโดยธรรมชาติ ที่เป็นอย่างนี้เพราะมิตยาเป็นภาคโลกย์ และสุดท้ายแล้ว ภาคโลกย์ก็คือการกระทำอย่างเด็ก ๆ มิตยาเป็นคนที่ตามใจกิเลสตัณหาของตัวเอง คือจะเรียกว่าตามใจก็ไม่ถูก ควรจะพูดว่าห้ามไม่ได้ แต่เวลาที่เสียใจก็เสียใจจริง ๆ รู้สึกผิดจริง ๆ มิตยาไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนดี ไม่ได้ใจดีเป็นพิเศษ แต่เป็นคนที่บริสุทธิ์และจริงใจ เพราะอย่างนั้นถึงแม้จะทำความถ่อยหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเกลียด กลับรู้สึกว่าน่ารักและน่าสงสาร แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทำให้เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่มิตยาทำ บางทีอาจจะเป็นอะไรที่เหมือนกับว่า ...เห็นเด็ก ๆ ทำผิด เด็กก็ทำผิดได้ แล้วยังไงล่ะ อะไรทำนองนั้น

บางทีอาจจะเพราะว่าเป็นภาคที่โลกย์มาก ๆ จึงโดนมากกว่าคนอื่น (ในเชิงกายภาพ) กลายเป็นแพะรับบาป ถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อของตัวเอง ที่จริงแล้ว ในเรื่องก็พูดบ่อย ๆ ว่ามิตยาเหมือนพ่อมากที่สุด และพ่อของสามคนนี้ก็เป็นมนุษย์โลกย์ ๆ เหมือนมิตยาจริง ๆ เพียงแต่ในขณะที่มิตยานั้นถึงจะหยาบเถื่อนไม่รู้จักหักห้ามใจ ก็ยังบริสุทธิ์และจริงใจ แต่ตาพ่อนอกจากหยาบแล้วยังไม่จริงใจด้วย เหมือนความชั่วน่าทุเรศที่สุดของมนุษย์มากองสุมอยู่บนตัว ให้ความรู้สึกสกปรกน่าสะอิดสะเอียนตลอดเวลาที่อ่าน แต่ก็น่าสงสารด้วย แต่แน่นอนว่าทั้งเรื่องนี้คนที่สงสารมีแต่อโลชา มิตยาหรืออีวานก็เกลียดพ่อทั้งนั้น

อีวานเป็นอีกแบบหนึ่งจากมิตยา อีวานเป็นปัญญาชน เป็นคนคิดมากและละเอียดอ่อน แต่เมื่อคิดไปถึงขั้นหนึ่งแล้ว ก็ติด ที่เรียกว่าติดนั้นหมายความว่า อีวานไม่เห็นแก่นสารสาระอะไรในโลกอีก เห็นอย่างชัดเจนว่าคนเราเต้นไปตามเพลง ไปตามกรอบที่ไม่มีอยู่จริง อีวานเห็นชัดว่าที่จริงแล้วอะไร ๆ ก็ไม่มีความหมาย ที่ความดีหรือความชั่วดำรงอยู่ ก็เพียงเพื่อให้สังคมอยู่ได้เท่านั้น และที่อีวานยอมตามกฎนี้ก็เพราะไม่ใช่เพราะว่าเขาเชื่อ แต่เป็นเพราะเขาคิดว่าถ้าทำตามแล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ที่จริงแล้ว อีวานเป็นคนอ่อนโยน (หรืออย่างน้อยถ้าแหวกหนามยี่สิบชั้นที่พี่แกเอาห่อตัวเข้าไปได้) เป็นคนแบบที่ไม่สามารถเข้าใจว่า โลกนี้ปล่อยให้เด็กถูกทำร้ายตายได้ยังไง มีโลกแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง และถ้ามีโลกอย่างนี้แล้ว ยังจะพูดว่าความดีและความชั่วเป็นจริงได้อย่างไร อีวานไม่เชื่อในศาสนาเพราะศาสนาไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ แต่ถึงอย่างนั้น อีวานก็ยังสนใจศาสนา เพราะว่าที่จริงพี่แกก็พยายามแสวงหาสิ่งที่จะเป็นคำตอบ แม้ว่าตอนนี้จะขมขื่นกับโลกตรงหน้ามากจนไม่อยากจะเชื่ออะไรแล้วก็ตาม

อีวานไม่ชอบมิตยา ไม่ไว้ใจอโลชา เป็นสติปัญญาที่หลักแหลมจนกระทั่งไม่ไว้วางใจใครเลย เป็นคนฉลาดหยิ่งทรนงที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินทองของใคร ไม่เหมือนอโลชาซึ่งไม่ใส่ใจในเรื่องศักดิ์ศรีหยุมหยิม และเป็นอิสระจากการคิดว่าตัวต้องติดหนี้หรือไม่ติดหนี้ใคร อโลชาทำดีกับทุกคนด้วยความรู้สึกเบาสบาย แต่อีวานเกร็ง ไม่ไว้ใจ และ aloof คือทำตัวเหมือนตัวเองอยู่เหนือคนอื่นเพื่อป้องกันตัวเอง savage and austere ที่จริงแล้ว จขบ.ว่าตัวเองมีอะไรหลายอย่างเหมือนอีตาอีวาน เพราะอย่างนั้นเลยอาจจะอินกับพี่แกเป็นพิเศษกระมัง

ที่จริง จขบ.ไม่เข้าใจฉากอันลือลั่นฉากหนึ่งในเรื่อง คือฉากอีวานคุยกับปีศาจเลย คิดว่าสักวันอาจจะเข้าใจ แต่เรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวอีวานและความเป็นอีวานนั้นโคตรเข้าใจอย่างยิ่ง (ที่จริงมิตยาก็เข้าใจดีพอสมควร แต่มิตยาอธิบายเป็นคำยากกว่าอีวาน) เข้าใจเป็นอย่างดีว่าที่จริงอีวานอ่อนไหวขนาดไหน และสามารถมีความรู้สึกผิดได้รุนแรงขนาดไหน อีวานปิดตัวเองอยู่ในตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่กับความคิดและทฤษฎีจนกระทั่งละเลยโลกแห่งความจริง ในขณะที่ตัวอีวาน "เข้าใจ" ว่าโลกนี้ก็แค่อยู่ภายใต้กฎเพื่อให้มันคงอยู่ได้ ไม่มีดีและชั่ว แต่เมื่ออีวานเองได้เห็นผลจากความคิดของตัวเอง ซึ่งไปขยายให้คนอื่นฟัง และคนอื่นเขาเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ จนทำเลวให้เห็นแก่ตาจริง ๆ อีวานถึงได้เข้าใจว่าตัวเองไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงได้เข้าใจ (หรือไม่เข้าใจ) ว่าที่จริงแล้ว มันมีอย่างอื่นยิ่งกว่าเป็นแค่กฎเกณฑ์ไร้สาระ มีอะไรยิ่งไปกว่าแค่คำว่าดีและชั่วแบบดาษดื่นที่เขานึกเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงที่เขียนมานี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าอีวานจะเข้าใจในเรื่อง แต่เป็นที่คาดเดาได้ว่าจะเข้าใจ ส่วนในเรื่องนั้นมันช็อคกับความจริงมากจนป่วย เกือบเป็นบ้าไป ว่ากันอีกทีคือตั้งแต่ต้นจนจบ อีตาอีวานก็ prickle อยู่ได้ ไม่เคยนิ่มนวลอ่อนโยนลงเลยสักนิดเดียว ดังนั้นจึงคิดเอาเองว่าในขณะที่มิตยาเกือบ ๆ จะพ้นไปได้แล้ว อีวานคงต้องผ่านอีกหลายยก ซึ่งอันนี้เนื่องจากคนเขียนตายไปก่อนได้เขียนภาคหลัง ก็เลยไม่ได้อ่านต่อ (ใครช่วยเอาลุงนี่มาประทับทรงที ดูอยากอ่าน)

เขียนมาถึงตอนนี้ก็เริ่มคิดว่า ตูคิดผิดชัด ๆ ที่คิดจะเขียนอะไรเกี่ยวกับพี่น้องคารามาซอฟ เพราะมันใหญ่มาก ไม่มีปัญหาคายออกมาได้หมดในทีเดียว และไม่รู้จะจับต้นชนปลายที่ตรงไหน ลำพังแค่วิเคราะห์ตัวละครแค่สองตัว ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญญาจะให้กระจ่างเท่าที่ต้องการได้แล้ว ถ้าจะพูดว่า นี่เป็นนาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ภาคอมทุกข์อมโศก อะไรจะบัดซบขนาดนี้วะ ก็จะเป็นการหยาบคายต่อดอสโตเยฟสกี้มาก เพราะถึงจะไม่เคยอ่านเรื่องอื่น ๆ ของเขาเลย ก็ยังเห็นชัดว่าดอสโตเยฟสกี้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ จริง ๆ ควรยกให้ยืนอยู่ด้วยตัวเอง ไม่บังควรยกไปเทียบกับใคร แต่ที่พูดเทียบขึ้นมาเพราะมันอาจจะทำให้ทำความเข้าใจง่ายขึ้น สำหรับคนที่เคยอ่านนาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ ซึ่งอ่านง่ายกว่าพี่น้องคารามาซอฟ เพราะคนเขียนเคลียร์ตัวเองไปพ้นจากจุดบัดซบแล้ว (จุดบัดซบไปตกหนักอยู่แถว ๆ สเตปเฟนวูล์ฟกับงานก่อน ๆ หน้านั้น)

ถ้าให้พูดเรื่องตัวละครในพี่น้องคารามาซอฟ ก็คงพูดไปได้อีกเรื่อย ๆ แต่ว่าลองไปพูดเรื่องเทตซึกะกับฟูจิโอะ เอฟ ก่อนดีกว่า เพราะว่าจะได้จบบล็อคนี้ แล้วจะได้เขียนเรื่องอื่นต่อไป

###





Create Date : 17 กรกฎาคม 2552
Last Update : 3 มกราคม 2553 21:13:28 น. 3 comments
Counter : 663 Pageviews.

 
ยาว...
แต่ขอบคุณที่เขียนมายาวขนาดนี้ ทำให้อยากอ่านขึ้นมา (ก็ได้แต่อยากแหละ งานตัวเองยังกองท่วมหัวอยู่เลย T_T)


โดย: นักรบ IP: 74.193.243.254 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:36:13 น.  

 
แวะมาบอกว่า ไปเจอะหนังเรื่องนี้ในยูตูบจ๊ะ เป็นหนังเก่า ปี 1958 เผื่อใครสนใจลองไปหาดูได้เน้อ


โดย: นักรบ IP: 74.193.243.254 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:40:59 น.  

 
"ถ้าดอสโตเยฟสกี้ไม่ตายก่อน ทั้งสามคนคงไปถึงจุดเดียวกันได้สำเร็จ"
อยากเห็นเหมือนกันครับ มันคงสวยมากเลย

คุณเคียวเคยอ่านหนังสือของ เชอเกียม ตรุงปะ หรือเปล่าครับ พอดีมีหนังสือชีวประวัติแกออกมา (สนพ.สวนเงินมีมา) เราชอบคนนี้มาก อ่านงานแกทุกเล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า แกเป็นธรรมาจารย์ที่แปลกดี แล้วก็เป็นศิลปินด้วย

ถ้าชอบเฮสเส ชอบดอสโตเยฟสกี ก็น่าจะเข้าทางนะครับ


โดย: คุณม้าม วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:38:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.