The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
ทางไร้ดอกไม้ (๒)

ตอนที่จบบล็อคที่แล้ว ก็กลัวนิดหน่อยว่าคนอ่านแล้วจะเข้าใจผิด (บล็อคที่แล้วต่อไว้อีกหน่อย ถ้าใครยังไม่ได้อ่านไปอ่านด้วย) จึงเห็นว่าควรจะอธิบายเพิ่มเติม การลงจบว่าเงินกับชื่อเสียงไม่ใช่ "ดอกไม้ประเภทเดียวบนทางสายนี้" แลดูเหมือนจู่ ๆ จขบ.ก็เกิดปลงตก ตูจะเข้าวัดไม่หวังอะไรอีกแล้ว หรืออีกทีหนึ่ง อาจฟังเหมือนจขบ.เป็นหมาหางด้วน คือไม่ทัดหน้าเทียมตาเขาเลยมีความอิจฉาริษยา มาพูดจาประหนึ่งองุ่นเปรี้ยว

ที่จริง ควรบอกว่าจขบ.ไม่ได้ปลงตก ในความเป็นจริง หากเป็นไปได้ ในฐานะมนุษย์ยังมีกิเลสคนหนึ่ง จขบ.ต้องการดอกไม้ทุกประเภทบนทางสายนี้ ทั้งไม่สนับสนุนให้ใคร "ปลงตก" แบบโง่ ๆ โดยไม่ได้สู้อะไรเลยด้วย เพราะจขบ.ไม่ชอบคนที่ไม่ได้สู้ หากว่านอนงอมืองอเท้าบอกว่าโลกก็เป็นอย่างนี้เอง จขบ.เรียกว่าคนขี้ขลาด อย่างไรก็ตาม ในประสบการณ์อันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าหลายปีพอสมควรของจขบ. เรื่องเงินเรื่องชื่อเสียงนี้ทำลายคนมาไม่น้อยแล้ว เพราะความเข้าใจผิดว่านี่เป็นทางด่วนที่จะนำไปสู่การบำรุงอีโก้ชั้นเลิศ จะทำให้ชื่อเสียงของตัวปรากฏในโลก มีความสำคัญ ผู้คนจดจำได้ ครั้นไม่ได้ตามนั้นก็มีความเจ็บใจเสียใจ มีความแค้นเคืองโลกและระบบทั้งหลายว่าไม่สนับสนุนตัว ครั้นแล้วก็พาลเหยียดหยามดูแคลนคนอื่น (ซึ่งเท่ากับเหยียดหยามดูแคลนตัวเอง) และในที่สุดเมื่อผิดหวังหนัก ๆ เข้า ก็เลิกเดินไปเสียเลย ทั้งที่ในความเป็นจริง ยังเดินไปไม่ถึงไหนเลย

ความโกรธ ความอิจฉาและความกลัวทั้งหลายของมนุษย์นั้น จขบ.ก็มี เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ในท่ามกลางกระแสต่าง ๆ มากมายรอบตัว จขบ.ก็ยังคงเห็นว่ามีอะไรบางอย่างสำคัญยิ่งกว่่านั้น และเป็นสิ่งสำคัญมากซึ่งไม่ต้องการสูญเสียไป ในจังหวะที่มีความริษยา จขบ.ก็ริษยาเท่า ๆ กับมนุษย์มนาปรกติอื่น ๆ ในโลก (แต่ว่าไป จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นเขาอิจฉากันอย่างไร เราไม่ใช่เขาสักหน่อย) และที่เขียนอย่างนี้ไม่ใช่ว่าต้องการทำตัวน่าสงสาร เพราะจขบ.ไม่ได้น่าสงสาร ถึงแม้จะชอบอ้อนคนอ่าน แต่ที่จริงก็ไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นสักนิด เพียงแต่เป็นพวกชอบความอบอุ่นเท่านั้นเอง ( -_-' พูดแล้วอายว่ะ)

เมื่อมีความอะไร ๆ ทั้งหลายเหมือนมนุษย์อื่น จขบ.จึงบอกไม่ได้ว่าตัวเป็นองุ่นเปรี้ยวหรือเปล่า แต่เท่าที่รู้สึกตอนนี้ จขบ.ว่าตัวไม่ได้องุ่นเปรี้ยว คือต่อให้มีความอิจฉาหรือไม่อิจฉา จขบ.ก็พยายามบอกตัวเองเสมอว่าให้ยุติธรรม คนเขียนหนังสือดีก็คือคนเขียนหนังสือดี หากว่าไม่ดีก็คือไม่ดี แต่จขบ.มีความเห็นโดยสัตยธรรมจริง ๆ ว่าการเอาการเขียนหนังสือดี ไปปะปนกับการมีชื่อเสียงเงินทองนั้น เป็นบล็อคใหญ่สำคัญของการเขียนหนังสือ (บางทีต่อไปข้างหน้าคงเป็นบล็อคอื่นอีก แต่จขบ.ยังไม่รู้)

ประการแรก คือที่ไม่ได้รับของนั้นก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอหรือ คิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจตัวหรือ เกิดคิดว่าควรเปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยไม่คำนึงถึงธาตุแท้ของตัว เหมือนเกิดเป็นมะม่วงแล้วเกิดอยากเป็นส้ม ครั้นเป็นส้มก็เป็นส้มไม่ได้สุด สุดท้ายก็ทำให้หลงทางไป

ประการที่สอง คนที่ได้รับชื่อเสียงเงินทองมาก ก็เข้าใจไปเองว่าตัวดีอยู่แล้ว เลยไม่ต้องทำอะไรต่อ หรือไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นคนระแวงชาวบ้านอื่นว่าจะมาอิจฉาตัว ทั้งยังกลัวว่าถ้าเขียนแบบอื่น คนอ่านจะทิ้งตัวเอง (คือเสพติดการได้รับความรักเสียแล้วจนไม่กล้าลองอะไรใหม่ หรือไม่คิดจะขัดเกลาให้มากกว่านี้) สรุปว่าก็หลงทางเหมือนกัน

สรุปว่าคนทั้งสองประเภท (เท่าที่นึกออก บางทีคงมีคนอีกล้านประเภท ซึ่งมีบล็อคอีกล้านประเภทที่จขบ.ไม่รู้) ก็ล้วนแต่หลงทางเหมือนกัน เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เปรียบแ้ล้วเหมือนเดิน ๆ ไปตามทาง บังเอิญแวะข้างทาง แล้วก็เลยหลงวนเวียนอยู่ในที่ข้างทางนั้น หาทางเดินต่อไปไม่ได้ อยู่ไปนาน ๆ เข้าก็ลืมไปแล้วว่าเคยมีทางอยู่ เกิดเข้าใจเอาเองว่าที่ข้างทางคือโลกทั้งโลก คือความเป็นจริงทั้งหมดที่มี

ว่ากันจริง ๆ ไม่ใช่ว่าจขบ.ไม่เข้าใจมิติของการ "ทำมาหากิน" ในโลกของการเขียนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าเราทำงานแลกเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตของเราเอง แต่ในความเป็นจริง จขบ.คิดว่าหากเราไม่หลงทาง เราเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร เรื่องอื่น ๆ ก็จะ "ง่ายขึ้น" เช่นถ้าไม่หมกมุ่นอยู่กับความอิจฉาริษยาแล้ว ทำงานก็คือทำงาน ถ้าเลี้ยงตัวทางนี้ไม่ได้ ก็ทำงานอื่น แต่ไม่จำเป็นต้องเลิกเขียนหนังสือไปเลย (ที่จริงจขบ.ไม่เข้าใจนางเอกทางไร้ดอกไม้ที่เลิกเขียนโดยสิ้นเชิงไปเลี้ยงลูก โดยอ้างว่าถ้าเคยทำเต็มร้อยแล้วลดลงเหลือยี่สิบ มันจะไม่ได้อย่างใจ จขบ.ว่าชีบริหารตัวเองไม่ได้ และที่จริงก็ติดบล็อคแล้ว ไม่รู้จะเขียนอะไรใหม่ ๆ ดี เลยเกิดไม่เห็นคุณค่าของการเขียน และต้องการพักจากมันชั่วคราวเท่านั้นเอง)

บางทีการที่เราหมกมุ่นกับความขมขื่น ความน้อยใจ การกลัวความคาดหวัง ความหวาดระแวงมากเกินไปนั่นเอง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "ทำมาหากิน" ไม่ได้ดีเท่าที่ควร คือเขียนหนังสือไม่ได้ เพราะในใจนึกไปล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้ จะไม่เป็นไปตามที่คนอื่นคาดหวัง จะได้รับความเจ็บปวดเสียใจต่าง ๆ สรุปแล้วก็คือเราไม่ได้กำลังเดินไปตามทางของการเขียนหนังสือ แต่เดินไปตามทางของการเป็นทาสความอะไรต่าง ๆ ในใจของเราเอง ซึ่งจะทำให้เราเป็นอัมพาต

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จขบ.เขียนอะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการหลงทางเป็นสิ่งที่ผิด เพราะจขบ.เชื่ออย่างยิ่งว่าการติดบล็อค และการฟัดกับตัวเองจนหลุดจากบล็อคมาได้นั้นเป็นเรื่องดีวิเศษอย่างยิ่ง เป็นหนทางเดียวที่เราจะสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นชนิดที่ใคร ๆ สอนก็ไม่ได้ และที่จริงแล้ว บางทีคงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เป็นคนเขียนหนังสือที่ดีกว่าเดิม แต่ข้อหลังนี้จขบ.ไม่ทราบ เพราะยังมองไม่เห็นอนาคตและการันตีอะไรให้ใครไม่ได้ เพียงแต่พยายามจะเขียนแผนที่ขึ้น แต่สุดท้ายแม้มีหรือไม่มีแผนที่ คนจะเดินทางก็ต้องไปเจออุปสรรคอยู่ดี อุปสรรคก็มีให้ข้าม ไม่ใช่มีให้เลี่ยงอยู่ดี ในความรู้สึกของจขบ. คนที่เจ็บเท่านั้นถึงจะกลายเป็นสิ่งที่งดงามได้ ส่วนคนที่เลี่ยงหนีไม่ยอมเจ็บตัว ก็จะอยู่อย่าง mediocre ซึ่งบางทีคงไม่ใช่ความผิดอะไร เว้นแต่คนที่ mediocre นั้นจะดูถูกตัวเองว่าตูไม่เคยไปที่ไหนได้เลย ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ดี

ไว้จะเขียนอีกบล็อค มีประเด็นอย่างพูดเยอะไปหมดเลยแฮะ



Create Date : 08 เมษายน 2552
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:59:00 น. 12 comments
Counter : 542 Pageviews.

 
ยังคงอ่านอย่างเพลิดเพลินฮับ

หนุกจัง ^^


โดย: wanderer IP: 125.25.112.125 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:17:28:24 น.  

 
รออ่านต่อ อิอิ


โดย: romancer IP: 58.8.75.162 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:17:55:10 น.  

 
มาลงชื่ออ่านฮับ
และขอบคุณเรื่องงานสัปดาห์ฯ อีกรอบด้วย

เรื่อง "น้ำเน่า" นั้น เราเป็นเหมือนจขบ.
คือ อ่านโดยไม่คิดว่าเป็นน้ำดีหรือน้ำเน่า อ่านแล้วสนแค่ "เขียนดี" หรือ "เขียนไม่ดี" อะไรที่อ่านแล้วกระตุ้นต่อมจิ้น เรียกอารมณ์จี๊ด สร้างความสะดุดใจให้ได้..ถือว่าผ่าน

ส่วนเรื่องบล็อคนั้น เราว่าบางทีมันไม่ก็ไม่เชิงว่าเป็นบล็อคนะ เช่น นักเขียนที่เคยแต่งเรื่องรักหวานแหวว กุ๊กกิ๊กมากมายมาเป็นสิบเล่ม พอถึงวัยหนึ่ง นิยายที่แต่งจะไม่หวานแหววเท่าเดิมแล้ว เพราะเจ้าตัวเห็นโลกมากขึ้น โลกไม่ได้สีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์เหมือนตอนเริ่มจับปากกาแล้ว จะแอ๊บยังไง อารมณ์ที่สื่อออกมามันก็ไม่เหมือนเดิมน่ะ (ประมาณว่าถ้าเอาไปเทียบกับงานนักเขียนใหม่โนเนม ฝีมือน้องใหม่อาจแย่กว่ามาก แต่อารมณ์เฟรชกว่ากันแยะ)

ในกรณีนี้ เราว่านักเขียนน่าจะลองเขียนแนวอื่นที่สามารถเขียนได้ไปเลยดีกว่าไหม? ดีกว่าพยายามฝ่าบล็อค "ชั้นจะเขียนนิยายรักหวานแหววแบบเก่าให้ได้" ... คือ มันก็อาจทำได้นะ แต่คงจะยากแสนสาหัสอยู่

บางครั้ง เราก็คิดแปลกๆ ว่านักเขียนก็เหมือนดารานะ จะสร้างผลงานได้ในช่วงอายุหนึ่งได้ดี แต่พอสังขารร่วงโรย มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อาจต้องเลิกเขียน/แสดง หรือปรับตัวเองไปแสดง/เขียนแนวอื่น


โดย: ยาคูลท์ วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:4:39:01 น.  

 
หน่าก็ชอบความอบอุ่น~

/me กระโดดเกาะมุบ!


โดย: parasite IP: 125.25.104.215 วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:10:33:41 น.  

 
นั่นก็เป็นบล็อคเหมือนกันอะค่ะ แต่ไม่ใช่บล็อคของการกลับไปเขียนเหมือนเดิม แต่คือบล็อคของอายุ บล็อคของความเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง

คนเราก็เหมือนแม่น้ำ ถึงจะเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน แต่ก็ไหลไปตลอดเวลาค่ะ ไม่มีวันเหมือนเดิม การหวังให้เหมือนเดิมเป็นความหวังที่ผิด

การที่เขียนเรื่องไม่สดเหมือนตอนเด็กแล้ว ก็คือการสูญเสีย grace of youth (ภาษาของฟิลลิป พูลแมน คนแต่ง his dark material) หมายความว่าสูญเสียความไร้เดียงสา ความซื่ออย่างเด็ก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของมนุษย์

หลังจากสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว คนเราก็จะดีลกับมันต่าง ๆ กัน เช่นว่าพยายามให้เหมือนเดิม (เป็นไปไม่ได้) หรือทิ้งไป หรือบางคนอาจจะฟัดกับตัวเองจนกระทั่งค้นพบอะไรบางอย่างในตัว ค้นพบต้นธารแท้จริงในตัวของตัวเอง และเข้าใจจนได้ว่าที่จริงแล้ว ทั้งหมดก่อนหน้านี้มันมีความหมายยังไง

คุณพูลแมนแกว่า เมื่อสูญเสีย grace of youth ไปแล้ว ก็จะต้องศึกษาค้นคว้า ต้องแสวงหาไปชั่วชีวิต แต่ถ้าหาเจอแล้ว มันจะไม่หายไปอีก มันจะเป็นของเราจริง ๆ

เราก็ว่าแกพูดจริงค่ะ

ยกตัวอย่างเช่นก่อนนี้เขียนด้วยความช็อคกิ้งพิงค์ แต่ตอนนี้อาจจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนสาว ๆ ถึงเขียนชอคกิ้งพิงค์ และเกิดเข้าใจสภาพจิตใจอารมณ์ของสาว ๆ ชัดเจนละเอียดในมุมที่กว้างและสูงขึ้น ในกรณีนี้ เราไม่ประกันว่าคนอ่านที่เป็นเด็กจะยังอ่านเรื่องของนักเขียนคนนี้อยู่ไหม เราไม่ประกันว่ายอดขายจะเหมือนเดิมด้วย แต่เราประกันว่าเขาจะเขียนดีขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และบางทีอาจจะ "มีคุณค่าทางวรรณกรรม" อย่างที่คนเขาพูด ๆ กันมากขึ้นด้วย

และอะไร ๆ ที่ "เข้าใจ" แล้ว มันจะไม่เลิกเข้าใจค่ะ

แต่ถ้าถามว่าทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วก็อาจจะไม่ได้ตังค์มากขึ้นไม่ใช่หรือ อย่างนี้เราก็ต้องบอกว่าถ้าหากพอใจกับสตางค์อย่างเดียว ต้องการหาสตางค์ให้ได้เท่าเก่า ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินต่อ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ถ้าพอใจอย่างอื่นที่ไม่ใช่สตางค์ ถ้าเป็นคนอย่างที่พอใจจะเขียนหนังสือดี และรู้ตัวว่านี่เป็น way ของตัวเอง ก็จะเข้าใจดอกไม้อีกแบบที่จะได้รับเมื่อเติบโตขึ้น เมื่อผ่านบล็อคไปได้

เราไม่ค่อยรู้เรื่องดารา แต่เราคิดว่าศิลปะทุกอย่างก็คล้าย ๆ กัน มันมีจังหวะของมันเองค่ะ


โดย: เคียว IP: 124.120.155.218 วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:11:36:46 น.  

 
ยิ่งอ่านยิ่งคิดว่าพี่ปันเขียนอะไรได้ลึกซึ้ง แปลกประหลาดพิสดารดีจริง "__" อ่านนิยายแล้วไปได้มากเท่านี้

เราไม่เคยอ่านเรื่องทางไร้ดอกไม้อ่ะนะ แต่เอาเป็นว่าแสดงความเห็นจากมุมมองของตัวเองต่อสิ่งที่พี่เขียนแล้วกัน

มองว่าเวลาคนเรารักการทำอะไรมากๆ ทุ่มลงไปสุดตัวสุดหัวใจ มันก็เกิดการ burned out (มันคืออย่างเดียวกับบล็อคหรือเปล่าคะ?) อาจมีทั้งการทำอะไรไม่สำเร็จแล้วทนทำต่อไปไม่ไหว หรือเคยสำเร็จมากๆ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างนั้นอีกได้ยังไง หรือสรุปสั้นๆแค่เหนื่อยใจ ไม่มีความอยากทำต่อไป

เราอาจจะขี้ขลาดก็ได้มั้ง เราเลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบกลางๆพอประมาณ ทำงานไปได้ แบบไม่คิดอะไรมาก ไม่ได้เป็นด้านศิลปะ ที่ต้องใช้หัวใจ และตัวตนของเราทำ เลือกอย่างนี้ก็เพราะกลัว กลัวว่าถ้าสิ่งที่รักกลายเป็นความรับผิดชอบ เป็นเรื่องต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ เราจะไม่รักมันอีกต่อไป ส่วนสิ่งที่ตัวเองรัก ก็เก็บไว้ เป็นส่วนนึง เป็น fire เป็น passion อะไรก็ว่าไป แต่มันก็ไม่มีส่วนกับการหาเงิน ทำงาน ฯลฯ หรืออะไรทำนองนั้น

(ตกลงเราโง่หรือฉลาดก็ไม่รู้นะเนี่ย...)

สรุป จากที่เขียนอะไรวนไปวนมานี่คือ
เราเชื่อว่า ถ้าไม่รัก คงไม่เกิดบล็อก งานศิลปะแปลกจากงานการในสาขาอื่นๆก็ตรงนี้ ถ้าไม่มี passion ก็เริ่มต้นทำไม่ได้ แต่เพราะ emotionally invested มากๆ ก็ทำให้เดินชนกำแพงอุปสรรคแบบที่ต้องตบตีกับตัวเองเป็นระยะๆ

เขียนๆไปเริ่มรู้สึกว่า ออกนอกเรื่องที่พี่ปันเขียนไปแล้วมั้ง แต่นานๆ จะมีคนคุยเรื่องอะไรทำนองนี้กันที ไหนๆก็อุตส่าห์นั่งพิมพ์เรียบเรียงอยู่นานแล้ว ก็จะโพสต์ไปละกันนะ

ปล. เพิ่งจะเห็นเรื่องดราก้อนตอนใหม่ (ที่พี่ปันโพสไปนานมากแล้ว) ตกลงเรื่องนี้ กลับมาต่อแล้วใช่ไหมคะ? ไม่หายไปไหนแล้วนะๆๆ


โดย: thaliana IP: 64.252.39.103 วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:12:58:46 น.  

 
หนังชีวิต ต้องดูกันนานๆ ค่ะ อิอิ

ชอบความอบอุ่นเหมือนกัน กอดๆ


โดย: the grinning cheshire cat วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:13:48:48 น.  

 
เห็นด้วยทุกประการครับ พยักหน้าหงึก ๆ ทุกบรรทัด

แต่ก็มีบางคนที่เป็นมาสเตอร์แล้วหันไปทำอย่างอื่น ทั้งที่อายุมากแล้ว เรายังรู้สึกชื่นชมว่า แกช่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ T^T


โดย: คุณม้าม วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:14:04:49 น.  

 
น้อง thaliana @ พี่คิดว่าทำอะไรก็ไปได้มากเท่านี้ทั้งนั้นแหละ ถ้าจะไปจริง ๆ นะ

มีข้อความหนึ่งดีมาก อยู่ในเรื่องเกมลูกแก้ว พูดถึงอะไรบางอย่างคล้าย ๆ การเบิร์นเอาท์ อธิบายว่าคือการไม่รักษาสมดุลของตัวเอง คือการพยายามจะด้นชนอะไรบางอย่างโดยละเลยส่วนอื่น ๆ ของชีวิต พี่คิดว่าเป็นข้อความที่น่าสนใจดี จะคัดมาโพสต์ไว้ให้อ่านกันสักวัน

หนังชีวิตต้องดูไปนาน ๆ จริง ๆ อย่างที่คุณ LMJ ว่าแหละหนู อะไรที่พี่คิดวันนี้ บางทีพรุ่งนี้ก็เปลี่ยน ก็ต่อยอดขึ้นไปอีก แต่พี่ก็บันทึกมันไว้ เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองอยู่ดี

ส่วน DD ตอนนี้มันก็ยังมีบล็อคของมันอยู่ และพี่ก็กำลังพยายามสู้กับบล็อคนั้นเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นขอเวลาหน่อยนะ

คุณม้าม @ เราว่าแกอาจจะไปถึงทางสายเอก ซึ่งทุกทางก็คือทางเดียวกันแล้วอะค่ะ...มั้งนะ

###

กอดทุกคนตอบ กอด ๆๆๆ


โดย: เคียว IP: 58.8.78.242 วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:14:33:11 น.  

 
ชอบความอบอุ่นเหมือนกัน แต่ไม่กล้าแสดงออก T_T


โดย: rachan IP: 202.57.179.41 วันที่: 10 เมษายน 2552 เวลา:1:55:32 น.  

 
ชอบความอบอุ่นเหรอคะ งั้นแวะมากอดเจ้าของบล็อกซะหน่อยแล้วกันอิอิ

ยินดีที่ได้เจอกันในวันนั้นค่ะ คุณเคียวตัวจริงดูผอมกว่ารูปที่เคยเห็นในวิกิพีเดียอ้ะ (ไปเปลี่ยนรูปเถอะ แหะๆ)

อืมมมมม

เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์อิจฉาอะค่ะ

มีพี่คนหนึ่งบอกว่า..อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนมีความพอใจในตัวเองสูง..ซึ่งก็คงจะเป็นอย่างนั้นมั้งนะ

จะไปอ่านตอนหนึ่งแต่อ่านไม่ได้ค่ะ กดอ่านเมื่อไหร่ เด้งดึ๋งออกมาตลอดเลย


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 10 เมษายน 2552 เวลา:17:04:13 น.  

 
อ่านแต่ข้างนอก ไม่ต้องเมนต์ก็ได้ขอรับ

วิกินั่นมีคนอื่นทำให้ ตัวเองไม่ได้มีล็อคอินน่ะค่ะ เขาบอกว่าทำให้เป็นของขวัญ มาเซอร์ไพรต์ทีหลังตอนทำเสร็จแล้ว


โดย: เคียว IP: 222.123.28.91 วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:8:33:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.