Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ความฝัน ความหวัง แห่งชีวิต (1) โดย พงษ์ ผาวิจิตร

มุมมองน่าสนใจมาฝากจาก @ กรุงเทพธุรกิจ @

Fusion Life

พงษ์ ผาวิจิตร (pong@thinkfact.com)

ความฝัน ความหวัง แห่งชีวิต (1)

เจ้าตัวเล็กของผู้เขียนถามขึ้นเมื่อหลังปีใหม่ว่า “พ่อ...เราเกิดมามีชีวิตเพื่ออะไร” คำถามที่ฟังมาบ่อยตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาคำตอบ หรือตอบได้สักที ยิ่งแก่ยิ่งรู้สึกว่าหาคำตอบได้ยากขึ้นทุกที ในระหว่างที่อึ้งคิดหาคำตอบอยู่

แกก็พูดต่อไปว่า “หนูไม่คิดว่าเราเกิดมาใช้กรรมเหมือนที่เขาบอกกันนะ เพราะว่าเมื่อเกิดมา เราก็ต้องทำกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วอย่างนี้ก็คงไม่มีวันจบ”

จริงของแก ยิ่งวันเวลาผ่านไป ความฝัน ความหวังของการมีชีวิตอยู่ของเราก็ยิ่งซับซ้อนและเลือนราง แต่ที่แน่ ๆ คือมันไม่ได้หายไปไหน รังแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นในความเลือนราง

หากจะหาคำตอบในแง่ของปรัชญาและธรรมะ ก็คงมีให้ถกเถียงกันไม่มีวันจบ แต่ถ้ามองในแง่ของสังคมและเศรษฐกิจแล้ว บางทีการมองคนอื่นก่อน แล้วค่อยหันมามองตัวเอง อาจจะง่ายกว่า เพราะธรรมชาติมนุษย์มักจะเข้าข้างตัวเอง ธรรมชาติถึงออกแบบให้เราไม่สามารถเตะก้นตัวเองได้เมื่อเวลาเราโมโหตัวเอง


เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ต้องมองกลุ่มใหญ่เป็นเกณฑ์อิงเสียก่อน เพราะนักจิตวิทยา เขาบอกว่ามนุษย์เราเป็นเหมือนสัตว์หลายๆ ชนิดคือ ชอบจัดกลุ่มหาพวก อันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เราสบายใจ มีความฝัน ความหวังในชีวิต และกลุ่มใหญ่ๆ ที่เรามักใช้อ้างอิงคือ อเมริกา ยุโรป และเอเชียกันเอง ส่วนกลุ่มอื่นๆ เช่น อินเดีย แอฟริกา หรืออาหรับนั้น ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากพวกเราเท่าไร

ถ้าเป็นคนอเมริกา ความฝันของเขาก็ต้องเป็น American Dream อันหมายถึง การอยู่ดีมีสุขในเชิงวัตถุ วัดกันที่เสรีภาพ มีสิ่งของเครื่องใช้เยอะๆ มีเสียงดังฟังชัด

ถ้าเป็นคนยุโรป ดินแดนที่พัฒนาการทางสังคมมั่นคงก่อนเพื่อน มักเน้นในเรื่องวิถีชีวิตที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาหารธรรมชาติปลอดสารพิษ การเป็นอยู่ที่เน้นการอิงกับธรรมชาติ แต่สะดวกสบาย และร่วมด้วยช่วยกันป้องกันรักษาทรัพย์สมบัติของสาธารณะ แทนการหามาครอบครองเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียวอย่างสังคมส่วนใหญ่ในเอเชียหรือ แม้แต่การทำงาน ที่นั่นเขาเลือกที่จะทำงานอาทิตย์ละ 4 วันในบางประเทศ เลือกที่มีวันหยุดยาว ผู้หญิงบางคนจึงลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก แทนการไล่ล่าหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เราจึงเห็นตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ใหญ่โตเท่าอเมริกา ไม่เห็นเงินเดือนที่สูงลิบลิ่วของผู้บริหาร


แล้วก็มาถึงเอเชียเรามีอยู่ 2 กลุ่มที่แตกต่างกัน คือ กลุ่มที่มีความคล้ายกับอเมริกันชน กล่าวคือ เน้นความมั่นคงของครอบครัว การศึกษาของลูกหลาน และก็ความร่ำรวย แต่ต่างตรงที่เรามักมองสินทรัพย์ต่างๆ ในแง่ของการครอบครองมากกว่าการใช้สอย ของอเมริกันชนมีเพื่อใช้ ของเรามีไว้เพื่ออวดความเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนที่ดิน เงินฝากในธนาคาร จำนวนใบปริญญาบัตร

แต่อีกกลุ่มหนึ่งของคนเอเชีย คือมองว่าเราเดินทางผ่านมาในชาติภพนี้ เพื่อภารกิจบางอย่าง แล้วเราก็จะเดินทางไปป้ายหน้า ภพหน้า เหมือนที่เจ้าตัวเล็กของผู้เขียนตั้งข้อสังเกต กลุ่มนี้จึงมักอยู่อย่างตามยถากรรม ไม่ต่างกับเราไปนอนวัดตอนทอดกฐินที่ไม่ใส่ใจกับเครื่องนอนหมอนมุ้ง ห้องน้ำห้องท่าสักเท่าไร เพราะถือเสียว่าพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงหวังได้ยากว่า คนส่วนใหญ่ในสังคมนี้จะมีจิตสาธารณะช่วยกันดูแลสมบัติของส่วนรวมไว้ใช้สำหรั บรุ่นต่อๆ ไป

และด้วยการมองแบบเอเชียของเรา ผสมกับอิทธิพลโลกาภิวัตน์ เราเลยได้รูปแบบความฝัน ความหวังในชีวิตไม่ต่างจากสัตว์ในป่าหิมพานต์ ที่ความพิกลพิการสองอย่างอยู่ด้วยกันได้ ทำนองร่างกายบึกบึน แต่เคลื่อนไหวได้พลิ้ว แรงเยอะ แต่กินน้อย เรียกได้ว่า ความขัดแย้งทุกอย่างอยู่ได้ในความฝัน ความหวังของเรา

ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงไม่เหลือความขัดแย้งที่เรายอมรับได้ในชีวิตประจำวัน อะไรที่ไม่ตรงกับความต้องการของเรา ก็คือ ไม่ใช่ ถ้าจะเชื่อใคร ก็เชื่อหมด จะรักใครก็รักหมด เกลียดใครก็เกลียดขนาดเผาเป็นเถ้ากระดูกไม่มีตัวตนแล้ว เรายังหาเรื่องเกลียดได้อีก


เราจึงมีความฝัน ความหวังของชีวิตแบบ

.... อยากรวย โดยไม่ต้องทำงานหนัก - หวย การพนัน ยาเสพติด จึงเฟื่องฟู

....อยากเก่ง โดยไม่ต้องหัด ไม่ต้องพัฒนาตนให้เสียเวลา - การโกง การคอร์รัปชัน การเอาเปรียบจึงกลายเป็นมาตรฐานที่สังคมไทยยอมได้โดยไม่อาย

.... อยากมีชีวิตดี หรูหรา โดยไม่ต้องพัฒนาสุนทรียะแห่งการดำรงชีวิต - ร้านเสริมความงาม เครื่องสำอางร้อยแปดพันเก้าชนิดที่ช่วยให้สวย/หล่อเร็วขึ้น อุปกรณ์เครื่องใช้ราคาแพง รถยนต์ ทีวีจอยักษ์ ฯ ล ฯ จึงขายดีเป็นตัวช่วยให้คนฝันถึงฝั่งฝันได้เร็วขึ้น

แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยโกง ไม่เคยหลอกอยู่ข้อหนึ่งคือ อะไรมาเร็ว ก็ไปเร็ว สามล้อถูกหวยจึงจนเร็วกว่าเฮียขายก๋วยเตี๋ยวทีละชาม เก็บเงินทีละบาท แต่ยาวนานกว่า

ครั้นเมื่อตัวช่วยชั่วๆ ข้างต้นหมดกำลังลงในระยะเวลาที่รวดเร็วแล้ว ความฝัน ความหวัง ของเราเลยมักแปรเปลี่ยนเป็นการโทษโชคชะตา เมื่อไม่ได้ดังใจบ่อยๆ เข้า ก็ใจร้อนอยากได้อะไรเร็วๆ รวยลัด เรียนลัด เคล็ดลับ เลยกลับมาเป็นวงจรอุบาท- และท้ายที่สุด พวกเราก็ได้ลัดวงจรกันเอง คือไปไม่ถึงไหนเหมือนที่แล้วๆ มา ไม่เชื่อลองดูหลักคิดของพวกเรากันเองดู..

.... อะไรที่เราทำไม่ทันแล้วเรามักโยนความรับผิดชอบให้กับคนรุ่นหลัง เราเลยได้ยินว่า สังคมไทยต้องหวังพึ่งคนรุ่นใหม่ แต่ผู้เขียนได้ฟังมาตั้งแต่ตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ในตอนเรียนหนังสือ จนกลายเป็นคนรุ่นเก่าแล้ว เราก็ยังได้เชื่ออย่างนั้นอยู่

.... อะไรที่เราต้องรับผิดชอบโดยตรง เรามักจะโยนความรับผิดชอบว่า ยังไม่มีนโยบายจากผู้ใหญ่ หรือเบื้องบน


สรุปคือ ที่เราไม่ดีในวันนี้ ก็เพราะเมื่อวานเราซวย โชคไม่ดี วันนี้เราเลยแย่ ครั้นวันพรุ่งนี้ที่เราพอจะมีเวลาแก้ตัวได้ ก็รอตัวช่วยจากผู้ใหญ่สั่งการ ถ้าไม่มีผู้ใหญ่สั่งการ ก็รอฝรั่งเมืองนอกมาลงทุนให้เรามีเศรษฐกิจดีขึ้น แล้วก็กลับไปที่วงจรอุบาท-เดิม กลายเป็น double standard ของชีวิตไป

ความฝัน ความหวังแห่งชีวิต จึงเป็นสิทธิของแต่ละคนที่ดีกว่าสิทธิการเลือกตั้ง เพราะสิทธิในการเลือกตั้ง เรายังโทษคนอื่นที่ไม่เลือกเหมือนเราได้ แต่ความฝัน ความหวังของชีวิตที่เราเลือก เราต้องรับหรือเสวยตามกรรมที่เราเลือก

สำหรับคนอื่น ๆ นั้นไม่รู้ แต่สำหรับตัวเองแล้ว นับวันยิ่งเชื่อว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อการแสวงหาและสร้างความหมายใหม่ของชีวิต หาใช่การแสวงหาทรัพย์สมบัติมหาศาลไม่..

...................................

เชิงอรรถ

1 จากการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ ที่คนไทยยอมรับได้กับนักการเมืองคอร์รัปชัน หากเชื่อว่าเขาทำให้เศรษฐกิจโต โดยไม่ต้องสงสัยว่าเศรษฐกิจที่โตขึ้นนั้น มาด้วยความสามารถหรือการเล่นแร่แปรธาตุ

2 ตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งของผู้เขียนจบประถมสี่ ไม่ได้ทำอะไรอื่น ขายอาหารอย่างเดียว ผ่านไปยี่สิบปีในวัยสี่สิบต้น มีทรัพย์สมบัติไม่น้อยกว่าชนชั้นกลางที่ทำงานเงินเดือนสูง แกมีร้านอาหารมูลค่ารวมกว่าสิบล้านบาท ช่วยเลี้ยงดูคนงานจากต่างจังหวัดเกือบยี่สิบคน มีรายได้เหลือเดือนละนับแสนบาท




Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 16:39:46 น. 0 comments
Counter : 1284 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]