14 ส.ค. 2560
//johjaionline.com/opinion/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/#.WZFZkrn2Wyg.facebook
เดี๋ยวก่อนๆ หมายถึงอาจารย์คุณจะมากล่าวในงานยังงั้นเหรอ? ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวกระซิบถามเจ้าสาวบนเวที สิ่งที่เขากลัวดูเหมือนจะบังเกิดขึ้นแล้ว
ใช่แล้ว เจ้าสาวตอบ รับรองไม่ใช่ speech ตามรูปแบบพิธีการที่ได้ยินทั่วไปแน่นอน เธอกระซิบตอบอย่างภาคภูมิ ท่ามกลางเสียงปรบมือ หลังจากเสียงประกาศเชิญผู้ใหญ่ขึ้นมากล่าวโอวาทและอวยพร
ชายหนุ่มมองเจ้าสาวของเขา นี่แหละเธอ คนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และเป็นตัวของตัวเองสุดๆ แต่ทำไงได้ ก็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้หลงใหลเธอนัก
ท่านอาจารย์ของเจ้าสาวก้าวเดินขึ้นมาบนเวที ผ่านเค้กแต่งงานสีขาว ตรงไปยังไมโครโฟน แล้วเริ่มกล่าว
ในเมื่อเป็นที่รู้กันว่า ชีวิตแต่งงานที่อยู่กันอย่างมีความสุขยั่งยืน ประสบความสำเร็จมีไม่ถึง 50% ถ้าเป็นแบงก์ก็คงไม่มีใครให้กู้ ถ้าเป็นพันธบัตรก็ยิ่งกว่า junk bond ทำร้านอาหารยังจะสำเร็จง่ายกว่า ผมจะไม่อวยพรละ เพราะคำอวยพรที่ใช้ๆกันคงไม่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาจารย์เริ่ม speech
เจ้าบ่าวกำมือจิกนิ้วตัวเอง ในใจคิดว่า พอเริ่มพูดก็ชักจะไม่เป็นมงคลละ ในขณะที่เจ้าสาวตั้งอกตั้งใจฟังอาจารย์ของเธอ
แทนที่จะยืนพูดที่ไมโครโฟนต่อเหมือนคนอื่นๆ ท่านอาจารย์ปลดไมค์ออกมาถือไว้ในมือ และเดินพูดบนเวที
ผมเลยขอพูดสั้นๆแทน รับรองสั้นกว่า TED Talk อีก ไม่น่ามีประเด็นอะไรต้องให้โอวาทมาก เพราะเท่าที่ผ่านมาในช่วงเป็นแฟนกัน ดูเหมือนเจ้าสาวผู้เป็นลูกศิษย์ผม เธอได้ใช้หลัก tit for tat ตาม game thoery ที่ Robert Axelrod ได้ว่าไว้จนสำเร็จ นั่นคือ ถ้าฝ่ายหนึ่งดีด้วย เราก็ดีด้วย หากไม่ดีด้วย เราก็ไม่ดีด้วย แต่ต้องไม่เก็บมาแก้แค้น และไม่คิดแต่จะเอาชนะ ด้วยวิธีนี้ ก็จะเรียนรู้กันและกัน และปรับตัวเข้าหากันในที่สุด การที่มีวันแต่งงานในวันนี้ได้ ก็บอกได้แล้วว่าทฤษฎีนี้ได้ผลจริง อีกอย่าง ผมเป็นคนให้เธอยืมหนังสือของ Robert Axelrod เองแหละ ได้ยินว่า เอาวางไว้ข้างที่นอนเลย
เสียงหัวเราะของแขกในงาน ทำให้เจ้าบ่าวใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง
เดี๋ยวหนูคืนหนังสือให้นะคะ เจ้าสาวหันไปพูด
ไม่ต้องละ คุณเก็บไว้ หลักการนี้มันต้องใช้ไปตลอดชีวิตคู่ ถือว่าหนังสือเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งละกัน ท่านอาจารย์พูด และกล่าวต่อ
ถึงแม้ตามสถิติชีวิตแต่งงานมีความเสี่ยงสูง แต่เราบริหารความเสี่ยงให้น้อยลงได้ อย่างแรกที่สำคัญมากคือ อย่าไปแสวงหาความ perfect ที่ไม่มีจริง เอาแค่ ไปถึง Nash Equilibrium ก็พอ ท่านอาจารย์หันหน้าไปมองเจ้าสาว เธอสบตา แล้วรู้ว่าอาจารย์ของเธอต้องการอะไร : อาจารย์ต้องการให้เธอเป็น ดอกจัน หรือ footnote นั่นเอง
Nash Equilibrium นะคะ คือ สภาวะใน Game Theory ที่ผู้เล่น ซึ่งในที่นี้มีสองฝ่าย อาจจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการหมด แต่ประนีประนอมกันได้ในระดับหนึ่ง และสามารถอยู่ในสภาพสมดุลนี้ไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอีก เพราะมันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เจ้าสาวอธิบาย
อาจารย์พยักหน้า นั่นแหละ ต้องยอมถอยกันคนละฝ่าย ถอยในประเด็นที่ถอยได้ เหลือแต่ความเป็นตัวตน อันนี้ไม่ต้องถอย เพราะเราจะไม่มีตัวตนเหลือ และอย่าไปคิดใช้ dominant strategy ที่คิดจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ชีวิตคู่ไม่ใช่ zero sum game ไม่ใช่ Game of Chicken ที่เหมือนกับวัยรุ่นขับรถพุ่งเข้าหากัน ใครกลัว หรือ chicken out คือ หลบก่อน เป็นคนแพ้ นั่นคือ คนมีเหตุผลแพ้ คนไม่แคร์ชนะ ซึ่งการแต่งงานควรจะเป็น cooperative game ที่มีการร่วมมือกันเพื่อไปสู่จุดหมาย ไม่ใช่เป็นหนังซีรีส์ที่มีแพ้-ชนะ เป็นยกๆ
นักคณิตศาสตร์พิสูจน์กันแล้วครับว่า ในระยะยาว อย่างชีวิตการแต่งงานนั้น การใช้ cooperative strategy เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย ถ้าจะเป็น dominant strategy ค่อยเหมาะกับคนที่คุณจะเจอครั้งเดียวแล้วไม่เจออีก ประเภท one night stand - แต่นั่นแหละ ก็ยังมีคนชอบใช้ dominant strategy กับชีวิตคู่ ซึ่งคุณอาจจะ win the battle ในวันนี้ บนความเสียใจของอีกฝ่าย แต่คุณจะ lose the war ในวันหลัง และวันสุดท้ายของสงครามกลางเมือง หรือที่จริง สงครามกลางบ้าน นั้น จะไม่มีใครชนะจริงเลย
เจ้าบ่าวแอบชำเลืองสำรวจสีหน้าของแขกที่มางาน - ยังฟังอยู่..พอมีสาระ.. น่าจะรอดๆ.. เขาคิด
สาเหตุที่เรามักจะคิดเอาชนะกัน ก็เพราะเราคิดเรื่องแฟร์ไม่แฟร์ นี่แหละครับ ผมขอใช้หลัก Comparative Advantage ทางเศรษฐศาสตร์ มาใช้ขจัดความกังวลเรื่องใครเสียสละมากกว่าใคร ว่าแล้ว อาจารย์ก็หันหน้าไปทางเจ้าสาวผู้เป็นลูกศิษย์
เธอพยักหน้า และรับบท footnote ทันที Comparative Advantage นะคะ คือหลักการที่ว่า ต่างคนต่างมีความสามารถคนละแบบ และเอาความชำนาญนั้นมาแลกเปลี่ยนกัน แทนที่จะมาแย่งแข่งในเรื่องที่ชำนาญเหมือนกัน
อาจารย์กล่าวต่อ ในสมัยโบราณนั้น comparative advantage มีโดยธรรมชาติ คิอผู้ชายทำงานข้างนอก ผู้หญิงทำงานบ้าน แต่สมัยนี้ ผู้หญิงผู้ชายเก่งเท่ากันแล้ว ทำให้เกิดปัญหาประเภทฉันทำมากกว่าเธอ เราจึงควรหลีกเลี่ยงการแบ่งงานเชิงปริมาณ เช่น ทำคนละครึ่ง เพราะนั่นเท่ากับว่าเราต้องมาตรวจนับว่าแต่ละคนทำถึงครึ่งหรือไม่ ซึ่งก็ชวนทะเลาะกันอีก แต่ถ้าเราตกลงแบ่งงานในสิ่งที่แต่ละคนถนัด ก็ไม่ต้องมาระแวง มาคอยนับ คอยจับผิด ทำนองเดียวกับการค้าระหว่างประเทศ ที่ถ้าต่างคนต่างผลิตและขายของที่ตนถนัด การขาดดุลการค้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบอะไร
เสียงแขกในงานพึมพำดูเหมือนเห็นด้วย เจ้าบ่าวเริ่มคลายเครียด ส่วนเจ้าสาวของเขาทำท่าจดจ่อเหมือนกับนักเรียนฟัง lecture มากกว่าจะวางท่าเป็นเจ้าสาวบนเวทีแต่งงาน
ในหนังสือ The Mathematics of Love ของ Hannah Fry สรุปงานวิจัยที่บอกไว้ครับว่า เวลามีเรื่องผิดใจกัน การมานั่งคุยเพื่อความเข้าใจกัน จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จของชีวิตคู่ ถ้าเก็บไว้ในใจ มันจะสะสมจนถึง critical mass และบันดาลความเสียหายฉับพลันได้ ดังนั้น การพยายามเก็บปัญหาไว้ จะไม่เป็นผลดี อันเป็นธรรมชาติว่าด้วย stability breeds instability หรือที่ว่า ความดูเหมือนเสถียรภาพนั้น ที่จริงคือ การบ่มเพาะความไร้เสถียรภาพ
และเวลาพูดคุยกันนั้น ที่สำคัญมากคือ อย่าลืมเรื่อง Prosecutors Fallacy ซึ่งเป็นสาเหตุร้ายอันดับหนึ่งในการผิดใจกัน พูดจบ อาจารย์หันไปทางเจ้าสาว
ค่ะ เอาสั้นๆนะคะ Prosecutors Fallacy คือ ความเข้าใจผิดว่า ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ a จากการเกิดของเหตุการณ์ b เป็นอย่างเดียวกันกับ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ b จากการเกิดของเหตุการณ์ a ซึ่งไม่ถูกต้อง
เช่น.. อาจารย์พูดต่อ ..ภรรยาสรุปทันทีว่า สามีห่างเหินไป หมายถึงมี something แน่ เพราะการมี something ย่อมทำให้สามีห่างเหิน ซึ่งคิดอย่างนี้ไม่เป็นตรรกะ เพราะถึงแม้ว่า การแอบไปมีกิ๊กทุกเคส ทำให้สามีห่างเหินกับภรรยาก็จริง ก็ไม่ได้หมายความว่า การห่างเหินทุกเคสจะต้องมีกิ๊กเสมอไป เขาอาจจะมีปัญหาในใจให้ขบคิด หรือกำลังซึมเศร้าจากงานก็ได้ การด่วนสรุปจึงเป็นการมโนไปเอง ทั้งที่จริงๆไม่มีอะไรเลย
อาจารย์หยุดพูดชั่วอึดใจ และชูแก้วในมือขึ้นมา เอาละครับ ผมขอเชิญท่านผู้มีเกียรติ ดื่มให้กับคู่บ่าวสาว
การดื่มตามด้วยเสียงไชโยสามครั้ง และแล้วก็ถึงช่วงสุดท้ายของงาน เจ้าสาวหันหลัง ในมือถือช่อดอกไม้กำใหญ่ผูกโบว์ ทุกคนนับพร้อมกัน หนึ่ง-สอง-สาม และเธอโยนช่อดอกไม้นั้นออกไป
ช่อดอกไม้นั้นละลิ่วลอยตกลงในมือของเพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่ง ที่รอรับได้อย่างเหมาะเจาะ เมื่อไหร่? เมื่อไหร่? เป็นคำถามจากโฆษก ตามด้วยเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆ
ตอนนี้รอ 37% ก่อนค่ะ เพื่อนเจ้าสาวคนนั้นตอบ
.