Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ธรรมะใกล้ตัว ... เพื่อสุขภาพใจ ที่ดี ...


ส่วนใหญ่ เวลาพูดถึงเรื่อง ความเจ็บป่วย เราก็มักคิดถึงแต่ ความเจ็บป่วย ทางกาย ซึ่งเห็นชัดเจน การดูแลรักษา ป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย ก็เน้นแต่การดูแลทางกาย ...

แต่ว่า สิ่งที่สำคัญก็คือ เรื่อง ของจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เราอาจไม่เคยได้คิดถึง ไม่เคยดูแลรักษา จิตใจ เลย ...



ผมได้สมัครรับเมล์นิตยสาร ธรรมะใกล้ตัว อ่านแล้วรู้สึกดี เลยนะมาฝากกัน ..

ถ้าใครสนใจ ก็สมัครได้ที่ .. //dungtrin.com/mail

ของดี ๆ แถม ฟรี อีกต่างหาก .. แบบนี้ ต้องช่วยกันบอกต่อ ...




จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว

กลางชล



สวัสดีค่ะ



ช่วงเดือนสองเดือนนี้นี่ มีวันหยุดให้เลือกหยุดได้หลายช่วงดีจังเลยนะคะ

นี่มองไปข้างหน้า สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ก็จะเป็นลองวีคเอนด์หรือวันหยุดยาวกันอีกแล้ว


หลายคนคงปลอดโปร่งโล่งใจและใช้โอกาสช่วงนี้ปลีกตัวไปภาวนา

แต่บางคนที่ได้คุยกัน ก็มีเหมือนกันค่ะที่บอกว่า คงต้องให้เวลาไปเที่ยวกับที่บ้าน

แล้วก็ชวนคุยไปถึงว่า พ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ยังไม่ค่อยเห็นดีเห็นงาม

กับการหันเข้ามาทางธรรมอย่างเต็มตัวของลูกหลานสักเท่าใดนัก

แม้ที่จริงแล้วท่านเหล่านั้นจะเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อ ทำบุญทำทานตามโอกาสก็ตาม



'เราเป็นคนดีก็พอแล้วนี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปนอนอยู่ว้งอยู่วัดอะไรอย่างนั้นเลย'

'แค่รักษาศีล ๕ ทำบุญทำทาน ไม่เบียดเบียนใคร เป็นคนดีของสังคมก็พอแล้ว'



นี่ล่ะค่ะ คำสำคัญที่ได้ยินบ่อย ๆ เลย

'แค่เราเป็นคนดีก็พอแล้ว...'


การเป็นคนดี อาจจะ 'พอ' แล้วจริง ๆ ถ้าเราเกิดมาในยุคที่ไร้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา

แต่เมื่อเราเกิดมาในกาลที่ยังมีโอกาสได้สดับตรับฟังความจริงอันเป็นที่สุดจากพระพุทธเจ้า

เสมือนมีผู้ปลดปมผ้าผูกตาสีดำที่ปิดมายาวนานของเราให้คลายออก เปิดเปลือกแห่งมายา

และชี้เส้นทางไปสู่ประตูออกจากการเดินทางอันเวิ้งว้างยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนี้ได้


เราจะรู้สึกเลยว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งนี้ แค่เป็นคนดี... ไม่พอ



อย่างน้อย ไม่ต้องมองไปไหนไกล เอาแค่ชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า

เป็นคนดี ก็ยัง 'ทุกข์'



คนดี... ยังถูกนินทาว่าร้าย คนดี... ยังถูกคนรักทิ้ง ยังผิดหวัง ยังพลัดพราก

ยังป่วยไข้ ยังมีคนริษยา ยังธุรกิจล้มไม่เป็นท่า ยังเผชิญหน้ากับความตาย ฯลฯ

หลายคนในโลก ก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นคนดี...

แต่กลับหาทางออกให้กับตัวเองในสถานการณ์เหล่านี้ไม่เจอ

และกระทั่ง อาจร้องไห้ฟูมฟายทำร้ายตัวเองในเวลาที่เศร้าอย่างที่สุดได้ด้วยซ้ำไป



ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว แก่นอันเป็นที่สุดของศาสนาพุทธ

แจกแจงและบอกไว้ให้หมดแล้วว่า เราจะอยู่กับโลกอย่างไรโดยไม่ต้องเป็นทุกข์

แต่เหมือนหลายคนจะพอใจอยู่แค่ที่ว่า ไปวัดทำบุญ ใส่ซองผ้าป่า ชวนกันไปเวียนเทียน

หรือถวายสังฆทาน ฯลฯ แล้วก็กลับออกจากวัดมาหน้ามืดหน้ามัวเหมือนเดิม

โดยที่ไม่เคยรู้ หรือมีความสนใจใคร่ศึกษาให้รู้ลงไปเลยว่า

ที่สุดของพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้ามุ่งตรัสสอนนั้น ทรงมุ่งชี้แนะสิ่งใดกันแน่



เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยตัวเองเหมือนกันนะคะ

สมัยก่อนตอนยังเป็นวัยรุ่น ยังไม่รู้จักธรรมะ ก็เป็น 'คนดี' แบบนั้นกับเขาเหมือนกันค่ะ

แต่เป็นคนดีที่ช่างอ่อนไหว เห็นใจใครต่อใครเขาไปทั่ว ช่วยสุดตัวแม้ต้องลำบาก

แถมถ้าไม่ช่วย ถ้าทำไม่ดี ก็พลอยรู้สึกไม่ดีอีก เข้าข่ายที่เขาเรียกว่า 'ติดดี' นั่นล่ะค่ะ : )



มองย้อนไปแล้วก็รู้สึกเห็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะว่า แม้จะดำรงตนอยู่ในความดีงามแค่ไหน

แต่ถ้าขาดภูมิคุ้มกันทางด้านการ 'เห็นตามจริง' ด้วยเหตุด้วยผลเสียแล้ว

ถึงเวลาทุกข์ คนดีก็ทุกข์ไม่ได้น้อยไปกว่าใครเลย หรืออาจจะมากกว่าได้ด้วยซ้ำ



จนเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อตัวเองได้ค่อย ๆ เข้ามาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

ได้เริ่มเข้าใจเหตุผลแห่งกรรมวิบาก ได้เริ่มมีความเข้าใจว่า ทุกข์ในนิยามของพุทธ

กินความกว้างขวางแค่ไหน อะไรเป็นเหตุ อะไรคือวิธีการไปสู่การไม่ต้องทุกข์อีกเลย

ได้เริ่มน้อมนำธรรมะนั้นสู่ใจ และเริ่มลงมือปฏิบัติเตาะ ๆ แตะ ๆ ไปกับเขาบ้าง



ก็กลับได้พบด้วยตนเองว่า เพียงเบื้องต้นเท่านี้

ถึงคราวลงสนามสอบที่เจอทุกข์จริง ๆ ก็ทุกข์ไม่นานอย่างแต่ก่อนแล้ว

แม้จะมิใช่หมดสิ้นในทันที แต่จิตใจก็มีความมั่นคงขึ้น ดำเนินชีวิตได้ต่อไปด้วยใจที่ยอมรับ

และเรียนรู้ที่จะแหงนหน้าเชิดปีกออกตัวทิ้งห่างจากความทุกข์ได้เร็วขึ้นโดยไม่เสียดาย



รู้เลยค่ะว่า ถ้าเราไม่อบรมสั่งสอนจิตใจของเราให้มีรากฐานของธรรมะไว้ก่อน

เวลาเจอทุกข์หนัก ๆ ในชีวิต เราคงต้องเจ็บแรงกว่านี้มาก เพราะอาจรับมือไว้ไม่ทัน

ขนาดตัวเองยังเป็นเพียงผู้ศึกษา ผู้เริ่มปฏิบัติที่ยังเพียงเตาะแตะ ๆ เท่านั้น

แค่มีความเข้าใจอันถูกตรงตามจริง น้อมรับคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าสู่ใจด้วยศรัทธา

และฝึกเจริญสติไว้ตามกำลังเท่าที่พอจะทำได้ ทุกข์ก็บรรเทาเบาบางได้ถึงเพียงนี้แล้ว



หากใครฝึกหัดเจริญสติภาวนาอย่างพากเพียร ไม่ละทิ้ง วันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี

จนเห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี้ได้ละเอียดตามจริงลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

เชื่อจริง ๆ ค่ะว่า ผู้นั้นย่อมเป็นอิสระจากทุกข์ทางใจได้จนหมดสิ้นวันหนึ่งอย่างแน่นอน



หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านยังเคยเน้นไว้เลยนะคะว่า

'เราต้องฝึกของเราไว้ ไม่มีใครช่วยเราได้ เราจะต้องช่วยตัวเอง

เพราะฉะนั้น การช่วยตัวเองก็คือ ต้องฝึกซ้อมไว้

เหมือนเราจะต้องหัดว่ายน้ำก่อนที่จะตกน้ำ

เราต้องหัดเจริญสติก่อนที่จะเจอความทุกข์ย่ำยีจนกระทั่งโงหัวไม่ขึ้น

ต้องสู้ไว้ก่อนนะ ถ้าตอนนี้เราไม่ยอมสู้ เราไม่หัดว่ายน้ำ ตกน้ำก็ตาย

ตกน้ำไป กะว่าจะไปหาตำราว่ายน้ำนี่ ไม่ทันแล้วนะ...'



อย่างที่ท่านว่านี่ล่ะค่ะ

ถึงยามทุกข์ขึ้นมาจริง ๆ ธรรมะนี่แหละ ที่จะช่วยเราได้

และธรรมะที่จะแก้ทุกข์ได้ จะต้องเป็นธรรมะที่เข้าถึงจิตถึงใจจริง ๆ



และธรรมะจะเข้าถึงจิตถึงใจได้ ก็ไม่ได้เกิดจากการจดจำพร่ำท่องจนคล่องแคล่ว

แต่ต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติ หัดมีสติตามรู้กายตามรู้ใจ ตามจริง ด้วยตนเอง

ไม่ได้ทำอะไรให้ผิดแผกแตกต่าง หรือบังคับร่างกายจนเหน็ดเหนื่อยราวกับเรียน ร.ด. : )

หลวงพ่อท่านว่า หิวก็กิน อิ่มก็นอน ง่ายเพียงนั้น (แต่ไม่ใช่ตะกละ หรือขี้เกียจนะคะ) : )

ขอเพียงเข้าใจวิธีการจริง ๆ ค่อย ๆ ศึกษาไป ไม่ทันไร ย่อมเห็นผลด้วยตนเองแน่นอน



บางคนอาจจะนึกแย้งว่า 'การมองโลกในแง่ดี ก็ช่วยแก้ทุกข์ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?'

ก็ได้อยู่เหมือนกันนะคะ หลายคนก็ใช้วิธีนั้นและก็ได้ผล แต่อยากลองคัดคำสอนของ

หลวงพ่อปราโมทย์ ที่ท่านเขียนไว้เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส มาฝากกันสักนิดค่ะ



'การมองโลกในแง่ดีเพื่อสร้างความพอใจในสิ่งที่ตนมี ยอมรับในสิ่งที่ตนได้

เป็นคำสอนของปราชญ์ทั่วไป รวมทั้งพระศาสดาของเราชาวพุทธด้วย

เช่น ทรงสอนให้เรามองโลกด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกและสรรพสัตว์

แต่คำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง

เหนือการมองโลกในแง่ดี คือ 'การมองโลกตามความเป็นจริง'

การมองโลกตามความเป็นจริงของพระพุทธศาสนานั้นลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก

คือท่านสอนตั้งแต่วิธีการมองโลกตามความเป็นจริง

ให้รู้ปรากฏการณ์ทั้งปวงที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจตามที่มันเป็น

โดยไม่นำประสบการณ์ หรือความคิด เข้าไปเบี่ยงเบนการเรียนรู้นั้น

ท่านชี้บอกกระทั่งว่า เมื่อมองโลกตามความเป็นจริงแล้ว เราจะเห็นอะไร

คือเราจะเห็นว่า สิ่งที่ถูกเห็นทั้งปวงนั้น มีความเกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับไปเมื่อเหตุดับ

ท่านสอนให้มองย้อนเข้ามาที่ตนเองด้วย ไม่ใช่เพียงรู้โลกตามความเป็นจริงเท่านั้น

หากแต่ยังให้ รู้จักมองตนเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ทั้งปวงด้วย

ความรู้ทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นความรู้ที่แจ่มแจ้ง

คือรู้ตามความเป็นจริงถึงสิ่งภายนอก อันได้แก่ปรากฏการณ์ทั้งปวง

และรู้ชัดถึงสิ่งภายใน อันได้แก่สิ่งที่เรียกว่า เรา เรา เรา ด้วย

เมื่อมองทุกอย่างตามความเป็นจริงจนถึงขั้นปราศจากตัวเราแล้ว

สิ่งภายนอกทั้งปวงจะมีความหมายอะไร

ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องคอยนั่งปลอบใจตนเอง

หรือพยายามมองโลกในแง่ดีเป็นคราว ๆ ไป

การแก้ปัญหาความทุกข์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจึงมีจุดสิ้นสุด

หากจะสรุปรวบย่อ ก็อาจกล่าวได้ว่า


มองโลกแง่ดี มีความสุข

มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์'



การมีพื้นฐานเป็นทานและศีลนั้น ย่อมนำชีวิตไปสู่เส้นทางที่ดีแน่นอนนะคะ

แต่เป็น 'คนดี' แบบที่เป็น 'คนไม่ทุกข์' ด้วย ชีวิตน่าจะสุขเบากว่ากันเป็นไหน ๆ

เจริญสติไปเรื่อย ๆ ถึงวันนึง ไม่ต้อง 'เป็น' อะไร ๆ ที่สมมติกันขึ้นมาสักอย่างเดียว

ละทิ้งความสำคัญมั่นหมายผิด ๆ ได้หมด วันนั้นล่ะค่ะ ที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านว่า

จะพบกับความสุขประณีตชนิดที่สุขอย่างที่เราเคย ๆ รู้จัก จะไม่มีวันเทียบเคียงได้เลย...



เรื่องน่าสนใจประจำฉบับ



'นิยาย/เรื่องสั้น อิงธรรมะ' ฉบับนี้ เสนอเรื่องสั้น ๒ ตอนจบ

เรื่อง โรงเรียนวัฏสงสาร โดย คุณปุ่นบ้อกี๋ เป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ

ตัวละครยังคงผ่านห้องเรียนห้องแล้วห้องเล่า ด้วยแวดล้อมที่พานพบหลากหลาย

ห้องสุดท้ายของเขาอยู่ที่ไหน เขาจะสอบผ่านมันไปได้หรือไม่ ตามไปให้กำลังใจเขากันนะคะ



แล้วเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นเย็น ๆ ใจในคอลัมน์ 'เที่ยววัด' กันบ้าง

คุณ dd1 จะพาเราไปเยือนอารามแห่งหนึ่งทางเหนือที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามยิ่ง

กับตอน เที่ยววัดน้ำฮู ดูพระอาทิตย์ตกดิน ดื่มด่ำธรรมชาติเมืองปาย

สงสัยมั้ยล่ะคะ ว่า 'น้ำฮู' คืออะไร มีที่มาอย่างไร ไปฟังเกร็ดประวัติกับ คุณ dd1 ได้เลยค่ะ



ปิดท้ายด้วยคอลัมน์ 'แง่คิดจากหนัง' ที่ คุณชลนิล ได้ฝากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง

ที่แม้จะออกจากโรงไปนานแล้ว แต่เนื้อหาและความน่ากลัวของมันยังคงไม่ล้าสมัยเลย

กับเรื่อง The Day After Tomorrow – อย่าประมาทโลก

บางที อาจจะมีวิกฤติบางอย่างที่ใกล้ตัวและน่ากลัวกว่าแค่โลกร้อนอย่างที่เราคิดก็ได้นะคะ



ข่าวสารและกิจกรรมน่าสนใจ



ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณคุณผู้อ่านมาก ๆ นะคะ ที่ช่วยกันตอบแบบสอบถามเข้ามามากมาย

อดใจรอกันอีกนิดนะคะ วันเสาร์ที่ ๓ พ.ค. นี้ ทุกท่านก็จะสามารถเข้าไปอ่าน

ผลสำรวจความคิดเห็นสมาชิกผู้อ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัว

และตรวจรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับของที่ระลึกจากนิตยสารของเราได้ ที่ Link นี้เลยค่ะ

//www.dungtrin.com/mag/survey042008.html



บ้านอารีย์ ( //www.baanaree.net ) มีตารางบรรยายธรรมดี ๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ

ใครพอมีเวลาว่างวันหยุด วันเสาร์ที่ ๑๐ พ.ค. นี้ ขอเชิญไปร่วมฟังการบรรยายธรรม

โดย อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เจ้าของหนังสือ 'จิตสดใสแม้กายพิการ'

เวลา ๑๐.๐๐ น. นะคะ และใน วันศุกร์ที่ ๑๖ พ.ค.

พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก วัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี

จะมาบรรยายธรรมที่บ้านอารีย์เช่นกัน เวลา ๑๘.๐๐ น. ค่ะ



แจ้งข่าวโครงการดี ๆ จากสำนักพิมพ์ DMG อีกหนึ่งโครงการค่ะ

ท่านใดที่ประสงค์จะเป็นตัวแทน ส่งมอบหนังสือและซีดีธรรมะโดยสำนักพิมพ์ DMG

ให้กับ ผู้พิการ ห้องสมุดโรงเรียน และวัด โดยเฉพาะวัดที่อยู่ห่างไกล

สามารถติดต่อขอรับได้ที่คุณปวีณาหรือคุณแพร สำนักพิมพ์ DMG โทร. ๐๒ ๖๘๕ ๒๒๕๔

โดยจะมีหนังสือและซีดีจำนวนประมาณ ๓๐๐ ชุดพร้อมบริจาคให้

แต่ละชุดจะมีรายการดังนี้ค่ะ //www.geocities.com/sxs89/BooksCDsDMG.html

ถือว่าเป็นการช่วยกันกระจายบุญ และแบ่งปัญญาร่วมกันนะคะ



ส่วนใครที่ชื่นชอบงานดนตรี ทางสำนักพิมพ์ DMG ฝากเชิญชวนไปฟังคอนเสิร์ตกันค่ะ

กับมินิคอนเสิร์ต 'เปิดโลกเย็น' เนื่องในโอกาส ๑๐๒ ปีท่านพุทธทาสภิกขุ

โดย จีวันแบนด์ และศิลปินรับเชิญพิเศษมากมาย ใน วันศุกร์ที่ ๖ มิ.ย. ๑๙.๐๐ น. นี้

รายได้ส่วนหนึ่งจัดทำซีดีเพลงพุทธทาสฉบับยุวชน 'คบเด็กสร้างโลก'

เพื่อแจกจ่ายให้สถาบันการศึกษาและหน่วยงานเยาวชนต่าง ๆ ติดตามรายละเอียดได้

ที่ link นี้เลยค่ะ //www.dmgbooks.com/site/images/banner/banner25.pdf



แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้านะคะ สวัสดีค่ะ








อ่านนิตยสารในรูปแบบอื่นๆ



อีเมล์ฉบับนี้ได้แนบ นิตยสารในรูปแบบ .doc มาแล้ว



อ่านทุกฉบับผ่าน website

//dungtrin.com/mag



อ่านด้วยโปรแกรม Word

//dungtrin.com/mag/word/41.doc



เสียงอ่านหนังสือธรรมะใกล้ตัว wma mp3

//dungtrin.com/mag/sound.php?41



รูปแบบ PDF คุณภาพสูง และ PDF Booklet พร้อมพิมพ์ เป็นหนังสือ

//dungtrin.com/mag/?41.pdf



สมัครสมาชิกนิตยสาร รับอีเมล์ทุกวันพฤหัสบดี สัปดาห์เว้นสัปดาห์

//dungtrin.com/mail




Create Date : 10 มิถุนายน 2551
Last Update : 10 มิถุนายน 2551 17:45:14 น. 3 comments
Counter : 1190 Pageviews.  

 


มาทำความรู้จัก

มาทักทายค่ะ

ป้าเป็นคนใหม่ของที่นี่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก

การเขียนก็ประสาผู้สูงวัย
..........................................


ในเรื่องสุขภาพยังไม่มีอะไรจะรบกวนปรึกษาค่ะ

ป้าเป็นสมาชิกธรรมะใกล้ตัวเหมือนกัน

ขอบพระคุณแทนชุมชนชาวบล็อกที่คุณหมอกรุณานำมาแบ่งปัน

มีความสุขมากๆนะคะ




โดย: ยายกุ๊กไก่ วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:19:11:38 น.  

 
"บ้าได้ถ้วย" ห่างไกลธรรมะมากมามาย ไม่ลึกซึ้งศีล สมาธิ ปัญญา เลย

ชีวิตนี้เลยเป็นได้แค่ "ไม่ช่ายคนดี แต่เบื่อหน่ายที่จะทำในสิ่งที่เลวร้าย"

ขอบคุณที่นำมาฝาก จ๊ะ


โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:36:27 น.  

 

ขอบคุณที่แวะมาแจม... ไม่งั้นเหงาแย่เลยครับ


โดย: หมอหมู วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:16:11:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]