[Beauty Talk] Dermal Filler with Immagini & Daisy Diva Clinic

ใครที่ติดตามข่าวคราวของปูเป้ใน Facebook รวมถึงทาง Youtube น่าจะทราบกันแล้วว่าเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปูเป้ไปให้คุณหมอที่ Immagini Clinic & Daisy Diva Clinic จิ้ม BOTOX ฉีด Filler รวมถึงเลเซอร์ขจัดขนถาวร มา (จัดเต็มมาก ๆ)

เรื่องขจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์นั้นเป็นสิ่งที่เคยคิดอยากจะทำมานานแล้ว แต่เรื่องฉีด Filler และ BOTOX นี่สิ บอกตรง ๆว่าไม่เคยอยู่ในสมองมาก่อน ไม่ใช่กลัวเจ็บ ไม่ใช่เพราะไม่อยากดูดี ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะปูเป้กลัวเข็มและกลัวเลือดมาก (ไม่ได้กระแดะนะ...แต่เจาะตรวจเลือดยังวูบลมจับมาแล้วเลย)

มีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยเลยที่จะแวะเวียนมาขอคำปรึกษาเรื่องการฉีด BOTOX หรือฉีด Filler กับปูเป้ ผมก็สามารถให้ข้อมูลได้จากการศึกษาอ่านข้อมูลทั้งจากตำรา จากการขอคำปรึกษาจากผู้รู้เพื่อมาตอบให้กับทุกคน แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวเอง ไม่เคยลองเอง ไม่รู้ว่าความรู้สึก ก่อน ระหว่าง และหลังทำเป็นอย่างไร ต้องดูแลหรือเตรียมตัวยังไงบ้าง



คราวนี้ได้มีโอกาสได้ทดลองใช้บริการของ Immagini Clinic & Daisy Diva Clinic ปูเป้ก็คิดหนักเป็นเดือนเลยว่าจะทำ...หรือไม่ทำดี ใจนึงก็อยากรู้...แต่ก็กลัว สุดท้ายก็ตัดสินใจทำและรู้สึกดีกับผลที่ได้ วันนี้ปูเป้เลยจะมาบอกเล่าประสบการณ์รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของการทำ BOTOX กับ Dermal Filler และการขจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์ให้ทุกคนได้เก็บเป็นข้อมูลกัน โดยในตอนนี้ปูเป้จะขอพูดถึงเรื่องของการฉีด Filler เป็นอย่างแรก โดยจะนำเสนอในรูปแบบของ คำถาม-คำตอบ เพราะจะได้ง่ายแก่การจับประเด็นของผู้อ่านนะครับ





"Dermal Filler" คืออะไร? แล้วใช้สารอะไรฉีดเข้าไปในผิวของเรา?


เป็นที่รู้กันดีว่า "ริ้วรอย" เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเพราะ "คอลาเจน" ในผิวชั้นในหดหายไป ทำให้โครงสร้างของผิวเกิดการยุบตัวเป็นร่องลึก หากเราสามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปนั้นได้ "ริ้วรอย" ก็จะหายไป... นี่เป็นคอนเซปต์ง่าย ๆ ที่เป็นที่มาของการฉีดสารเติมเต็มเพื่อการลดริ้วรอย หรือ Dermal Filler นั่นเอง

การทำ Dermal Filler เริ่มต้นเมื่อปี 1981 ทันทีที่ทาง FDA ของอเมริกาได้รับรองการฉีด Dermal Filler เพื่อการเสริมความงามเป็นครั้งแรก สารที่ฉีดเข้าเติมเต็มริ้วรอยในเริ่มแรกนั้นคือ "คอลาเจน" ที่สกัดจากวัวซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางรายได้จึงต้องทำการทดสอบหาอาการแพ้ก่อนทุกครั้ง มีการพัฒนาคอลาเจนมนุษย์ที่สร้างด้วยเทคโนโลยีทางชีววิศวกรรมซึ่งตัดปัญหาเรื่องการเกิดอาการแพ้ไปได้ แต่ไมได้ตัดปัญหาเรื่องราคาที่ยังสูงอยู่ ทำให้ "คอลาเจน" ถูกเลิกใช้เป็นสารเติมเต็มในประเทศอเมริกาเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาเพราะแพ้ทางให้สารเติมเต็มชนิดใหม่ ที่ดีกว่าในทุก ๆ ด้าน นั่นคือ "ไฮยาลูโรนิค แอซิด" (Hyaluronic Acid)



Hyaluronic Acid เป็นสิ่งที่มีอยู่ในผิวชั้นในตามธรรมชาติ การฉีด Hyaluronic Acid ลงไปในผิวนั้นนอกจากจะช่วยเติมเต็ม ให้ความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มกับผิวแล้ว ก็ยังช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเซลล์ ช่วยให้คอลาเจนและอีลาสตินเกี่ยวกันอย่างมั่นคงมากขึ้นด้วย และโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ก็หาได้ยากมาก ๆ เพราะ Hyaluronic Acid นั้นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ทำให้ Hyaluronic Acid เป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการเป็นสารเติมเต็ม (ปัจจุบันนี้ Hyaluronic Acid เป็นสารเติมเต็มที่นิยมใช้กันแพร่หลายที่สุด แต่อนาคตจะมีอะไรใหม่มาแทนที่ก็ต้องคอยอัพเดทกันอีกที)





Dermal Filler นอกจากจะใช้กับการลดริ้วรอยลึกแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในแง่อื่นอีกด้วยไหม?


การใช้ Hyaluronic Acid เพื่อฉีด Dermal Filler นั้นใช้ประโยชน์หลัก ๆ อยู่ 2 ด้านก็คือ "ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องริ้วรอย" และ "ฉีดเพื่อปรับรูปทรงของใบหน้า" เช่นเสริมจมูก เสริมคาง โหนกแก้ม เพิ่มความอิ่มให้ริมฝีปาก ซึ่งเห็นผลทันทีหลังฉีดและไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการทำศัลยกรรม (แต่ผลที่ได้ก็เป็นการชั่วคราว) ซึ่งการใช้งานที่แตกต่างกันนี้ก็ต้องใช้สาร Hyaluronic Acid ที่มีขนาดโมเลกุลหรือความเหนียวที่ต่างกัน และการฉีดในระดับความลึกของชั้นผิวที่ต่างกัน



หลักการง่าย ๆ คือการฉีดเพื่อปรับรูปหน้า เช่นการฉีดเพื่อเสริมจมูกนั้นจะต้องเลือก Hyaluronic Acid ชนิดเหนียวเพื่อให้สามารถปั้นแต่งให้คงเป็นรูปทรงที่ต้องการได้ การฉีดเพิ่มเติมเต็มร่องริ้วรอยจะต้องเลือกชนิดที่อ่อนนุ่มเพื่อความเป็นธรรมชาติ การเลือกขนาดโมเลกุลของ Hyaluronic Acid นั้นแพทย์จะเป็นผู้เลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน





คำถามที่ควรถามคุณหมอก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับบริการ




ปูเป้ List คำถามพื้นฐานที่ควรจะรู้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจดังนี้

- คุณหมอมีความชำนาญในด้านนี้รึเปล่า มีเอกสารหรือใบรับรองบ้างไหม?

- สารที่จะฉีดเข้าไปนั้นเป็นชนิดใด? เป็นชนิดที่ได้รับการรังรองจาก FDA หรือไม่? ชื่ออะไร ยี่ห้ออะไร? (ถ้าขอดูได้ยิ่งดี)

- มีผลขางเคียงไหม?

- ต้องฉีดในปริมาณเท่าไหร่ บริเวณใดบ้าง?

- ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่?

- มีรูปของผู้ที่คุณหมอได้ทำการรักษาก่อนหน้านี้รึเปล่า ขอดูเป็นตัวอย่างได้ไหม?

- จะสามารถทำ (เรื่องที่คุณกังวลว่าจะทำกับบริเวณที่ทำการฉีด) ได้หรือไม่?





ถ้าทำ Dermal Filler แล้วไม่ชอบล่ะ? สามารถแก้ไขได้หรือไม่?


หากผลที่ออกมาไม่เป็นที่พอใจ คุณหมอสามารถฉีดสารที่มีชื่อว่า Hyaluronidase ซึ่งจะเข้าไปสลาย Hyaluronic Acid ที่ฉีดเข้าเติมเข้าไปได้ แต่วิธีนี้เห็นว่ายังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA อย่างเป็นทางการ และการสลายจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปใน 2 - 4 สัปดาห์ครับ เพื่อความชัวร์ที่สุด เลือกคุณหมอเก่ง ๆ จากสถานพยาบาลที่ไว้ใจได้จะดีที่สุด ท่องเอาไว้ครับว่า "แพงไม่ว่า แต่ข้าขอชัวร์"





ค่าใช้จ่ายในการทำ Dermal Filler ประมาณเท่าไหร่?


ค่าบริการในการทำ Dermal Filler จะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ในการฉีดเข้าไปเป็นหลัก ยิ่งฉีดเยอะค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงตามไป โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 10,000 บาท ถึง 20,000 บาท แต่ทางที่ดีที่สุด เราควรไปปรึกษาแพทย์โดยตรงเพื่อทำการประเมิณปริมาณของสารที่ต้องฉีดเพื่อคิดค่าใช้จ่ายในการทำ Dermal Filler (ซึ่งปูเป้คิดว่าคลีนิคที่ดีจะไม่คิดค่าใช้จ่ายในการเข้าขอคำปรึกษา)





การฉีด Dermal Filler เจ็บไหม?


หากพื้นที่ ๆ ฉีดนั้นมีขนาดใหญ่ หรือต้องฉีดในปริมาณที่มาก (อย่างเช่นฉีดเพื่อปรับรูปจมูก) จะมีการทายาชา + การประคบเย็น หรือถ้าคนไข้ต้องการก็สามารถฉีดยาชาเพื่อบล็อคเส้นประสาทได้

ส่วนตัวที่ปูเป้ลองมากับตัวเองนั้นบอกได้ว่าไม่เจ็บเท่าไหร่ครับ จะรู้สึกนิดหน่อยตอนที่คุณหมอบีบจมูกเพื่อกันแนวให้สารที่ฉีดเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องการเท่านั้น การเติมปลายจมูกหรือจุดที่มีเส้นประสาทรวมอยู่มากอาจรู้สึกเจ็บบ้างครับ





หลังฉีด Dermal Filler ต้องพักฟื้นไหม? จะเห็นรอยช้ำหรือบวมมากรึเปล่า?



ไม่มีความจำเป็นต้องพักฟื้นหลังการทำ Dermal Filler ครับ อาการบวมและแดงอาจมีบ้างในระยะแรกซึ่งคุณหมอจะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดอาการอักเสบ ลดอาการบวมมาให้ทานด้วย จะมีรอยของเข็มที่ฉีดเข้าไปเป็นจุดแดง ๆ บ้าง จะกี่จุดก็ขึ้นอยู่กับว่าแพทย์ที่ทำการรักษาจะมีเทคนิคในการฉีดอย่างไร ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเทคนิคเฉพาะตัวตามความถนัด (มันเป็นเรื่องของศิลปะนะ การฉีด Filler เนี่ย ไม่ใช่หมอที่ไหนก็ทำได้ ต้องมีความ Art ในตัวเหมือนกันว่าทำแบบไหน ฉีดเท่าไหร่ถึงจะสวย เหมาะกับรุปหน้าของคน ๆ นั้น)

รอยช้ำแดง ม่วง เหลือง เขียว นั้นอาจเกิดขึ้นได้ในรายที่จะฉีดเพื่อปรับรูปจมูก แต่เดิมมีดั้งน้อยนิด แพทย์ก็ต้องดึงต้องบีบจัดทรงกันเยอะหน่อย ส่วนตัวที่ปูเป้ทำมาไม่มีรอยช้ำเลยครับ มีรอยแดงจาง ๆ หลังจากทำเสร็จใหม่ๆ เท่านั้น ผ่านไป 18 ชั่วโมงก็เห็นแค่รอยเข็มฉีดยาซึ่งก็จางหายไปหมดใน 2 - 3 วัน





เป็นคนกลัวเข็ม แล้วรู้สึกยังไงบ้างกับการฉีด Dermal Filler เพื่อปรับรูปจมูก


ปูเป้ทำการฉีด Filler เพื่อปรับรูปจมูก (พร้อมกับ BOTOX และขจัดขนถาวรทั่วใบหน้าในวันเดียวกัน) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ Immagini Clinic สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นด้วยการเข้าพบคุณหมอเพื่อบอกความต้องการว่าเราอยากให้จมูกของเราออกเป็นอย่างไร ปูเป้ก็อยากได้แบบให้มันเป็นธรรมชาติ (เพราะเดิมก็พอใจกับหน้าตัวเองอยู่แล้ว) คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่าจะเติมตรงไหน เท่าไหร่ จะออกมาเป็นแบบไหน พร้อมให้ความมั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาเรียบร้อย


(ซ้าย - แปะยาชาในบริเวณที่จะฉีด Filler / Botox และหนวดเส้นใหญ่ก่อนทำการขจัดขนถาวร ขวา - หลังขจัดขนถาวรแล้วมีรอยจ้ำแดงประปรายหลังการทำ จมูกชาดีแล้วเตรียมตัวเข้ารับการฉีด Filler เป็นอย่างต่อไป)

หลังจากทำความสะอาดผิวจนหมดจดแล้ว พนักงานก็จะทายาชาในบริเวณที่จะทำการฉีด Filler (รวมถึง Botox ด้วย) แปะฟิลม์พลาสติคทับลงไปเพื่อให้ตัวยาซึมเข้าในผิวได้ดีขึ้น จะได้ชาเยอะ ๆ ไม่รู้สึกเจ็บ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 45 นาที (ระหว่างรอยาชาที่จมูกทำงานเต็มที่ ยาชาที่หนวดและกรามก็ได้ที่แล้ว ปูเป้เลยยิงเลเซอร์ Gentle Yag ขจัดขนถาวรทั่วใบไปพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลา)

พอถึงคิวของการฉีด Filler ปูเป้พยายามหลับตาไม่มองเข็ม ทำสมาธิ หรือพูดเรื่องอื่นๆ เพื่อดึงความสนใจของตัวเองไปจากการฉีดและเรื่องเข็ม คุณหมอบอกว่าจะลองเอาปลายเข็มจิ้มที่จมูกเพื่อทดสอบว่ายาชาทำงานเต็มที่หรือยัง เราก็รอและก็ถามว่าหมอจิ้มรึยัง? แต่คุณหมอบอกว่าจิ้มไปแล้ว.... โอ้วววว ขอบอกว่าไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรทิ่มลงไปบนหน้า ไอ้เราก็เลยรู้สึกเบาใจขึ้นมาเยอะเลยทีเดียว

การฉีดเติมบริเวณดั้งจมูกที่บุ๋มไปเล็กน้อยนั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย จะมีรู้สึกแน่น ๆ บ้างเวลาที่คุณหมอบีบเพื่อให้ Hyaluronic Acid เข้าไปอยู่ในแนวที่ต้องการเท่านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งการฉีดเติมปลายจมูกซึ่งต้องทิ่มเข็มจากปลายจมูกเข้าไป ถามว่าเจ็บมั้ย? ไม่เจ็บเลย... แต่รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรวิ่งเข้ามาในจมูกของเรา จินตนาการในหัวบรรเจิดเห็นเป็นฉาก ๆ ว่าเข็มมันทิ่มเข้ามาลึกแค่ไหน ความหวิวมันก็ค่อย ๆ แล่นเข้ามาทั่วร่างกาย สุดท้ายปูเป้ก็เป็นลมพับก่อนที่การฉีดจมูกจะเสร็จ


(หลังฉีด Filler เสร็จ เห็นรอยแดงและบวมจากการฉีดบ้างไม่มาก แต่ยังน้ำตาคลอเบ้าอยู่เลย >_<)



(18 ชั่วโมงหลังฉีด Filler ปรับรูปจมูก ไม่มีรอยช้ำ มีเพียงอาการบวมเล้กน้อยซึ่งจะยุบลงจนเข้ารูปในไม่กี่วัน)



(เทียบรูปก่อน - หลังฉีด ให้เห็นกันชัด ๆ)


ขอเล่าข้ามตอนที่เป็นลมนะครับ เพราะสภาพน่าอับอายมาก แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้กลับมาฉีดต่อจนเสร็จ เพราะคิดว่าเราต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้มันจะฝังใจจนไม่กล้ากลับมาฉีดอีกเลย แต่ถ้าผ่านไปได้มันก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว


(วันที่ 4 หลังจากฉีด Filler ก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย ไปออกงานได้ตามปกติ)


สรุปแล้วการแก้ตัวรอบสองผ่านไปด้วยดีครับ นอกจากจะได้จมูกทรงสวยถูกใจแล้ว ยังภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ที่สามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองจนได้





การดูแลหลังฉีด Dermal Filler ต้องทำอย่างไรบ้าง และการฉีดแต่ละครั้งจะอยู่ได้นานแค่ไหน?


การดูแลตัวหลังการฉีด Dermal Filler ก็คือให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมแดง อย่าทำกิจกรรมที่ต้องทำให้เลือดสูบฉีดหรือดื่มแอลกอออล์เพราะจะทำให้อาการบวมแดงหนักขึ้น ทานยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามเวลาที่กำหนดจนหมด การนอนให้นอนได้ปกติ ตะแคงพอได้ แต่หน้านอนคว่ำเด็ดขาด

การทำความสะอาดในช่วงวันแรกหลังจากการฉีด แนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาด ๆ เพื่อเช็ดทำความสะอาด หรือใช้กระดาษทำความสะอาดเช็ดเบา ๆ ไม่ควรไปยุ่งจับบริเวณที่ฉีดมากนักเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อ หลังจากผ่านช่วง 1 - 2 วันแรกแล้วก็สามารถใช้ Cleanser ชนิดอ่อนโยนทำความสะอาดได้ตามปกติ

ในระหว่างที่อาการบวมหรือรอยแดงยังมีอยู่ ให้งดแต่งหน้ารวมถึงงดการใช้ยารักษาสิว เครื่องสำอางหรือยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA / BHA รวมถึงยากลุ่มกรดวิตามินเออย่าง Retin-A และ Differin


(คุณหมอนัดตรวจอีกครั้งหลัง 2 สัปดาห์ เพื่อเช็คและปรับแต่งรูปทรงเป็นครั้งสุดท้าย)


ในช่วงสองสัปดาห์แรกของการฉีด Filler นั้นไม่ควรถูก นวด หรือกดแรง ๆ บริเวณที่ทำการฉีด ในช่วงนี้สารที่ฉีดเข้าไปจะยังไม่เซ็ทตัวดีและสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ ถ้ารูปทรงที่คุณหมอจัดแต่งมีเบี้ยวไปบ้างก็สามารถจัดแต่งรูปทรงได้เอง แต่คุณหมอจะมีการนัดพบอีกครั้งหลังจากฉีดไปสิงสัปดาห์เพื่อติดตามผล รวมถึงจัดรูปทรงให้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ Hyaluronic Acid จะเซ็ทตัวเต็มที่ จะนวดหน้าก็สามารถทำได้แล้วครับ (แต่ปูเป้รอ 1 เดือนเลยถึงจะนวดหน้า แบบว่าเอาชัวร์ไว้ก่อน...)

การฉีด Hyaluronic Acid นั้นสามรถอยู่ได้อย่างต่ำ 8-12 เดือน ถ้าดูแลดี ๆ อาจอยู่ได้ถึง 18 เดือนทีเดียว การดูแลที่ดีก็ได้แก่

1. ดื่มน้ำมาก ๆ เป็นประจำทุกวัน (เพราะ Hyaluronic Acid เป็นโมเลกุลอุ้มน้ำไง ถ้าร่างกายขาดน้ำมันก็จะสลายไปเร็วเพราะร่างกายจะดึงน้ำไปใช้)

2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อนมาก ๆ หรือการเผชิญความร้อนสูง อย่างเช่นการออกกำลังกายหยัก ๆ โยคะร้อน เข้าซาวน่า แอโรบิค รวมถึงการทำเลเซอร์ด้วย เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ Hyaluronic Acid สลายไปได้ไวขึ้น





หลังทำแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าสารที่ฉีดไปสลายหมดแล้วยังคิดจะทำใหม่อีกไหม?


ตอนที่เขียนบทความนี้ขึ้น (30 เมษายน 2554) ก็ผ่านมาได้ 2 เดือนแล้ว ปูเป้พอใจในผลของการฉีด Dermal Filler เพื่อปรับแต่งรูปจมูกมาก หน้าดูคมขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ (เพื่อนที่พึ่งเจอกันบอกว่าหน้าดูเปลี่ยนไป แต่เขาบอกไม่ได้ว่าไปทำอะไรมา) อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณหมอ (สุดหล่อ) ไปเต็ม ๆ ครับ


(หลังผ่านไป 1 เดือน)


ส่วนถ้าเจ้า Hyaluronic Acid มันสลายไปแล้วปูเป้จะกลับมาฉีดเติมใหม่หรือใม่.... ปูเป้ก็ยังไม่ตัดสินใจเลยครับ คือความงามเป็นสิ่งเสพติดนะ แต่ปูเป้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากทำ (รวมถึงต้องดูแลปะป๊า มะม๊าด้วย) จะใช้เงินก็ต้องคิดให้ดี จะสวยหล่อทั้งทีก็ไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนเรื่องการเงินด้วย แต่เอาเป็นว่าถ้ามีเงินเหลือเฟือก็คงจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ :)





สุดท้ายนี้ปูเป้ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังสนใจในเรื่องของการฉีด Dermal Filler อยู่นะครับ แต่ก็อยากจะเตือน ๆ กันเอาไว้หน่อยว่าถ้าคิดจะทำ ก็ต้องพิจารณาแล้วว่าเราสามารถที่จะจ่ายได้โดยไม่กระทบกับเรื่องการเงินของตัวเอง ของครอบครัว



อยากให้เลือกสถานพยาบาลและคุณหมอให้ดีก่อนเข้ารับบริการ อย่าเห็นแก่ราคาถูกเข้าไว้เพราะสารที่ใช้เติมเต็มนั้นมีราคาสูง และคุณหมอที่มีความชำนาญก็มีค่าฝีมือไม่น้อย ราคาที่ถูกจนเกินไปอาจเป็นไปได้ว่าสารเติมเต็มที่เขาใช้อาจเป็นยี่ห้อที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อใช้ในการเสริมความงาม หรือคุณหมอที่ทำการรักษาอาจจะมีประสบการณ์น้อย หรือไปซื้อมาฉีดกันเองหรือโทรเรียกใครก็ไม่รู้นัดกันมาฉีดให้ที่บ้าน ลานจอดรถในราคาถูก ๆ ก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่... ปูเป้คิดว่าการฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายของเรามันไม่ควรเสี่ยงเพียงเพราะอยากประหยัดเงิน ถ้าจะจ่ายก็อยากจ่ายเงินอย่างสบายใจครับ ถือคติ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" จะดีที่สุด

สำหรับตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของ BOTOX ตามมาด้วยการขจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์ ยังไงก็ต้องคอยติดตามชมนะคร้าบบบบ



เห็นว่า Blog นี้มีประโยชน์ ก็ช่วยกันกดปุ่ม มุมขวาล่างเป็นกำลังใจให้ให้ปูเป้ด้วยนะคร้าบ



Create Date : 05 พฤษภาคม 2554
Last Update : 5 พฤษภาคม 2554 20:06:15 น.
Counter : 24929 Pageviews.

20 comments
  
wow ต้องทานน้ำเยอะๆด้วย
โดย: Kizt วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:53:56 น.
  
cc ละเท่าไหร่คะพี่ปูเป้
โดย: ALi IP: 125.25.209.231 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:58:43 น.
  
หมอกหล่อลากกกก
โดย: 555 IP: 124.121.213.242 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:09:42 น.
  
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันสิ่งดีๆนะคะ
โดย: ์์Ninety IP: 180.183.240.76 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:28:08 น.
  
น้องปูเป้ก้าวข้ามความกลัวมาได้ เจ๋งมากๆ เลยค่ะ ส่วนคุณหมอก็หล่อจริงๆ @^_^@
โดย: Pop Up IP: 58.10.71.241 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:53:24 น.
  
หมอหล่อจิงจิงงงงงงงงง
โดย: jimmy IP: 118.172.215.172 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:57:56 น.
  
ไม่อยากฉีดแต่อยากเจอหมอได้มั้ยค่ะ https://www.bloggang.com/emo/emo13.gif
โดย: LittleParrot IP: 183.89.234.124 วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:44:45 น.
  
คุณปูเป้ค่ะ คือวาสลีน ปิโตรเลียม ที่เขาเอาไว้ใช้ทาข้อศอก ริมผีปากอ่ะคะ
สามารถเอามาใช้ทารอบดวงตาได้ไหมคะ
โดย: lovely IP: 125.25.128.229 วันที่: 6 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:06:55 น.
  
มีอะไรดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังตลอด ขอบคุณมากเลยค่ะ
โดย: เอ๋ IP: 125.24.248.247 วันที่: 6 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:03:02 น.
  
หมอน่าร๊าากกก

ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับคุณปูเป้ ^^
อ่านง่ายและสนุกตามเคยคร้าบ
โดย: Tong IP: 124.120.208.214 วันที่: 6 พฤษภาคม 2554 เวลา:13:21:17 น.
  
หมอหน้าเด็กมากค่ะ

ขอบคุณที่มารีวิวค่าา ชอบอ่านมากค่าา

อยากทำบ้างเหมือนกัน จมูกแบนแต๊ดเลย
โดย: MayMaMee IP: 161.200.100.2 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:14:57 น.
  
อยากทราบเรื่องราคามากๆ เลยคับ รบกวนพี่ปูเป้ บอกราคาหน่อยจะได้ไหมคับ
โดย: มิกซ์ IP: 125.24.122.182 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:27:56 น.
  
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ เป็นความรู้จริงๆขอบอกว่าสนใจมั่กๆๆๆและ สาขาที่คุณปูเป้ไปทำก้อดีนะหมอหล่อง่ะ อิอิ
โดย: Pannoui IP: 86.182.13.179 วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:6:14:56 น.
  
รอรีวิว กำจัดขนถาวร ว่าถาวรจริงไหม
โดย: ียู IP: 58.11.30.103 วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:19:32 น.
  
หนูใช้บริการที่นี่เหมือนกันกำจัดขนรักแร้ถาวร ฉีดbotoxบ้างนานๆที และก็คอร์สทำหน้า

เท่าที่เคยทำมา ที่นี่หนูว่าokมาก
แบบว่าราคาไม่เวอร์ สมเหตุสมผล และที่สำคัญคือเห็นผลค่ะ
โดย: LomoMania วันที่: 20 พฤษภาคม 2554 เวลา:4:32:24 น.
  
ความรู้แน่นจริงๆจ้า ชอบๆ
โดย: iFreeZero วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:21:54:53 น.
  
เพิ่งไปทำจมูกกับคุณหมอวิทูร ที่คลินิคซอย 1 มา ชอบมากๆ เลยคุณหมอก็ใจดี ตอนแรกโทรไปสอบถามคิวคุณหมอก่อนว่าว่างวันไหนบ้าง จะเข้าไปปรึกษา ตอนปรึกษาคุณหมอ เราก็ถามคุณหมอเยอะมากเพราะกลัวออกมาไม่สวย และไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อน นึกว่าคุณหมอจะหงุดหงิด แต่คุณหมอตอบทุกคำถามให้เราหมดเลย ที่สำคัญคุณหมอดูจากรูปหน้าเราแล้วก็แนะนำ ที่เหมาะกับเราที่สุด พอคุยกับคุณหมอก็สบายใจขึ้น เราเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตัดสินใจทำกับคุณหมอ เราทำมาได้ 2 เดือน แล้ว ไม่ผิดหวังจริงๆ
โดย: Mariah Carey IP: 124.120.50.15 วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:22:26:00 น.
  
ไปฉีดฟิลเลอรใต้ตามาบวมแดงมากเลยค่ะเลย24ชม แล้วบวมเหมือนอักเสบร้อนหน้าทำไงดีเครียดใครช่วยตอบหน่อย
โดย: พร IP: 124.120.140.111 วันที่: 28 ธันวาคม 2554 เวลา:16:57:40 น.
  
ค่าใช้จ่ายฟิลเลอร์และโบท็อกเท่าไหร่คะ
โดย: lady IP: 125.26.217.140 วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:21:30:05 น.
  
ถ้าทำโบท๊อกและฟิลเลอร์จะใช้Retin Aได้มั้ยครับ พอดีมีคนไปฉีดแล้วผ่านมา2เดือนบอกว่าเหี่ยวเหมือนเดิม เค้าอยากไปทำเครื่องความร้อยอะไรไม่รู้ราคาเป็นแสนที่บำรุงราด เลยอยากให้ลองเรตินเอดูดีกว่า เครื่องบ้าอะไรไม่รู้แพงเว้อๆ แล้วเรตินเอควรใช้ยี่ห้อไหนดีครับ แนะนำหน่อย พอดีผมก็ใช้เป้บแบบที่มีขายในร้านขายยาทั่วไป มันดีมาก แต่คนนี้เค้าไม่กล้าใช้
โดย: เครื่องลิน IP: 192.99.14.34 วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:14:55:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Pupesosweet.BlogGang.com

PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [?]

บทความทั้งหมด