.... ธี .... (บทที่ ๓) .... ธี .... บทที่ ๓ ริมน้ำหิรัญวดี ฝั่งสาลวโนทยาน... แสงเรืองรองพุ่งจับนภา ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีสาขปรุณมี บรรดาสาละน้อยใหญ่ผลิดอกบานเต็มต้น พร้อมกันนั้นบังเกิดมหัศจรรย์แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน เสียงกลองทิพย์บันลือลั่น เทพเจ้า เทพยดาประโคมดนตรีทิพย์เป็นมหานฤนาทบูชา ดอกไม้ทิพย์ มณฑารพ ทิพยสุคนธชาติ ดอกไม้เมืองสวรรค์ร่วงลงมาจากฟากฟ้า กลิ่นหอมอวลทั่วทั้งธรณี “โอ้..พระสมณโคดม ท่านเสด็จปรินิพพานแล้ว” นักบวชอาวุโสยกมือพนมแลก้มกราบลงแทบพื้นพสุธา นักบวชท่านอื่นกระทำตาม รวมทั้ง ธี “พวกเรามาไม่ทันกาล” นักบวชท่านหนึ่งมีอาการโศกเศร้า “ทันสิ..พระสมณโคดมท่านจรรโลงธรรมะไว้มากมายให้ยึดถือและปฏิบัติ อย่างน้อยยังมีสรีระของท่านและพระภิกษุ ๕๐๐ รูปรอผู้ศรัทธาเลื่อมใสอยู่ที่สาลวโรทยาน” นักบวชอาวุโสเตือนสติ “พวกเราพากันข้ามแม่น้ำหิรัญวดีนี้ไปเถิด” นักบวชทั้งสามตรงไปที่ฝั่งน้ำ ธี ผู้เดียวยืนลังเลอยู่ไม่รู้ควรจะทำประการใด ด้วยมุ่งมั่นต่อพระสมณโคดมหมดดวงจิตเนื่องเพราะเหตุแห่งปรารถนาธรรมวิเศษ หนทางแห่งกามาสีน้ำเงิน..เมื่อสิ้นท่านแล้ว ธี คิดผิดๆว่าสิ้นหนทาง เธอไม่ได้เฉลียวใจในคำเตือนสติของนักบวชอาวุโสเลยสักนิด.. อนิจจา อารมณ์ปรารถนากามาของมาณพช่างรุนแรงเกินกว่าจิตใต้สำนึกแห่งธรรมะที่เธอมีอยู่ สีน้ำเงินมีอำนาจมากกว่าสีทองอำไพที่ทาบอยู่บนแผ่นฟ้าเหนือสาลวโรทยาน “อย่างไรล่ะท่านมาณพ..เราอุตส่าห์ดั้นด้นกันมาจนป่านฉะนี้ แม้มิทันกาล แต่ยังทันการอยู่นะถ้าเรามุ่งไปนมัสการท่านในเพลานี้” นักบวชอาวุโสร้องถามขึ้นมา...เมื่อเห็น ธี ยังคุกเข่าค้อมตัวร่ำไห้เฉยอยู่นักบวชจึงหันลงแม่น้ำ ว่ายน้ำตามอีกสองนักบวชไป ธี ก้มลงกราบบนกลีบมาลาที่ร่วงอยู่บนพื้น เจตนาด้วยความเลื่อมใสขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต... พลันกลิ่นสุคนธชาติ ดอกไม้สวรรค์ซึ่งมนุษย์ตนใดก็มิมีวาสนาได้เสพคลุ้งจรุงเข้าสู่นาสิกประสาท ความรู้สึกโศกเศร้าเมื่อสักครู่ปลาสนาการไปสิ้นเหลือแต่ความปิติยินดีดั่งหนึ่งได้รสพระธรรมซึ่งเธอยังมิเคยประสบ เพียงได้เห็นซึ่งฉัพพรรณรังสีแห่งพระองค์ท่าน ได้เสพเสียงประโคมของเทพเจ้าเทพยดา และกลิ่นทิพยมาลาจากสรวงสวรรค์ ธี มิได้เสียใจ ที่มิได้ข้ามลำน้ำหิรัญวดีไปนมัสการพระสมณโคดมเช่นเพื่อนนักบวชทั้งสาม...แลประหนึ่งว่า ธี โง่เขลา วาสนาน้อย อยู่ใกล้เพียงนั้นยังมิอาจไคว่คว้าบุญ..จะมีใครล่วงรู้บ้างว่า ธี ได้น้อมใจเข้าสู่พุทธศาสนาดั่ง เทวาจิก (๑) แม้เพียงคล้ายเคียง.. ที่เธอมิได้มอบชีวิตวิญญาณหมดสิ้นแด่พระพุทธศาสนาเพราะบาปแห่งกามคุณที่ติดตัวอยู่อย่างไม่อาจหนีพ้น “โอ้! เจ้าดวงตาสีน้ำเงิน..” ธี ทิ้งร่างลงบนพื้นกลีบมาลา โกยกลีบสุคนธชาติขึ้นโรยบนศีรษะ บนสรีระสวยงามแห่งชายชาตรี “ข้าฯ จะทำอย่างไรดี เราน้อยวาสนาซึ่งกันและกัน คงได้พบกันเพียงห้วงแห่งปิติปฏิพัทธ์ เฉกเช่นนั้นกระมัง..” ธี ร่ำไห้ประหนึ่งอิสตรีก็ไม่ปาน ช่างน่าเวทนากับวรรณะกษัตริย์ที่ครอบบังเธออยู่ ท่ามกลางกลีบสุคนธ์ที่ ธี พร่ำโรยใส่ไม่วางมือดั่งคลุ้มคลั่ง แลม่านน้ำตาแห่งอาวรณ์กามา ธี เห็นเป็นเกล็ดขาวร่วงหล่นใส่ร่างเธอพร้อมความเย็นและเงาลางๆแห่งเจ้าดวงตาบาปคู่นั้น “หรือคือนิมิตหมายเมตตาจากมวลบุบผาสวรรค์ที่สงสารความอาดูรแห่งเรา” ธี พร่ำเพ้อกับภาพหลอนในดวงจิต “เกล็ดสีขาวเย็นนั้นคงเป็นเกล็ดหิมะแห่งเทือกเขาหิมพานต์ (๒) ดั่งเคยได้ยินมา” คิดได้ดังนั้น ธี จึงตั้งจิตมั่น เลิกคร่ำครวญโศกโศกา ลุกขึ้น ออกเดินทางขึ้นสู่ทิศเหนือแห่งชมพูทวีป..ไม่คิดกลับคืนหากมิได้พบเจ้าของดวงตาสีน้ำเงิน ธีรอนแรมขึ้นทางเหนือเป็นเวลานาน เพ็ญแล้วเพ็ญเล่า แรมแล้วแรมอีกก็ยังมิบรรลุหิมพานต์ดั่งปรารถนา อาศัยใบไม้ หัวเผือกมันและผลไม้ประทังชีวิต มีวิถีโคจรขึ้นแห่งดวงอาทิตย์อยู่เบื้องขวา แลเบื้องหน้าคือทิศเหนือที่มุ่งมั่นแห่งหิมพานต์ ผืนผ้าอาภรณ์ชิ้นเดียวที่มีอยู่รุ่งริ่งด้วยคมหนามไม้ ที่สถิตแห่งเทพเจ้ายาวรุงรังแลเพิ่มด้วยหนวดเครา ธี ไม่ได้พบผู้คนใดเลย แม้แต่ดวงตาสีน้ำเงินก็พลอยเงียบหายไปเฉยๆ ยิ่งยั่วยุเพิ่มพลังความปรารถนามากขึ้น.. บางคราเพราะความหิว เพราะความท้อแท้ ธี วิ่งร้องอย่างคลุ้มคลั่งดั่งพลายตกมันกระนั้น.. บางครา เธอหลอกล่อให้ตาสีน้ำเงินปรากฏด้วยการบำเพ็ญกาม ซ้ำซาก ครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดแรงฟุบหมดสติ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของบาปสีน้ำเงินเจ้าเล่ห์ “จะหลอกล่อ จะทรมานข้าฯ ไปถึงไหน..” ธี เดินพร่ำซ้ำๆ ดั่งการสวดภาวนา เธอเดินไป เดินไปเหมือนคนไร้สติ อากาศที่หนาวเย็นหาได้ระคายเคืองผิวกายแทบไร้ผ้าปิดบัง ประหนึ่งชีวก นิครนถ์แลชายบ้าเสียสติ... กระทั่งราตรีหนึ่ง ธี เดินทะลุแนวป่าถึงที่โล่ง..ลมหนาวจากหุบเขาเบื้องหน้าโหมปะทะ ธี ผงะหงายด้วยแรงลม เมื่อทรงกายได้เธอตะลึงกับทัศนีย์ภาพที่ประจักษ์..พ้นหมู่ไม้หุบเขาคือเทือกเขาขาวโพลน คงเป็นหิมพานต์ที่ดั้นด้นเดินทางมานาน ความเหนื่อยล้าหายไปสิ้น ธี เร่งรุดฝีเท้าเพื่อจะไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุดดั่งใจ อีกหลายเพ็ญหลายแรม กว่า ธี จะได้พบละอองขาวเย็นดังนิมิต ความเหน็บหนาวที่เกิดขึ้นมิได้รั้งมาณพให้ฉุกเฉลียวใจ..เธอจะฝ่าความเย็นนั่นไปได้อย่างไรด้วยเพียงเศษผ้าห่อหุ้มกาย เธอจะรู้ไหมว่าแม้บุรุษแข็งแรงกำยำก็ไม่อาจทนกับความโหดร้ายแห่งละอองเกล็ดหิมะ หากเธอขณะนี้มีแต่ความผอมโซไร้พลังงานใดจะต่อสู้ฝ่าฟัน มีเพียงใจเท่านั้นที่ตั้งมั่นแข็งกล้าประหนึ่งหิมพานต์ตระหง่าน สองเท้าเปล่าแตกระแหงย่ำลงไปบนเกล็ดหิมะ โลหิตสีแดงปรากฏชัดบนความขาวเย็น เจ็บแล้วเจ็บอีก หากใจ ธี หลอกตัวเองว่าไม่เจ็บ ไม่หนาว ไม่หิว ไม่อาทรต่อสิ่งใดแม้เมฆขาวที่ลอยวนอยู่รอบกาย.. แสงอาทิตย์เจิดจ้าและท้องฟ้าสีน้ำเงินใสยิ่งทำให้ ธี ลืมนึกถึงสิ่งใดนอกจากดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น..เธอจะดั้นด้นขึ้นไปสู่ความหนาวเย็น ไม่ย่อท้อกับความหนืดชาของร่างกายที่เกิดขึ้น ไปให้พบนิมิตเมตตาจากมวลสุคนธมาลาในคืนเพ็ญนั้น ละอองขาวจับเส้นผมและหนวดเคราของ ธี ขาวโพลนเช่นเดียวกับร่างกาย ธี เริ่มก้าวขาไม่ออกหากใจเตลิดไปไกลจนเลยพ้นยอดเขา ความเย็นทิ่มแทงเข้าผิวหนัง แสบชา..เลือดข้นแข็งขึ้นทุกขณะ ธี จะทนได้อีกกี่มากน้อย แม้หัวใจก็กำลังจะหยุดเต้น แต่ใจ ธี ไม่หยุดตามร่างกาย มันกำลังวิ่งทะยานขึ้นฟ้าสีน้ำเงินเบื้องบนมุ่งสู่สีแห่งบาปกามคุณนั้น..ไม่มีสิ่งใดเลยในดวงจิตของ ธี นอกจากเจ้าดวงตาสีน้ำเงิน..ดวงตาสีน้ำเงิน อาจด้วยพลังจิตอันมุ่งมั่น อาจด้วยความเวทนาจากมวลเทวา อาจเพียงเพราะปรากฎการณ์แห่งธรรมชาติ บังเกิดพายุหิมะโหมกระหน่ำ ละอองขาวฟุ้งคลุ้งกระจาย.. ร่างแข็งทื่อของ ธี ล้มลงบนกองหิมะ กลิ้งม้วนลงจากเขาด้วยหิมะที่ห่อคลุมอยู่ ธี ไม่มีโอกาสรู้ว่าพายุจะพาร่างเขาไปสู่หนใด..จิตของเธอได้ออกจากร่างที่แข็งเย็นนั้นแล้ว... ข้อมูลชี้แจง (๑) เทวาจิก คือการเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรม เพื่อยึดเป็นสรณะตลอดชีวิต (๒) หิมพานต์ คือภูเขาหิมาลัย เป็นภูเขาใหญ่อยู่ทางทิศเหนือของชมพูทวีป ยาวและสูงใหญ่มาก มีความยาวถึงประมาณ ๙๓๗ กิโลเมตร กว้าง ๑๒๕ กิโลเมตร มียอดเขาสูง และหุบเขาลึก เป็นจำนวนมาก มียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดเขาเอเวอเรสต์หรือเรียกกันว่า ภูเขาพระสุเมรุ มีความสูงประมาณ ๘,๗๐๐ เมตร ปัจจุบันอยู่ในเขตแดนประเทศเนปาล |
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 2607062
บทความทั้งหมด
|