.. ธี..(เรื่องต่อจาก สโตน เฮนจ์)




.. ธี ..


.. เรื่องต่อจาก สโตน เฮนจ์ ..



บทที่ ๑





มาณพหนึ่งเดินอยู่ในราวป่า ไม้ใหญ่ครึ้มทั่วทั้งดงไพร สัตว์น้อยใหญ่ส่งเสียงลอดหมู่ไม้และพงเถาวัลย์..แสงสว่างลอดใบไม้เป็นดวงลงต้องพื้น นานครั้งจึงจะมีลำแสงใหญ่ส่องให้เห็นเป็นวงกว้าง

มาณพน้อยอดหยุดยืนให้แสงอาบทั่วร่างไม่ได้ แม้รู้ดีว่าไม่ควรยินดีกับความสุข ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่นั้น



มาณพร่างงามสูงสง่าอย่างอารยันมีความขะมุกขะมอมปกคลุมอยู่ หากแต่ภายใต้นั้นคือผิวขาวละเอียด จมูกโด่งเป็นสัน ตาคม คิ้วเข้มรับกับผมดำปรกกระเซิง ผ้าผืนใหญ่ที่พันกายนั้นดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร มอมแมมพอๆ กับร่างที่ถูกห่อหุ้มอยู่

มาณพน้อยไม่รู้ตนว่าดั้นด้นมาถึงป่าทึบได้อย่างไร รู้แต่ว่าหนีออกมาจากพรหมจริยอาศรม(๑)เพื่อหาความจริงของชีวิตซึ่งเธอข้องใจและเฉลียวใจถึงบ่อยๆ แต่ไม่ได้รับการบอกเล่าสั่งสอนแม้จะพยายามอ้อนวอนขอความรู้จากสันยาสี(๒) และท่านครูพราหมณ์ก็ตาม..เธอจึงหนีมาเพื่อแสวงหาคำตอบแห่งชีวิตนั้น..แต่จะอย่างไรเล่า จากความไม่รู้อะไรเลย ได้แต่นั่งบำเพ็ญเพียรสงบจิตทั้งวันทั้งคืนเผื่อจะเกิดนิมิตอันใดขึ้นบ้าง

ป่าทึบนี้ห่างไกลจากผู้คน มองไม่เห็นใครนอกจากเวลานั่งหลับตาภาวนา..บางทีหลายๆวันไม่ได้กินอาหาร มีเพียงน้ำที่ขังอยู่ตามหลุมดินประทังชีวิต บางครั้งเมื่อใกล้จะหมดแรงพยุงร่าง เธอคว้าใบไม้ใกล้ตัวใส่ปากเพื่อความอยู่รอดกับความมึนเมาไร้สติจากพิษของใบไม้นั้น


“โอ้เจ้าต้นจามาน” (๓) มาณพอุทานด้วยความยินดี เธอตรงเข้าไปใกล้ในรัศมีพุ่มจามานนั้น..กิ่งกว้างใหญ่ห้อยโค้งลงมา บนใบแห้งใต้ตันมีผลแก่ร่วงอยู่ สีแดงเข้มแกมม่วงปริฉ่ำด้วยน้ำหวาน มาณพก้มลงหยิบผลเท่าปลายนิ้วนั้นขึ้นกินประทังชีวิต รสหวานอมเปรี้ยวเรียกพละกำลังและสติสัมปชัญญะให้หวนคืน

มาณพทรุดลงที่โคนต้นอวบใหญ่ เอนหลังพิงเปลือกไม้สีตาลนวลด้วยความอ่อนล้า มองไปเบื้องหน้าที่มีแต่หมู่ไม้และแสงวอมแวม


“ ธี ” คือชื่อของเธอ “ ธี ” คือสติ ปัญญา ความคิด และความมั่นคงยืนนาน


ธี เกิดในวรรณะแพศย์ (๔) บิดามารดามีอาชีพกสิกรรมและทำการค้าขายด้วยผลแห่งกสิกรรมนั้น..

เมื่ออายุยังเยาว์ ธี ถูกทดสอบด้วยการสังเกตจากพ่อแม่และสันยาสีโดยการให้อยู่ท่ามกลางของกินของเล่น หนังสือ ปากกา อาวุธ เครื่องใช้ในการแพทย์และเครื่องใช้ในการฝีมือต่างๆ...

ครั้งนั้น ธี เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งสวยงามชัดเจนอยู่ในแถบเงินวาววามของคมอาวุธดาบที่วางอยู่ ธี หยิบขึ้นมาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินของเด็กน้อยนั้นด้วยความฉงนฉงาย...

และเพราะเหตุที่ ธี หยิบอาวุธดาบขึ้นจ้องมอง ธี จึงได้รับการตัดสินว่าสมควรอยู่ในวรรณะกษัตริย์ วรรณะแห่งนักรบ นักปกครองและป้องกันประเทศชาติ


เมื่ออายุ ๑๒ ปี ธี ได้เข้าพิธี อปนยนสันสการ (๕) เป็นพรหมจารี (๖) เข้าอยู่ใน พรหมจริยอาศรมเพื่อรับการศึกษาเฉกเช่นกุลบุตรทุกวรรณะจนถึงอายุ ๒๕ ปีจึงออกจากอาศรมเป็นคฤหัสถ์อย่างสมบูรณ์

ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับความราบรื่นในชีวิต...ตลอด ๘ ปีต่อมาของการศึกษาในพรหมจริยอาศรม ธี ได้รับการอบรมทั้งวิชาการจากคัมภีร์ต่างๆ เกี่ยวกับการปกครองและตำหรับขบวนการสู้รบ เรียนรู้วิธีการป้องกันตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นภัย รู้จักอาวุธใหญ่น้อยแทบทุกชนิดและการปฏิบัติสมจริง ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์เยี่ยงชายชาติทหาร ธี เรียนรู้ล่วงหน้าได้มากกว่ามาณพใด

ใครจะรู้บ้างว่า ภายใต้โครงร่างและกล้ามเนื้อสวยงามแบบอริยกะชนนี้มีจิตใจที่อ่อนโยนใฝ่รู้ในธรรมและเมตตศิลปะอันเป็นคุณสมบัติของชนอีกสามวรรณะซ่อนอยู่ คือวรรณะพราหมณ์ แพศย์และศูทร

ธี เคยสงสัยว่า ทำไมคนเราจะรู้สึก จะมีความสามารถและทำหลายๆ สิ่งพร้อมกันไม่ได้ ทำไมต้องแบ่งชั้นวรรณะแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ทุกวันนี้ ธี มีคุณสมบัติของวรรณะกษัตริย์อย่างพร้อมมูล แม้จะต้องศึกษาต่ออยู่ในพรหมจริยอาศรมอีก ๕ ปีก็ตาม

ใจ ธี อยากศึกษาคัมภีร์ พระเวท และศิลปเวท อยากเข้าถึงความลึกลับของโลกและวิญญาณ ที่เชื่อกันว่า ชีว คือวิญญาณนั้นไม่มีวันตาย ไม่สูญหาย มีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่หมุนเวียนอยู่โดยกรรมคติที่กระทำ


สิ่งหนึ่งที่ฝังใจ ธี ไม่เคยลืม คือดวงตาสีน้ำเงินบนคมดาบคู่นั้น ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม..

เมื่อยังไม่ถึงวัยหนุ่มเช่นทุกวันนี้ ธี เคยคิดถึงในแง่แห่งความสวยงามไม่เคยพานพบ แต่ต่อมากลับมีจิตประหวัดปฎิพัทธ์ทุกคราเมื่อนึกถึง แม้ไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตานั้นคือบุรุษหรืออิสตรี...

แต่..อีกใจหนึ่ง ธี อดคิดเคืองดวงตานั้นไม่ได้ ก็เพราะเธอ ธี ถึงได้ตกอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ที่ ธีไม่ต้องการ..เมื่อไหร่นะ ธี จะได้พบ ได้สะสางหลายความรู้สึกที่กรุ่นอยู่ให้กระจะแจ้ง

ธี เคยถามบิดามารดา ท่านครูพราหมณ์ แม้กระทั่งสันยาสี ถึงนิมิตแห่งดวงตาสีน้ำเงิน


บางความเห็นว่าเพราะแสงสะท้อนจากพื้นดาบ บ้างก็ว่าคือเงาของ ธี มิใช่สิ่งใด แต่ ธี เองรู้อยู่แก่ใจว่าใครคนนั้นจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเธอไม่วันใดก็วันหนึ่ง...



อ้า..มนุษย์ใดหนาจะมีดวงตาสุกใสดั่งประกายแห่งผืนฟ้ายามไร้เมฆาเฉกฉะนั้น




หรือจะเป็นเพียงนิมิตมายาให้ ธี หลงใหล ตกมาอยู่ในวรรณะกษัตริย์ และกลายเป็นนักรบรูปงามเกรียงไกรแห่งชมพูทวีปนี้กระมัง..โอ้เจ้ามายาสีน้ำเงิน...


 



ข้อมูลชี้แจง


ศาสนาพราหมณ์ในสมัยโบราณ ถือกันว่าช่วงเวลา ๒๕ ปีแรก มนุษย์มีหน้าที่รับแต่การศึกษาไปตามวรรณะของตนโดยเข้าศึกษาอยู่ใน พรหมจริยอาศรม
(๑) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในอาศรมนี้เรียกว่า พรหมจารี
(๖) เข้ามาอยู่โดยประกอบพิธีที่เรียกว่า อปนยนสันสการ
(๕) ซึ่งจัดทำแก่เด็กขณะมีวัยได้ ๘ - ๑๒ ขวบ...บรรดาพรหมจารีจะต้องอยู่ในพรหมจริยอาศรม จนถึงอายุ ๒๕ ปีเต็ม

ระยะสุดท้ายแห่งชีวิตคือ อายุย่างเข้า ๗๕ ปี บรรดาผู้สูงอายุจะพาตนไปบวชเป็น สันยาสี (๒) บำเพ็ญสมาธิ และพยายามแสวงหาโมกข์ธรรม หรือความจริงว่าตนเองเป็นใคร พระพรหมคือใคร ในโลกนี้มีสารวัสดุอะไรบ้าง ฯลฯ เมื่อได้คำตอบสำหรับตนเองแล้ว ก็เผยแพร่คำตอบนั้นให้ได้เป็นที่รู้กันไปทั่ว

(๓) จามาน หรือจามูน คือต้นหว้า

(๔) วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะที่สาม หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่กสิกรรม ประกอบการค้า และพาณิชยการต่างๆ


“ธี” นี้อ่านยากหน่อยนะครับ..เขียนยากด้วยเช่นกัน
ไม่ทราบว่าจะมีผู้ติดตามไหมครับ

ดาเรน.


 



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2564
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2564 18:23:38 น.
Counter : 540 Pageviews.

0 comments
๏ ... กลโคลงผวน ' พยัคฆ์ย่องหาคู่ ' ... ๏ นกโก๊ก
(27 พ.ย. 2567 16:21:35 น.)
สุดไม่เคย...เลยตลอด จันทราน็อคเทิร์น
(26 พ.ย. 2567 12:29:44 น.)
Was du mir bist by Erich Wolfgang Korngold ปรศุราม
(24 พ.ย. 2567 10:52:28 น.)
๏ ... ยามว่างเปล่า<คอยเขา>ปล่อยวางย่าม ... ๏ นกโก๊ก
(22 พ.ย. 2567 15:04:17 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Daren.BlogGang.com

BlogGang Popular Award#20



สมาชิกหมายเลข 2607062
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด