"มันเป็นความฝันเล็ก ๆ น่ะครับ"
เจ้าของร้านหนังสือได้บอกไว้ขณะทีจานเสียงแผ่นใหญ่กำลังหมุนติ้ว
บนเครื่องเล่นบรรเลงเพลงล่วงสมัยที่เปิดคลอให้เข้ากับบรรยากาศร้าน...
ฉันเดินทางแวะไปที่ร้านหนังสือเก่า ที่อยู่ใกล้กับหน้าปากซอยย่านหนึ่งของ
กรุงเทพฯ ซึ่งหน้าร้านนั้นก็มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับแผงขายหนังสือพิมพ์ มีหนังสือ
เก่ามากมายจัดเรียงรายทับวางกันเป็นแนวนอน เมื่อมองเผิน ๆ ก็อาจจะดูคล้ายกับ
ว่าร้านขายหนังสือมือสองนี้ได้รับซื้อมาจากการชั่งกิโลขาย
แต่ถึงอย่างนั้น หากเพ่งมองดี ๆ แล้ว ก็พบว่ามีการจัดแยกประเภทหรือกลุ่มการ-
อ่าน ไว้เป็นระเบียบอย่างชัดเจน แม้ราคาที่ติดขายมีอาจมีแน้วโน้มว่าแพงกว่า
หน้าปกเดิมที่มีสภาพเก่าเป็นเท่าตัว (หากคิดเทียบกับราคาเมื่อหลายสิบปีก่อน
ตามปีที่ตีพิมพ์)
มันก็คงจะคล้ายกับคนที่ตามหา กระเพาะปลาเก่า เหล้านอกเก่า นั่นแหละมั้ง
คนเราก็แปลกนะ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเก่าเก็บขนาดนั้น แต่ถ้าอยากได้อยากหา
มาครอบครองเราก็มักจะไม่เกี่ยงที่จะควักเงินซื้อมันไว้...และฉันเองก็เป็นคนหนึ่ง
ที่บ้าตามหาของเก่ามาเก็บอ่านและมักเผลอจ่ายไปกับสิ่งนี้อยู่เป็นประจำ
"หาเรื่องอะไรอยู่หรืออยากดูประเภทไหนนักเขียนชื่ออะไรก็บอกได้นะ"
เจ้าของร้านที่ดูอายุไม่เยอะเท่าไหร่ เดินเข้ามาทักทาย ช่วงขณะที่ฉัน
กำลังเข้าไปค้นดูที่มุมร้านพลิกดูเล่มที่น่าจะใช่เรื่องที่กำลังหา
"หนังสือแปลของนักเขียน ที่ชื่อ อุดร จารุรัตน์ อยู่มั้ยคะ"
"กะเหรี่ยงรัสเซีย หรือปล่าว?"
หลังทราบชื่อผู้แปล เขาก็โผล่งถึงหนังสือเล่มที่ว่านั่นเหมือนรู้ว่าฉันกำลัง
มองหาอะไรอยู่ทันที (ชื่อหนังสือฉบับเดิมคือ Anything can happen
: ผู้เขียน George Papashvily, Helen Waite Papashvily)
อันที่จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรที่เจ้าของร้านจะรู้ความคิดของฉัน
เพราะว่าก่อนหน้านี้ ฉันเองเคยได้สุ่มหาชื่อหนังสือนี้จากกูเกิ้ล และไปเจอ
เพจของร้านนี้เข้า เลยลองเคาะแป้นพิมพ์ถามถึงสถานะการจำหน่ายซึ่งได้
รับการตอบรับมาว่า "ยังมีอยู่หนึ่งเล่ม" แต่นั่นก็ไม่คิดว่าเขาจะจำได้ด้วย
หลังจากที่บอกว่าใช่ เขาก็เดินไปหยิบเล่มนั้นมาให้ มันถูกห่อเก็บไว้ด้วย
ซองพลาสติกและดูมีสภาพเล่มที่ดี "เล่มนี้ไม่ค่อยจะมีใครตามกันแล้วนะพูดถึง"
ในที่สุด ฉันก็เจอกับหนังสือที่ตามหา!
เจ้าของร้านได้พูดคุยถึงหนังสือเล่มดังกล่าวอีกนิดหน่อยว่า โดยส่วนตัวแล้ว
เขาไม่ชอบการแปลที่ใช้แทนคำเรียกว่าว่า "กะเหรี่ยง" เท่าไหร่ เพราะมันแล
เหมือนเป็นคำดูถูกมากกว่า
ราคาหน้าปกเดิมที่ฉันเห็นมันคือ 50 บาท (ส่วนราคาขายที่ติดในปัจจุบัน
คือ 70 บาท) หากเป็นการประเมินราคาโดยลวก ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้เจาะจง
มาซื้อ ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า "แพง" แน่นอน... แต่ในทางกลับ มันคือหนังสือเล่ม
เดียวที่ตัวเองตามหา และในเมื่อมันมีขายเพียงที่เดียวแล้วฉันก็พร้อมที่จะจ่าย
(แล้วนี่ยังไม่นับเรื่องการเดินทางไกลเพื่อตามหาที่ตั้งของร้านอีกนะเนี่ย)
"คนรุ่นนี้ไม่ค่อยนิยมอ่านแนวนี้เท่าไหร่
ว่าแต่ มาตามซื้อถึงร้านเลยเหรอเนี่ย เกรงใจ
ทีหลัง inbox มาบอกก็ได้ ทางเรามีจัดส่งให้ครับ"
ระหว่างดูหนังสือเล่มอื่นไป เจ้าของร้านก็ช่วยแนะนำงานเขียนของคนโน้นคนนี้
ไปเรื่อย ฉันเองก็อยากจะบอกว่าส่วนมากแล้วเวลาที่ไปซื้อหนังสือเก่าจากร้าน-
มือสองเนี่ย ไม่เคยเจอคนขายหนังสือที่อ่านหนังสือจริง ๆ จัง ๆ แบบนี้เท่าไหร่
ซึ่งเจ้าของร้านได้พูดถึงเนื้อหาบางส่วนของหนังสือที่อยากจะแนะนำให้คนซื้อไว้
ที่เพจส่วนตัวอีกด้วย
"ถ้าเล่มไหนอ่านแล้วโดนใจจริง ๆ
ก็จะออกตัวแรงหน่อยครับ จะได้จูงใจอยากให้อ่าน"
จากนั้นเขาก็เดินออกไปคุยกับลุงที่นั่งอยู่หน้าร้าน และปล่อยให้ฉัน
เลือกหาดูตามสบายและอนุญาตให้เปิดอ่านก่อนได้ไม่ว่ากัน
ฉันเอื้อมหยิบหนังสือเก่ามาเล่มหนึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2521
พ็อคเก็ตบุคเล่มนี้ชื่อว่า "จีน : ในทัศนะของนักการทหาร"
ผู้เขียน พลเอกทวิช เสนีวงศ์ ณ อยุธยา... ซึ่งมันก็ดูน่าสนใจดีนะ
แต่ดันไม่มีราคาบอกไว้เลยต้องถามราคากันตรงนั้น
"ผมคิดสามสิบบาทละกัน"
โวะ! หนังสือเก่ากรอบ แต่ไหงคิดแพงจัง?
ฉันจึงประเมินราคาอีกรอบเพื่อขอต่อรองอีกนิด
"ยี่สิบได้ไหม มันดูแพงไปน่ะ"
เจ้าของร้านได้ขอเหตุผล ว่าทำไมถึงคิดว่ามันแพงไป
ฉันจึงตอบไปแค่ว่าเพราะมันเก่าและเหลืองแล้ว
"คิดได้ใจร้ายมาก!" เขาตอบกลับมา "ลองนึกสิว่า ถึงหนังสือมันจะเก่าแล้ว
แต่เนื้อหนาและคุณค่าของมันก็ยังคงอยู่ ดังนั้นเราไม่ควรไปตีราคาแบบนั้น"
เออ ก็น่าคิดอยู่นะ เวลานั้นฉันก็เริ่มคล้อยตามอยู่เล็ก ๆ และคิดว่า
กำลังยืนคุยกับคนขายหนังสือเก่า นักปรัชญา หรือศิลปิน อยู่กันแน่
"ถ้างั้นเล่มนี้ ผมให้ราคาของมัน 30 บาท
แต่เล่มนั้น... (หมายถึงเล่มที่ฉันเจาะจงมาซื้อ)ให้ฟรี"
"ตกลงว่าสองเล่มนี้ คือ 30 บาท"
ฉันต้องย้ำถามอีกหนด้วยความไม่เข้าใจ
"ไม่ใช่ ๆ เล่มนี้ต่างหากที่สามสิบบาท แต่เล่มนั้นยกให้เลย
ผมไม่คิดเงิน เพราะยังไงก็คงไม่มีใครตามซื้อแล้วล่ะ"
ก่อนที่จะกลับหลังจากชำระเงินตอนแรกก็ว่าจะถ่ายรูปร้านเอาไว้สักหน่อย
เป็นที่น่าเสียดายว่าเจ้าของร้านได้กระโดดหลบหนีไปก่อนโดยให้เหตุผลว่า
อย่าไปโปรโมทเลย เดี๋ยวใครจะแห่มาแล้วจะผิดหวังกันเพราะมันเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ
เย็นนั้นฉันเดินถือหนังสือกลับบ้านด้วยความดีใจ
ไม่ใช่เพราะการได้ซื้อเล่มแถมเล่มหรอกนะ
แต่ดีใจที่ยังมีคนเห็นความสำคัญของหนังสือต่างหาก
ชอบอ่านหนังสือ
ชอบเดินทาง..
และก็เป็นนักเขียน..Feel เดียวกันทั้งหมดเลยนะคะ
กาบริเอล Literature Blog