ชะโงกทัวร์ ไปกับ 3 Idiots
ขึ้นชื่อเรื่อง 3 idiots เราก็มักจะได้ยินกระแสตอบรับที่ดีสำหรับหนังอินเดียเรื่องนี้อย่างท่วมท้น จากเนื้อหาที่ถ่ายทอดถึงระบบการศึกษาอันเป็นปัญหาที่แสนสะเทือนใจ และดูเหมือนว่าจะจับต้องความรู้สึกต่อผู้ชมหลายคนมากทีเดียว
มุมมองการนำเสนอนั้นถูกกระจาย เงื่อนไขของชีวิต อันมีที่มาต่างกัน เพื่อบอกเล่าถึงช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยของเหล่าเด็กวิศวะพวกนี้
"รานโช"
ผู้มีเบื้องหลังมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เป็นคนเรียนดี และมีแนวคิดขบถต่อแนวทางเดิม เขาเป็นผู้ให้ทัศนคติที่ว่า การร่ำเรียนควรมาจากความสุขที่มีต่อวิชานั้น ๆ ด้วย
ช่วงแรกที่ได้ดู เราก็แอบหมั่นไส้นิด ๆ กับตัวละครนี้มาก ชีวิตแกดี๊ดีซะจริง อยากทำอะไรก็ได้ทำโดยครอบครัวไม่ขัดข้องเนี่ย
"ฟาร์ฮาน"
เด็กหนุ่มที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่เกิดมาทุกคนในบ้านก็ตั้งความหวังและขีดเส้นอนาคตว่า เขาจะต้องเป็นวิศวกร !
"ราจู"
จากพื้นเพแล้วเป็นคนยากจน เขาอาศัยอยู่กับพี่สาวที่ยังไม่ออกเรือน มีพ่อเป็นอัมพาตทำงานไม่ได้ และแม่ผู้ชรา
ความหนักอึ้งจากการต้องมาแบกรับชีวิตที่มีตัวเลือกบีบเค้นให้เหลือ แนวการทางดำเนินชีวิตมีไม่มากไปกว่าสอบเข้าคณะวิศวะฯ ให้ติด เรียนให้จบ และมีงานการดี ๆ ทำเพื่อหวังยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว
บ่อยครั้งราจู มักหาทางออกด้วยการสวดอ้อนวอนเทพเจ้า
"ชาตูร์"
ผู้ทะเยอทะยาน มีเป้าหมายสำหรับการเป็นที่หนึ่ง เขามีผลการเรียนที่ดี แต่มีแนวคิดตามระบบการศึกษาที่วาดทางเดินให้คนคิดท่องจำมากกว่า ทำความเข้าใจ
ตัวละครนี้ สะท้อนความสำเร็จรูปที่เอาค่านิยมของสังคมมาล้อมกรอบชีวิต
....
หลังจากแนะนำตัวละครหลักทั้งสี่ไปแล้ว เราก็จะเข้าเรื่องการ ชะโงกทัวร์ กันต่อดีกว่า
เปิดเรื่องมา
ฟาร์ฮาน กำลังอยู่บนเครื่องบิน เตรียมเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อมีสายเรียกเข้าลึกลับโทรมาก่อนเครื่องบินจะทะยานออก... จากนั้นทุกสิ่งก็ได้เปลี่ยนไป
ราจู ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังโต หลังได้รับโทรศัพท์จากฟาร์ฮาน แจ้งข่าว ถึงเบาะแสของเพื่อนคนหนึ่งที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากเรียนจบ
พวกเขาทั้งสองต่างรีบแจ้นมาที่ดาดฟ้าของคณะฯ ในสมัยที่เคยมาร่ำเรียนกันที่นี่ เมื่อสิบปีก่อนเพื่อหวังจะได้พบกับรานโช อีกครั้ง แต่ก็กลับเจอ กับชาตูร์ ที่กำลัง เอาแต่โอ้อวดเรื่องความสำเร็จของตัวเองให้ฟัง
สิ่งที่ว่านี้กลับทำให้พวกเขาโมโห การที่ต้องรีบดั้นด้นมาที่นี่ เพียงเพราะต้องการพบกับ เพื่อนรักของพวกเขาต่างหาก
รานโช อยู่ที่ไหน ฟระ !?
และชาตูร์ จอมเจ้าเล่ห์ก็ให้คำตอบกับสองคนนี้
ว่ารานโชหนีไปอยู่ที่ ชิมลา
บทแรกแห่งการเดินทาง ก็เริ่มขึ้นทันที ... เพลงประกอบ Behti Hawa Sa Tha Woh เจ้าล่องลอยไปดั่งสายลม ถูกเปิดคลอไปกับภาพเส้นถนนขึ้นทางภูเขาที่โค้งไปมา ผ่านทิวทัศน์สองข้าง ทางที่ปกคลุมไปด้วยซีดาห์หิมาลัย หรือ Deodar และภาพแห่งความหลังของ พวกเขาก็ได้ลอยแล่นขึ้นในใจ
คณะทัวร์ได้พาเรามาถึง จุดหมายแรกในชิมลา บริเวณ The Ridge อันมีฉากหลัง เป็นโบสถ์แองกลิกัน ชื่อว่า Christ Church ที่สร้างมาตั้งแต่ชิมลา ยังมีสถานภาพ เป็นเมืองหลวงภาคฤดูร้อน ในยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครอง ซึ่งเมืองนี้นอกจากจะมี อากาศเย็นสบายตลอดปีแล้ว ก็ยังมีสถานที่สำคัญของประวัติศาสตร์ และสิ่งก่อ- สร้างในยุค British Raj ที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงทำให้มีบรรยากาศละม้ายคล้ายไป ทางยุโรป อ่ะแฮ่ม....ตามปกติแล้ว พื้นที่ด้านบน บริเวณ Mall Road หรือกระทั่งที่ ลาน The Ridge จะไม่อนุญาติให้ นำยวดยานพาหนะขึ้นมาวิ่งแล่นได้บนนี้นะ เท่าที่เห็นมากสุดก็มีเพียงรถพยาบาลและรถดับเพลิงเท่านั้น
เจ้าพวกนี้ มีแววจะต้องโดนปรับหนักแน่ ๆ
ดูเหมือนภาระกิจตามหาเพื่อนของพวกเขา กำลังจะบรรลุเป้าหมายแล้ว... แต่กลับผิดคาด
อะไรนะ รานโช ไม่ได้อยู่ที่นี่ !
เอ๊าาา ...แล้วหายไปไหน?
หลังจากสืบข่าวเล่าความกันจนเกือบกระจ่าง คณะทัวร์ก็ต้องออกโรงเดินทางกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้พวกเขาต้องไปไกลถึง ลาดักห์
เดินทางไปได้ไม่นาน หนึ่งในคณะก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมานั่นคือ "เปีย" คนรักของรานโช สมัยเรียน ผู้เป็นลูกสาวของศาสตราจารย์ไวรัส
เมื่อพวกเขาได้โทรไปสอบถามข่าวคราวความเป็นไป ก็พบว่าเปียไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานที่ มะนาลี ดังนั้นการเดินทางจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน โดยทันที
เฮ้ย พวกเราเลี้ยวย้อนกลับไปที่ มะนาลี ก่อน !
ในตอนนี้คนขับรถได้ถูกแทนที่ไปเป็น ฟาร์ฮาน ซะแล้ว เนื่องจากชาตูร์ น่าจะหมดแรงเหยียบ เลยได้ย้ายไปนอนเล่นที่ท้ายรถแทน
พอไปถึงมะนาลี "เปีย" ได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะทัวร์ไปลาดักห์ด้วย
พวกเขาทั้งสี่ กำลังจะได้กลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนเก่าอีกครั้ง และปมปริศนาที่เป็นรอยต่อจะถูกคลี่คลายได้หรือไม่นั้น ต้องไปหาดูกันเองนะ
......
เอาหล่ะ จากชื่อหัวข้อเรื่องที่เห็นในเอนทรี่นี้
คงรู้แล้วสินะว่า ไม่ได้มาเฉลยเรื่องหรือเขียนเชิงวิจารณ์ภาพยนตร์หรอก แต่ในระหว่างที่กำลังอิ่มเอิมไปกับ เรื่องราวของมิตรภาพเราก็เกิดมาสะดุด กับอะไรบางอย่างเข้า รองมาจากเรื่องที่ขึ้นไปจอดรถบนชิมลานั่นแหละ
หากเจ้าฟาร์ฮาน ไม่คิดอะไรดังจนเกินไปดังเช่น
I've always been a law abiding citizen. But in the last 24 hours, I grounded an airplane, nearly flushed someone's remains down the toilet, and helped Pia escape her wedding. All for Rancho. He would've done the same for any of us, too , like stealing a copy of the final exam that was designed for Raju's failure.
นึกย้อนไปถึง ระยะเวลาที่เคยใช้เดินทางด้วยรถโดยสาร
เดลี - ชิมลา : 8 ชั่วโมง ชิมลา - มะนาลี : 8 ชั่วโมง ส่วน มะนาลี - เลห์ เจ้าของบล็อก ยังไม่เคยไป
แม่เจ้าโว้ย นี่มันชะโงกทัวร์ชัดๆ
หนึ่งวันเต็มกับแพคเกจพิเศษ
เดลี - ชิมลา - มะนาลี - ลาดักห์
ไปกับคณะ 3 idiots
ท่าทางรถแดงของของชาตูร์ น่าจะเหาะมากกว่าวิ่งนะเนี่ย
Everything is possible in Bollywood !
แต่ถามว่า หนังเรื่องนี้ ควรค่าต่อการดูไหม? ตอบได้โดยไม่คิดมากเลยว่า ควรดู ค่ะ
.....
อนึ่ง
แรงบันดาลใจต้นแบบของบท รานโช มาจาก วิศวกรชาวลาดักห์ ผู้มีนามว่า Sonam Wangchuk
ปีที่ฉาย ภาพยนตร์ คือ ปี 2009 ส่วนเจ้าของบล็อก เพิ่งจะได้ดู - เมื่อต้นปี 2015
### NO VOTE ###
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2560 |
|
16 comments |
Last Update : 22 ธันวาคม 2560 15:15:57 น. |
Counter : 3066 Pageviews. |
|
 |
|
ไม่ได้ดูหนังอินเดียมานานมาก แต่วันก่อนได้ดูสารคดี เค้าพูดถึงอินเดีย มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก ที่นักวิชาการเค้าพูดว่า "แหล่งน้ำที่มาจาก rain forest ที่สำคัญของโลกอยู่ที่อินเดีย" และ แม้ว่า อินเดียจะเป็นประเทศที่มีประชากรเยอะแต่..ความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้เยอะตามจำนวนประชากรที่มี บางพื้นที่ใช้ไฟฟ้าแค่นิดเดียว คือ..โดยสรุปเค้าบอกว่า อินเดียคือประเทศที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งเลยอ่ะค่ะ ความแย่คือ ...ประเทศอื่นๆที่สร้างมลภาวะเป็นพิษนี่ไงที่ ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศที่ดีๆแบบ อินเดีย .. เราอ่านแล้ว อยากย้ายไปอยู่อินเดียเลยอ่ะค่ะ