
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
ว่าด้วยการปฏิบัติธรรม 7 วัน (1)
...
สวัสดีครับ 
ก็ยังยุ่งอยู่เล็กๆครับ หลังจากกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นตารางเวลาหลักๆครับ (อาจมีคลาดเคลื่อนนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร) สำหรับกิจกรรมในช่วง 8 วัน 7 คืนของผมที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซ.เพชรเกษม 54
04.00 น. ตื่นนอน ฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ 05.30 น. สวดมนต์ ฟังธรรม 07.00 น. รับประทานอาหารเช้า 08.00 น. ฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ 12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน 13.00 น. ฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ 15.00 น. ฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ 17.00 น. รับประทานอาหารเย็น 18.00 น. สวดมนต์เย็น ฟังธรรมบรรยาย 19.15 น. ฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ 21.00 น. พักผ่อน
ปัญหาที่หนักอกหนักใจที่สุดสำหรับตัวผม ทั้งช่วงก่อนไปและระหว่างอยู่ที่นั่น ก็คือการนั่งขัดสมาธิ เพราะเพียงแค่วันแรกที่ต้องนั่งฟังพรีเซนเทชั่นแนะนำการใช้ชีวิตในช่วงที่ปฏิบัติธรรมประมาณ 2 ชั่วโมง บนพื้นห้องกรรมฐาน ซึ่งหมายถึงการนั่งขัดสมาธิ และนั่งพับเพียบ ผมก็ปวดขาแทบแย่อยู่แล้ว และมันแสดงออกให้เห็นชัดเลยระหว่างเดินแถวไปรับประทานอาหารกลางวัน ต้องเดินขโยกเขยกอยู่หลายนาทีทีเดียว
จำนวนผู้มาร่วมปฏิบัติธรรมในโครงการ "พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ของคุณแม่สิริ กรินชัย" มีทั้งสิ้น 327คน (น่าจะจำไม่ผิดนะ ) แบ่งเป็น ชาย-67 คน และหญิง-250 คน อันแสดงถึงความยึดมั่นในศีลในธรรมของผู้ชายเอามากๆ 5555...
หลักเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันที่ได้รับการแจ้งจากวิทยากรก็คือ ทุกคนไม่ควรจะพูดคุยกัน ด้วยแต่ละคนควรจะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง สำรวมกาย วาจา และใจให้ได้มากที่สุด มีสติอยู่กับการกระทำของตัวเองให้มากที่สุด คือกำหนดรู้อยู่ทุกอิริยาบถของตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ชำเลืองมอง กินข้าว ดื่มน้ำ หรือแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำก็ตาม 
พอจบการปฐมนิเทศ ก็ต่อด้วยเวลาอาหาร  ทุกคนกว่า 300 คนจะเข้าร่วมรับประทานอาหารพร้อมๆกันในห้องอาหารขนาดย่อมๆ ภาชนะที่ใช้รองรับอาหารเป็นถาดหลุมโลหะ แบบที่ผมเคยใช้สมัยเรียนประถม ซึ่งง่ายต่อการเกิดเสียงดังขณะตักข้าวตักกับข้าวมากๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ทั้งห้องอาหารจะเต็มไปด้วยเสียงช้อน-ส้อมกระทบกับถาดหลุมดังระงม จนต้องถูกปรามเป็นระยะๆจากวิทยากร เสียงจึงค่อยเบาลง
ที่ผนังห้อง มีแผ่นกระดานพลาสติกขนาดย่อมๆที่แสดงถึงข้อกำหนดในการรับประทานอาหาร ผมกะว่าวันสุดท้ายจะเข้าไปจดเก็บไว้ดูว่าทั้ง 15 ข้อมีอะไรบ้าง แต่ด้วยความลิงโลดที่จะได้กลับบ้าน ก็เลยไม่ได้ไปจดอย่างที่ตั้งใจ
วิทยากรเล่าว่า ในพระธรรมวินัยมีบัญญัติไว้ถึงการฉันอาหารของภิกษุทั้งสิ้น 45 ข้อ (หรือว่า 75 ข้อผมก็จำไม่ได้แน่ชัด) แต่ ณ ที่นี้ยกมาเพียง 15 ข้อ ซึ่งรวมๆแล้วเท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ
-ไม่ตักอาหารจนพูนช้อน -ไม่ให้ช้อนและส้อมกระทบกับภาชนะจนเกิดเสียงดัง -ไม่ทานอาหารคำใหญ่จนเต็มปาก -ไม่อ้าปากก่อนจะตักอาหารมาถึงปาก -ไม่เลียช้อน และส้อม -ไม่เคี้ยวอาหารขณะถือช้อนและส้อมอยู่ในมือ -ไม่กัดแทะอาหาร หากอาหารชิ้นที่จะรับประทานมีขนาดใหญ่ ให้ทำการตัดแบ่งให้พอดีคำเสียก่อนที่จะตักทาน -ไม่ตักอาหารคำใหม่ก่อนที่จะกลืนอาหารคำเดิมเข้าไป
ประมาณนี้ล่ะครับ  ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวที่ว่ามา จึงทำให้สปีดการกินอาหารของผมลดต่ำลงหลายเท่าตัว และทรมานใจตัวเองมากกับการกินข้าวได้ทีละคำๆ ทำให้เวลาพักกลางวันกว่าร้อยละ 85 หมดไปล้วนๆให้กับการกินข้าว
พอเข้าภาคบ่ายก็เริ่มการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเริ่มสวดมนต์ และสมาทานศีลที่เราจะยึดถือและงดเว้นการปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เหมาะสมระหว่างอยู่ที่นี่ ก่อนจะเป็นการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ  ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ย ว่าการเดินจงกรมมีท่าเฉพาะในการเดินด้วย เคยนึกไปเองแบบไม่ถูกมาตลอดว่า เดินจงกรมก็คือเดินเท้าปกติแต่เดินช้าๆ และแน่นอนว่าทุกขณะ ทุกความเคลื่อนไหว และทุกๆย่างก้าว ต้องกระทำด้วยการที่สติเรากำหนดรู้อยู่ตลอดถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะทุกส่วน รวมถึงจิตใจในขณะนั้นๆว่ากำลังคิดหรือไม่คิดว่อกแว่ก พอเสร็จสิ้นจากการเดินจงกรมก็มาถึงเวลาที่รอคอยครับ นั่นคือ ช่วงเวลาของการนั่งสมาธิ 
วิทยากรแนะนำว่า ทุกคนควรจะนั่งขัดสมาธิแบบขาขวาทับขาซ้าย เพราะเป็นท่าที่ทำให้เลือดลมเดินได้สะดวก ซึ่งผมก็เคยอ่านหนังสือเจอคำอธิบายแบบนี้มาเหมือนกัน และไม่เข้าใจว่าท่านี้มันสะดวกตรงไหน ปวดเมื่อยขาจะตายไป  แต่เมื่อมาถึงไฟท์บังคับก็ต้องนั่งล่ะครับ
และระหว่างที่นั่ง ก็ให้แต่ละคนกำหนดรู้ที่จุดบริเวณเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้วว่ากำลัง "พอง" หรือ "ยุบ" อยู่ และระหว่างนั้น หากมีอารมณ์และความรู้สึกใดๆมากระทบ "อายตนะ 6" ของเรา อันประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้เราเปลี่ยนมากำหนดรู้อารมณ์นั้นชั่วครู่แทน ก่อนจะกลับไปสนใจ "พอง" และ "ยุบ" ตามเดิม
เช่น ผมนั่งอยู่ก็กำหนดไปว่า "พองหนอ" และ "ยุบหนอ" ตามการเคลื่อนไหวของท้อง แต่จู่ๆมีคนข้างๆจามเสียงดังขึ้นมาปุ๊ป ผมก็ต้องหันมากำหนดรู้ในใจแทนว่า "ได้ยินหนอ" เป็นต้น หรือหากเกิดอาการปวดเมื่อยขาจับใจขึ้นมา ก็ต้องเปลี่ยนมากำหนดรู้ว่า "ปวดหนอ" แทน เป็นจำนวน 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะหันไปสนใจกับ "พอง" และ "ยุบ" ตามเดิม
ซึ่งต้องสารภาพตามตรงว่า 2 - 3 วันแรก ผมไม่ได้ให้ความใส่ใจ "พอง" และ "ยุบ" เลยแม้แต่น้อย ลำพังอาการปวดเจียนคลั่งของขาทั้งสองข้างก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  ปวดจริงๆครับ ปวดมาก 
ครั้นจะหันมาใส่ใจกับ "พอง" และ "ยุบ" การหายใจของผมก็ดันไม่สัมพันธ์กับอาการทังสองนั้นอีก เพราะโดยปกติ คนทั่วไปเมื่อหายใจเอาอากาศเข้าท้องไป ท้องควรจะพอง และหากหายใจเอาอากาศออกก็จะทำให้ท้องแฟบ แต่ของผมมันเป็นตรงข้ามครับ 
เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนอยู่ ม.4 ผมได้อ่านหนังสือกังฟูเล่มหนึ่ง ในนั้นมีเนื้อความประมาณว่า...หากเราหายใจเข้าแล้วท้องแฟบ หายใจออกแล้วท้องพอง (อันแสดงถึงการปล่อยพลังออกมาจากร่างกายทั้งหมด) บ่อยเข้า จะเป็นการสร้างกำลังภายในของตัวเองขึ้นมา...  เข้าล็อกเลยครับ อยากเป็นจอมยุทธมาแต่เด็กแล้ว และหลายปีนับจากนั้น ผมก็หายใจเข้า-ออกเพื่อความอยากได้ "กำลังภายใน" มาโดยตลอดจนถือได้ว่าติดเป็นนิสัย พอจู่ๆจะให้มาเปลี่ยนแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเอาในเวลาอันสั้น มันจึงเป็นเรื่องยากกกกกกกกกกกกกกกก....สุดๆ นึกย้อนไปก็ตลกตัวเองอยู่เหมือนกันครับ 
วิทยากรจะบอกทุกคนว่า หากปวดหรือเมื่อยขาก็ให้กำหนดรู้ว่าปวดว่าเมื่อย แล้วก็กลับไปกำหนดรู้ "พอง" และ "ยุบ" ตามปกติ อย่าไปใส่ใจกับความปวด จงให้ใจเราดูและรู้ความปวด แต่อย่าให้ใจเราปวดไปกับขา ฟังดูแล้วเท่ห์มากเลยครับ ซึ่งผมก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พอปวดขาปุ๊ปก็กำหนดในใจว่า "ปวดหนอ...ปวดหนอ" แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย ครั้นจะกลับไปหา "พอง" และ "ยุบ" การหายใจของผมกับ "พอง" และ "ยุบ" มันก็ดันไม่สัมพันธ์กันไปอีก เครียดไปใหญ่เลยสิทีนี้ 
เมื่อกำหนด "พอง" กับ "ยุบ" ไม่ได้แล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ "ปวด" และ "เมื่อย" แค่ 2 อย่างครับให้กำหนดรู้ ตลอดช่วงเวลาของการนั่งสมาธิของผมจึงเต็มไปด้วยการกำหนดรู้แบบใจจะขาดประมาณว่า "ปวดหนอ", "เจ็บหนอ", "ทนไม่ไหวแล้วหนอ", "ไม่อยากนั่งแล้วหนอ", "ขาจะขาดแล้วหนอ" อะไรประมาณนี้ล่ะครับ 
เรียกได้ว่าไม่มีความสุขและไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อยนิด และจุดพีกของความปวดก็อยู่ในวันที่ 2 ช่วงบ่าย เมื่อความปวดมันแบบว่า...เกินทน...จริงๆครับ
ผมได้แต่ภาวนาอ้อนวอนในใจถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ถึงเจ้ากรรมนายเวรที่ผมได้เคยล่วงเกินไป ว่าได้โปรดเถิดช่วยให้ความปวดมันหายไปทีเถิด  เข้าใจเลยครับว่าในบางขณะทำไมคนเราถึงงมงาย และศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างแบบไม่ลืมหูลืมตา
หากเป็นภาวะปกติ ผมค่อนข้างจะเหยียดๆกับการกระทำในเชิงอ้อนวอนและร้องขอประมาณนี้ด้วยซ้ำ (ซึ่งเป็นนิสัยไม่ดีเลยครับ
) แต่พอมาตกอยู่ในอาการปวดจนทนไม่ได้ปุ๊ป จิตใจที่ไปผูกอยู่กับความปวดมันพาให้เราลงต่ำจนกระทำการอย่างนั้นได้เลย
วันที่ 2 ก็แย่ซะแล้ว แล้วผมจะมีชีวิตอีก 6 วันที่เหลือในสภาพไหนล่ะเนี่ย?  ไว้จะมาเล่าต่อคราวหน้านะครับ 
ขอบคุณที่แวะเข้ามาครับผม 
Create Date : 25 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 25 สิงหาคม 2549 17:23:29 น. |
|
33 comments
|
Counter : 885 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:0:15:43 น. |
|
โดย: MinnyJa วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:5:06:25 น. |
|
โดย: แร้ไฟ วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:0:08:18 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:7:20:21 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:8:23:28 น. |
|
โดย: ปุ้ม หญิง วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:9:29:20 น. |
|
โดย: เซียวเปียกลี้ IP: 203.154.145.10 วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:11:03:40 น. |
|
โดย: its_gemmi IP: 82.60.175.158 วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:2:52:01 น. |
|
โดย: นายเบียร์ วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:5:43:50 น. |
|
โดย: keyzer วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:10:51:47 น. |
|
โดย: StrayBird วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:12:02:43 น. |
|
โดย: เซียวเปียกลี้ IP: 203.154.145.10 วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:18:55:25 น. |
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:19:20:45 น. |
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 29 สิงหาคม 2549 เวลา:19:25:12 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 30 สิงหาคม 2549 เวลา:10:04:27 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 30 สิงหาคม 2549 เวลา:13:04:00 น. |
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 30 สิงหาคม 2549 เวลา:16:00:36 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 30 สิงหาคม 2549 เวลา:16:56:36 น. |
|
โดย: rebel วันที่: 30 สิงหาคม 2549 เวลา:20:19:15 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:15:06:50 น. |
|
โดย: +[มิโช่น้อยๆ]+ (Cecile_FCB ) วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:19:00:44 น. |
|
โดย: disordered วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:20:24:44 น. |
|
โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:23:46:48 น. |
|
โดย: MinnyJa วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:23:51:19 น. |
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 1 กันยายน 2549 เวลา:0:12:50 น. |
|
| |
|
The Legendary Midfielder |
 |
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
... " เพราะเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี, เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด, เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ " หากปรารถนาผลอันดี พึงสร้างเหตุสร้างปัจจัยอันดี "
... " ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ "
... " ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจจะพบฟากฝั่ง "
... "หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น "ทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว"
... "...กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาดมาก่อน "ไม่ว่าเราจะประสบพบกับคราวเคราะห์หนักหนาสาหัสแค่ไหน "ให้ระลึกไว้ว่านั่นเป็นสิ่งที่สมควรและสาสมแก่เราแล้ว "เป็นเพราะเราได้สร้างเหตุนั้นๆมาก่อน "ผลเช่นนี้จึงตามมา..."
|
|
 |
|
แต่ถ้าไปผจญภัย ไปฝึกค่ายทหาร เราว่าจะยังเหมาะกับเรามากกว่าซะอีกค่ะ