
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
เราจะไม่ยึดติดกับรูปสวยๆ เสียงเพราะๆ ได้อย่างไร? (1)
...
สวัสดีครับ 
(หมายเหตุ: อัพบล็อกคราวนี้มีธรรมะจากบางส่วนของพระนิพนธ์ใน "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก องค์ที่ 19" เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" มาฝากนะครับ ซึ่งค่อนข้างยาวพอสมควรทีเดียว และผมคงต้องค่อยๆทยอยมาโพส 2 - 3 ครั้ง กว่าจะจบส่วนของเนื้อหาที่อยากนำมาแบ่งปันกันคราวนี้
และก็ตามฟอร์มของ นัท-คุง ที่ก่อนจะเข้าเรื่องต้องชักมหาสมุทรทั้ง 7 มาผูกเข้าด้วยกันก่อน ซึ่งจะทำให้เนื้อหามันเยอะขึ้นอีก ใครที่ขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปอ่านในส่วนของพระนิพนธ์ฯได้เลยนะครับ )
ครั้งหนึ่ง นัท-คุง เคยคิดจะ "หักดิบ" อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง ด้วยการตั้งเป้าหมายว่า... นัท-คุง จะไม่ยึดติดกับรูปสวยๆและเสียงเพราะๆอีกต่อไป!!! (ชื่อหัวข้อบล็อกคราวนี้ได้มาจากการอ่านกระทู้ในห้องศาสนา ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ )
จึงได้เสาะแสวงหาวิธีว่าจะทำเช่นไรดีหนอเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ศึกษาไปเรื่อยๆในอินเตอร์เน็ทก่อนจะพบว่า "อสุภกรรมฐาน" เป็นวิถีทางหนึ่งที่ช่วยได้
นัท-คุง จึงไล่ล่าหาเว็บไซท์ที่อุดมไปด้วย ภาพร่างกายของบุคคลอย่างเราๆท่านๆหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว อย่างเอาเป็นเอาตาย พูดง่ายๆก็คือหาภาพศพนั่นแหละ 
โดยปกติแล้ว การเจริญอสุภกรรมฐาน หรือการพิจารณาให้เห็นถ่องแท้ว่าร่างกายของคนเราทุกคนล้วนไม่ใช่สิ่งสวยงามนั้น เป็นไปเพื่อให้ผู้ที่ได้เจริญภาวนา สามารถละความยึดติดในรูปได้ ไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์อันเป็นสิ่งฉาบฉวยอีกต่อไป ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ นัท-คุง กระทำ
เพราะความมุ่งหมายของ นัท-คุง นั้น นัท-คุง ดูภาพศพไปเพื่อทำให้ตัวเองเกิดความขยะแขยงในร่างกายของมนุษย์ จนถึงระดับที่ไม่คิดจะพิศวาสใครอีกต่อไป ประมาณว่าส่องกระจกดูตัวเอง หรือว่ามองเห็นใครเดินผ่านมาปุ๊ป ก็อยากที่จะมีตา X-ray ส่องทะลุผิวหนังชั้นนอกไปมองเห็นอวัยวะภายในโดยอัตโนมัติอย่างไรอย่างนั้นเลย
ซึ่งความมุ่งหมายของ นัท-คุง ดังกล่าว รังแต่จะทำให้จิตใจเกิดความหมองเศร้า และนำไปสู่อบายได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า นัท-คุง จะเก่งกล้าสามารถนั่งเพ่งภาพศพหน้าจออยู่คนเดียวไปมาได้นานๆนะครับ แต่ละครั้งยังคงต้องไปดึงเอาผู้คนรอบข้างผู้ชอบของแปลก และอยากลองดูอะไรน่ากลัวๆมาดูเป็นเพื่อนด้วย
ทุกครั้งที่ดู นัท-คุง ก็จะรู้สึกตัวเองได้ว่ากำลังทำหน้าเหยเกอยู่กับสภาพความเป็นจริงของร่างกายคนเราที่เห็นอยู่ตรงหน้า และช่วงเวลาในขณะที่ดูภาพจนถึงหลังจากเสร็จสิ้นสิ่งที่ตัวเองคิด (เอาเอง) ว่าเป็นวิถีทางสัก 2-3 ชั่วโมง นัท-คุง ก็จะรู้สึกได้ในตัวเองว่า...ร่างกายคนเราไม่ใช่สิ่งสวยงามเอาเสียเลย ก่อนที่จะกลับไปเริงร่าตามเดิม 
ช่วงที่พีคที่สุดของ นัท-คุง กับการกระทำที่มีความมุ่งหมายผิดๆดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ นัท-คุง เข้าไปยังเว็บไซท์ของวัดแห่งหนึ่งที่มีแกลเลอรี่ภาพศพสำหรับให้ผู้ต้องการเจริญอสุภกรรมฐานได้เข้าไปยลกัน
ขณะนั้น นัท-คุง ไปจกแนวร่วมมานั่งเป็นเพื่อนได้ 1 คน ก็นั่งดูภาพโน้นภาพนี้กันไปเรื่อย เช่นภาพศพทหารที่ตายในสงคราม ภาพศพถูกรถชน... (ต้องบอกก่อนว่า บางครั้งภาพศพที่ใครต่อใครรวมถึง นัท-คุง เห็นว่ามันน่ากลัวน่ะ จริงๆแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เราดูหนังแล้วเห็นผู้ร้ายถูกยิงล้มไปต่อหน้าต่อตานั้นหรอก เพียงแต่ตัวความคิดที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นศพ และศพต้องน่ากลัว นั่นต่างหากที่ทำให้เรารู้สึกกลัวจริงๆ)
จนกระทั่งมาถึงภาพๆหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่ นัท-คุง คิดว่าน่ากลัวจริงๆจังๆติด Top 5 เท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต   
ลองนึกถึงภาพส้ม 1 ผลนะครับ ก่อนกินส้มเราก็ต้องปอกเปลือกก่อนใช่ป่าว? สมมติให้ปอกเปลือกโดยการผ่า เริ่มด้วยการเอามีดกรีดเป็นรอยกากบาทส่วนบนสุดของผลส้ม จากนั้นก็ค่อยๆดึงเปลือกส้มที่แยกออกเป็น 4 ชิ้นจากการกรีดเป็นรูปกากบาทออกช้าๆ ช้าๆ ช้าๆ... ในที่สุด เราก็จะได้ผลส้มสีส้มสดใสที่ไม่มีเปลือกส้มมาบัง
ครับ ภาพที่ นัท-คุง เห็นคือภาพศพที่ถูกถลกหนังหัวมาด้วยกรรมวิธีเดียวกันกับการปอกเปลือกส้มที่อธิบายไว้ข้างต้น  ดูจากปัจจัยแวดล้อมภายในภาพ คล้ายๆกับว่าศพนี้จะถูกส่งมาชันสูตรโดยแพทย์เพื่ออะไรสักอย่าง
พอภาพดังกล่าวปรากฎขึ้นบนจอได้ประมาณ 2 วินาที เพื่อนของ นัท-คุง ก็ร้อง "เฮ้ย!!!" แล้วลุกพรวดออกไปจากอาณาบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ นัท-คุง นั่งอยู่เพียงลำพัง ตั้งสติอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกล้าเอื้อมมือไปปิดหน้าจอที่แสดงภาพดังกล่าวได้
และในคืนนั้นเอง นัท-คุง ก็ต้องผวาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกโชคดีที่ไม่ปวดท้องหรือมีอาการอะไร เพราะสภาพจิตและอารมณ์ขณะนั้นไม่เหมาะแก่การลุกไปจากที่นอนเอาเสียเลย นอนนิ่งๆข่มอารมณ์ ข่มจิตข่มใจอยู่พักใหญ่ๆกว่าจะหลับลงได้อีกครั้ง 
นับจากนั้น นัท-คุง ก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามาผิดทาง  โดยเรียนรู้ได้อย่างหนึ่งว่า หากตั้งเป้าหมายไว้ผิดรวมถึงมีความมุ่งหมายผิดๆเสียแล้ว ไม่มีทางเสียเลยที่จะพ้นทุกข์ไปได้
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าการดูภาพศพเพื่อเจริญอสุภกรรมฐานเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องนะครับ มันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคลมากกว่า และก็เช่นกันที่ไม่ได้หมายความว่า หลังจากนั้น นัท-คุง จะพ้นทุกข์ไปแล้ว เพราะดูเหมือนจะทุกข์หนักกว่าเดิมเสียอีก 
ขอจบการชักมหาสมุทรทั้ง 7 ไว้ ณ ที่นี้นะครับ 
เราจะไม่ยึดติดกับรูปสวยๆ เสียงเพราะๆ ได้อย่างไร
1) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน หรือมรณานุสสติกรรมฐาน ซึ่งก็คือการใคร่ครวญถึงความตายเป็นอารมณ์
อันความมรณะนั้นเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถที่จะเอาชนะได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบรรลุถึงพระธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ตาย แต่ก็ยังต้องทรงทอดทิ้งพระสรีระร่างกายไว้ในโลก การระลึกถึงความตายจึงเป็นการเตือนสติให้ตื่น รีบพากเพียรชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนที่ความตายจะมาถึง พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญมรณัสสติว่า "มรณัสสติ (การระลึกถึงความตาย) อันบุคคลทำให้มากแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่พระนิพพานเป็นที่สุด ฯลฯ" อันมรณัสสติกรรมฐานนั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งแม้จะได้บรรลุมรรคผลแล้ว ก็ยังไม่ยอมละ เพราะยังทรงอารมณ์มรณัสสตินี้ควบคู่ไปกับวิปัสสนา เพื่อความอยู่เป็นสุข ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ฯลฯ"
มรณัสสติกรรมฐานนั้น โดยปกติเป็นกรรมฐานของผู้ที่มีพุทธจริต คือคนที่ฉลาด การใคร่ครวญถึงความตายเป็นอารมณ์ก็คือการพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ว่า ไม่ว่าคนและสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญวัยเป็นหนุ่มสาว เฒ่าแก่แล้วก็ตายไปในที่สุด ไม่อาจจะล่วงพ้นไปได้ทุกผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนยาก ดี มี จน เด็ก หนุ่ม สาว เฒ่าแก่ สูง ต่ำ เหลื่อมล้ำกันด้วยความตาย
ผู้ที่คิดถึงความตายนั้น เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต ไม่มัวเมาในชีวิต เพราะเมื่อคิดถึงแล้วย่อมเร่งกระทำความดีและบุญกุศล เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่จะติดตามไปในภพชาติหน้า ผู้ที่ประมาทมัวเมาต่อทรัพย์สมบัติยศตำแหน่งหน้าที่นั้นเป็นผู้ที่หลง เหมือนกับคนที่หูหนวกและตาบอด ซึ่งโบราณกล่าวตำหนิไว้ว่า "หลงลำเนาเขาป่ากู่หาพอได้ยิน หลงยศอำนาจย่อมหูหนวกและตาบอด" และกล่าวไว้อีกว่า "หลงยศลืมตาย หลงกายลืมแก่"
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อใกล้จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอีก 3 เดือน ได้ทรงปลงอายุสังขาร แล้วตรัสสอนพระอานนท์พร้อมหมู่ภิกษุทั้งหลายว่า
"อานนท์ ตถาคตได้เคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า สัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น สัตว์จะได้ตามปรารถนาในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า การที่จะขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว ที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว และที่จะต้องมีการแตกดับเป็นธรรมดาว่าอย่าฉิบหายเลย ดังนี้ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะมีได้ เป็นได้
"การปรินิพพานของเราตถาคตจักมีในกาลไม่นานเลย ถัดจากนี้ไปอีก 3 เดือน เราจักนิพพานฯลฯ
"สัตว์ทั้งปวงที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่ ทั้งที่เป็นพาลและบัณฑิต ทั้งที่มีมั่งมีและยากจน ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้า
"เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อได้ปั้นแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกและยังดิบ ล้วนแต่มีการแตกทำลายไปในที่สุดฉันใด ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น
"วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว เราจักต้องละพวกเธอไป ที่พึ่งของตนเองเราได้ทำแล้ว
"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิดในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาท ก็สามารถที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
"และในวันมหาปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทที่เรียกกันว่า 'อัปปมาทธรรม' สั่งสอนพระสาวกเป็นครั้งสุดท้าย จนดูเหมือนว่าพระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ที่ทรงสั่งสอนมานานถึง 45 พรรษา ได้ประมวลประชุมรวมกันในพระปัจฉิมโอวาทนี้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ตถาคตขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" 
To Be Continued...
--ขอบคุณที่แวะมาครับผม --
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2550 13:38:51 น. |
|
35 comments
|
Counter : 948 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: sak (psak28 ) วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:39:41 น. |
|
โดย: Noname - โนนามิ IP: 124.120.0.75 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:24:51 น. |
|
โดย: zakk คุง (ZAkk Blade ) วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:49:50 น. |
|
โดย: rebel วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:40:03 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:22:12 น. |
|
โดย: poser (poser ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:02:53 น. |
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:19:52 น. |
|
โดย: keano (jonykeano ) วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:43:44 น. |
|
โดย: แดดร่มลมโชย วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:14:15 น. |
|
โดย: prncess วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:57:29 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:07:35 น. |
|
โดย: prncess วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:32:13 น. |
|
โดย: กระต่ายลงพุง วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:11:20 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:50:19 น. |
|
โดย: Keyzer IP: 58.136.62.195 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:31:24 น. |
|
โดย: Keyzer IP: 58.136.62.195 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:33:18 น. |
|
โดย: sak (psak28 ) วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:58:47 น. |
|
โดย: ชิวเทียน วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:36:11 น. |
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:21:16 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:02:53 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:12:21 น. |
|
โดย: brabra (brabra ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:43:07 น. |
|
โดย: whitelady วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:42:59 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:51:11 น. |
|
โดย: rebel วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:20:07:29 น. |
|
โดย: ชิวเทียน วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:49:46 น. |
|
| |
|
The Legendary Midfielder |
 |
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
... " เพราะเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี, เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด, เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ " หากปรารถนาผลอันดี พึงสร้างเหตุสร้างปัจจัยอันดี "
... " ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ "
... " ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจจะพบฟากฝั่ง "
... "หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น "ทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว"
... "...กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาดมาก่อน "ไม่ว่าเราจะประสบพบกับคราวเคราะห์หนักหนาสาหัสแค่ไหน "ให้ระลึกไว้ว่านั่นเป็นสิ่งที่สมควรและสาสมแก่เราแล้ว "เป็นเพราะเราได้สร้างเหตุนั้นๆมาก่อน "ผลเช่นนี้จึงตามมา..."
|
|
 |
|