กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
21 กันยายน 2567
space
space
space

พระไตรปิฎกกับสัทธรรม ๓

235 หาเรื่องมาลง 450 ได้เรื่องมาเล่า    121   

- ทั้งหมดในพระไตรปิฏกเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง

->ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ตนเอง  เป็นประสบการณ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ประสบการณ์ของเรา  จริงสำหรับพระพุทธเจ้า ไม่ได้จริงสำหรับเรา
จึงป่วยการที่จะเถียงกันในเรื่องของตำรา เพราะเราก็ไม่ได้รู้จริง เห็นจริงอย่างท่าน (ปฏิเวธ) ของจริงต้องเกิดจากประสบการณ์ตนเองเท่านั้น จึงกล้าพูดได้เต็มปาก นำมาเถียงกันได้เต็มปาก ของปลอมของก๊อบก็ได้แต่อ้างคำคนอื่น แล้วมาเถียงกันอยู่ร่ำไป
คงไม่มีใครโง่พอที่จะเถียงกันด้วยเรื่องของคนอื่น หรือคำพูดของอื่นหรอกมั้ง เอ๊ะ หรือว่ามีกันครับ ลองคิดดูดีๆ ว่าเราอยากเป็นคนแบบไหน ให้เลือกเอา ตามใจชอบ

https://pantip.com/topic/42976860

 


 
235 พระไตรปิฎกกับพระสัทธรรม  ๓
 
     อีกแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนานี้  ตัวแท้ตัวจริงถ้าสรุปง่าย ๆ ก็เป็น ๓ ดังที่เรียกว่าเป็น สัทธรรม ๓ คือ ปริยัติ  ปฏิบัติ และปฏิเวธ
 
     ปริยัติ   ก็คือพุทธพจน์ที่เรานำมาเล่าเรียนศึกษา ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎก   ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก  พุทธพจน์ก็ไม่สามารถมาถึงเราได้   เราอาจกล่าวได้ว่า  ปริยัติเป็นผลจากปฏิเวธ และเป็นฐานของการปฏิบัติ
 
     พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุผลการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงนำประสบการณ์ที่เป็นผลจากการปฏิบัติของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรองสั่งสอนพวกเรา คือ ทรงสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสังสอนของพระองค์นัน ก็มาเป็นปริยัติของเรา คือ เป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน  แต่ปริยัติที่เป็นผลจากปฏิเวธนั้น  หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ คือ ผลการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า และที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤๅษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือศาสดาอื่นใด
 
     ถ้าไม่ได้เล่าเรียนปริยัติ   ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า   การปฏิบัติของเราก็เขว ก็ผิด ก็เฉไฉ ออกนอกพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติผิด  ก็ได้ผลที่ผิด   หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบ  ซึ่งตนหลงเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้
 
     ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน  ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด  เป็นอันว่า ล้มเหลวไปด้วยกัน
 
     พูดง่ายๆ ว่า จากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า   ก็มาเป็นปริยัติของเรา   แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น  เมื่อปฏิบัติถูกต้อง ก็บรรลุปฏิเวธอย่างพระพุทธเจ้า   ถ้าวงจรนี้ยังดำเนินไป   พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ยังคงอยู่
 
     ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า และเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย  ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ
 
     ฉะนั้น   มองในแง่นี้ก็ได้ความหมายว่า   ถ้าเราจะรักษาปริยัติ  ปฏิบัติ  และปฏิเวธไว้  ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั้นเอง
 
     ตกลงว่า  ในความหมายที่จัดแบ่งตัวพระศาสนาเป็นสัทธรรม ๓ หรือ บางทีแยกเป็นศาสนา ๒ คือ ปริยัติศาสนา กับ ปฏิบัติศาสนา นั้น รวมความก็อยู่ที่พระไตรปิฎกเป็นฐาน  จึงต้องรักษาพระไตรปิฎกไว้  เมื่อรักษาพระไตรปิฎกได้ ก็รักษาพระพุทธศาสนาได้

 



Create Date : 21 กันยายน 2567
Last Update : 22 กันยายน 2567 4:46:35 น. 0 comments
Counter : 166 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space