กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
24 กันยายน 2567
space
space
space

พระไตรปิฎกมีการรักษาสืบทอดมาถึงเราได้อย่างไร


 
235 พระไตรปิฎกมีการรักษาสืบทอดมาถึงเราได้อย่างไร
 

     การสังคายนา หรือ สังคีติ  ครั้งที่ ๑  นี้ย่อมเป็นสังคายนาครั้งสำคัญที่สุด  เพราะพุทธพจน์ที่รวบรวมประมวลมาทรงจำเป็นแบบแผน หรือเป็นมาตรฐานไว้ครั้งนี้มีเท่าใด  ก็คือได้เท่านั้น ต่อจากนั้น  ก็มีแต่จะต้องทรงจำรักษาพุทธพจน์ที่รวมได้ในสังคายนาครั้งที่ ๑ นี้ไว้ให้ถูกต้องแม่นยำ บริสุทธิ์หมดจด และครบถ้วนที่สุด  พูดสั่นๆ ว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์  ด้วยเหตุนี้  ในเวลาหลังจากนี้ พระเถระผู้รักษาพุทธพจน์จึงเน้นวิธีการรักษาด้วยการสาธยาย และการมอบหมายหน้าที่ในการทรงจำแต่ละหมวดหมู่ เป็นต้น
 
     โดยนัยดังกล่าว  การสังคายนาที่มีความหมายเป็นการรวบรวมพุทธพจน์แท้จริง ก็มีแต่ครั้งที่ ๑ นี้ การสังคายนาครั้งต่อ ๆ มา ก็คือการที่พระเถระผู้ทรงจำรักษาพุทธพจน์ทั้งหลายมาประชุมกัน ซักซ้อม  ทบทวนทานพุทธพจน์ที่รักษาต่อกันมาตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ ๑ นั้น ให้คงอยู่บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุด คือ ครบถ้วนแม่นยำและไม่มีแปลกปลอม
 
     เนื่องจากต่อมามีภาระเพิ่มขึ้นในด้านป้องกันคำสอนและการประพฤติปฏิบัติแปลกปลอม  การทรงจำรักษาพุทธพจน์จึงเน้นเพิ่มขึ้นในแง่การนำพุทธพจน์ที่ทรงจำรักษาไว้นั้นมาเป็นมาตรฐานตรวจสอบคำสอนและการปฏิบัติทั้งหลายที่อ้างว่าเป็นของพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้คำว่า สังคายนา ในภาษาไทยมีนัยขยายหรืองอกออกไป  คือ  ความหมายว่าเป็นการชำระสะสางคำสอนและวิธีปฏิบัติที่แปลกปลอม
 
     ยิ่งกว่านั้น   ในกาลนานต่อมา    คนบางส่วนยึดเอาความหมายงอกนี้เป็นความหมายหลักของการสังคายนา จนถึงกับลืมความหมายที่แท้ของการสังคายนาไปเลยก็มี   จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันนี้  บางทีบางคนไปไกลมากถึงกับเข้าใจผิดว่าผู้ประชุมสังคายนามาช่วยกันตรวจสอบคำสอนในพระไตรปิฎก ว่า มีทัศนะหรือความคิดเห็นที่ผิดหรือถูก ซึ่งเท่ากับมาวินิจฉัยว่าพระพุทธเจ้า สอนไว้ผิดหรือถูก ที่นั่นที่นี่แล้วจะมาปรับแก้กัน  ฉะนั้น  จึงจำเป็นว่าจะต้องเข้าใจความหมายของ สังคายนาให้ถูกต้อง  ให้แยกได้ว่าความหมายใดเป็นความหมายที่แท้  ความหมายใดเป็นนัยที่งอกออกมา
 
     การสังคายนา หรือสังคีติ  ในความหมายแท้ ที่เป็นการประชุมกัน ซักซ้อมทบทวนรักษาพุทธพจน์เท่าที่มีมาถึงเราไว้ ให้ครบถ้วนแม่นยำบริสุทธิ์ บริบูรณ์ที่สุดนี้  มีความเป็นมาแยกได้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงแรก ท่องทวนด้วย ปากเปล่า เรียกว่า มุขปาฐะ  และช่วงหลัง จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า โปตถกาโรปนะ
 
     ช่วงต้น หรือยุคแรก   นับแต่พุทธกาลตลอดมาประมาณ ๔๖๐ ปี  พระเถระผู้รักษาพระศาสนาทรงจำพุทธพจน์กันมาด้วยปากเปล่า เรียกว่า มุขปาฐะ แปลง่ายๆ ว่า  “ปากบอก”  คือ  เรียน – ท่อง – บอกต่อด้วยปาก  ซึ่งเป็นการรักษาไว้กับตัวคน  ในยุคนี้มีข้อดีคือ เนื่องจากพระสงฆ์รู้ตระหนักถึง  ความสำคัญสูงสุดของการรักษาพุทธพจน์  จึงทำให้มีความไม่ประมาท โดย ระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้มีการจำพุทธพจน์ไว้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถือว่าการรักษาพุทธพจน์นี้เป็นกิจสำคัญสูงสุดของการรักษาพระพุทธศาสนา
 
     การรักษาโดยมุขปาฐะ หรือมุขบาฐ นี้ ใช้วิธีสาธยาย ซึ่งแยกได้เป็น ๔ ระดับ คือ
 
        (ก)  เป็นความรับผิดชอบของสงฆ์หมู่ใหญ่สืบกันมาตามสายอาจารย์ที่ เรียกว่า อาจริยปรัมปรา (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เถรวงส์)  โดยพระเถระที่เป็นต้นสายตั้งแต่สังคายนาครั้งแรกนั้น  เช่น พระอุบาลีเถระ ผู้เชี่ยวชาญด้าน พระวินัย  ก็มีศิษย์สืบสายและมอบความรับผิดชอบในการรักษาสั่งสอน อธิบายสืบทอดกันมา
 
        (ข)  เป็นกิจกรรมหลักในวิถีชีวิตของพระสงฆ์ ซึ่งจะต้องเล่าเรียนปริยัติ  เพี่อเป็นฐานของการปฏิบัติที่ถูกต้อง  อันจะนำไปสู่ปฏิเวธ  และการเล่าเรียนนั้นจะให้ชำนาญส่วนใด   ก็เป็นไปตามอัธยาศัย   ดังนั้น  จึงเกิดมีคณะพระสงฆ์ที่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกต่างหมวดต่างส่วนกันออกไป  เช่น  มีพระสงฆ์กลุ่มที่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญในทีฆนิกาย  พร้อมทั้งคำอธิบาย คือ อรรถกถาของทีฆนิกายนั้น  เรียกว่า  ทีฆภาณกะ  แม้มัชฌิมภาณกะ  สังยุตตภาณกะ อังคุตตรภาณกะ และขุททกภาณกะ  เป็นต้น  ก็เช่นเดียวกัน
 
        (ค) เป็นกิจวัตร ของพระภิกษุทั้งหลายแต่ละวัดแต่ละหมู่ ที่จะมาประชุมกัน และกระทำคณสาธยาย คือ สวดพุทธพจน์พร้อม ๆ กัน   (การปฏิบัติ อย่างนี้อาจจะเป็นที่มาของกิจวัตรในการทำวัตรสวดมนต์เช้า – เย็น หรือเช้า – ค่ำ อย่างที่รู้จักกันในปัจจุบัน)
 
        (ง) เป็นกิจวัตร หรือ ข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพระภิกษุแต่ละรูป ดังปรากฏในอรรถกถาเป็นต้นว่า  พระภิกษุเมื่อว่างจากกิจอื่น   เช่น  เมื่ออยู่ผู้เดียว  ก็นั่งสาธยายพุทธพจน์  เท่ากับว่าการสาธยายพุทธพจน์นี้เป็นส่วนหนึ่ง แห่งการปฏิบัติธรรมของท่าน
 
     เนื่องจากพระภิกษุทั้งหลายมีวินัยสงฆ์กำกับให้ดำเนินชีวิตในวิถีแห่ง ไตรสิกขา อีกทั้งอยู่ในบรรยากาศแห่งการเล่าเรียนถ่ายทอดและหาความรู้เพื่อนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ทำให้เกิดมีการรักษาคำสอน  ด้วยการสาธยายทบทวนตรวจสอบกันอยู่เป็นประจำอย่างเป็นปกติตลอดเวลา
 
 
 


Create Date : 24 กันยายน 2567
Last Update : 24 กันยายน 2567 10:05:21 น. 0 comments
Counter : 62 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space