พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องพระไตรปิฎกต่อไป เราจำ
ต้องแยกให้ออกระหว่างปรัชญา กับ
ศาสนา ปรัชญาเป็นเรื่องของ
การคิดหาเหตุผลเป็นสำคัญ
และถกเถียงกันในเรื่องเหตุผลนั้นเพื่อสันนิษฐานความจริง เรื่องที่ถกเถียง หรือคิดหานั้นอาจจะไม่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น
นักปรัชญา อาจจะถกเถียงกันว่า จักรวาลเกิดขึ้นเมื่อไร และจะไปสิ้นสุดเมื่อไร โลกจะแตกเมื่อไร ชีวิตเกิดขึ้นเมื่อไร เป็นต้น และ
นักปรัชญาก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามหลักการอะไร หรือแม้แต่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนคิด เขาคิดหาเหตุผลหาความจริงของเขาไป โดยที่ว่าชีวิตส่วนตัวอาจจะเป็นไปในทางที่ตรงข้ามก็ได้ เช่น
นักปรัชญาบางคนอาจจะเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย
บางคนสํามะเลเทเมา
บางคนมีทุกข์จนกระทั่งฆ่าตัวตาย
แต่ศาสนาเป็นเรื่องของ
การปฏิบัติ เรื่องของการดำเนินชีวิต หรือการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง การปฏิบัตินั้นต้องมีหลักการที่แน่นอนอย่างใดอย่างหนึ่งที่ยอมรับว่าเป็นจริง โดยมีจุดหมายที่แสดงไว้อย่างชัดเจนด้วย
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติคือศาสนิกชน เริ่มต้นก็ต้องยอมรับที่จะปฏิบัติตามหลักการของศาสนานั้น ตามที่องค์พระศาสดา ได้แสดงไว้ ซึ่งเราเรียกว่า
คำสอน ด้วยเหตุนี้ ศาสนิกจึงมุ่งไปที่ตัวคำสอนของพระศาสดาซึ่งรวบรวมและรักษาสืบทอดกันมาในสิ่งที่เรียกกันว่า
คัมภีร์ เมื่อมองในแง่นี้
พระพุทธศาสนาจึงมิใช่เป็นปรัชญา แต่เป็นศาสนา มีพระสมณโคดมเป็นพระศาสดา ซึ่งชาวพุทธทุกคนเชื่อในการตรัสรู้ของพระองค์ สอนวิธีการดำเนินชีวิต ที่เมื่อถึงที่สุดแล้วจะนำไปสู่เป้าหมายคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ คัมภีร์ขนาดใหญ่ที่บรรจุหลักคำสอนเรียกว่า
พระไตรปิฎก ชาวพุทธที่แท้จะต้องปฏิบัติตามคำสอนให้ถูกต้องเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากพระศาสนามากที่สุด และเพื่อเป็นหลักประกันวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็จำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องพระไตรปิฎก