
เขาถาม

> มีเรื่องหนึ่งที่มิตรฯ ตั้งข้อสังเกตว่าสำนวนการแปลบาลีเป็นไทยแบบจารีตนั้น “อ่านยาก”
ทำให้ผมมีข้อสังเกตว่า สำนวนการ
แปลบาลีเป็นไทยแบบจารีต ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการอ่านเอาความ แต่อาจจะมีเจตนาเพื่อที่จะ “แปลกลับ” ได้แบบ lossless ซึ่ง (ถ้าข้อสังเกตผมเป็นจริง) ก็จะอธิบายได้อย่างดีว่าทำไมสนามหลวงถึงยังมีสอบ “วิชากลับ” ทั้งที่ดูจะไม่มีความจำเป็นอะไรเลย (ถ้าเราเรียนบาลีเพื่อที่จะแปลพระบาลีเป็นไทย จะได้ประโยชน์อะไรกับการแปลไทยกลับเป็นพระบาลี แทนที่จะไปเน้นการแต่งภาษาบาลีให้สละสลวยไปเลยตั้งแต่ต้น?)

เขาตอบ

> ขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ หากกล่าวถึงหนังสือเรียนหลักสูตรบาลีที่เป็นเล่มแปลภาษาไทย สาเหตุที่คนสมัยปัจจุบันรู้สึกว่าอ่านยาก เพราะเป็นคำแปลภาษาไทยเมื่อนานมาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้มีหนังสือเรียนสำนวนแปลโดยอรรถใหม่ๆ ที่ใช้ภาษาสมัยปัจจุบันมากขึ้นและอ่านง่ายขึ้นแล้วค่ะ
"สำนวนการแปลบาลีเป็นไทยแบบจารีต" นี้หมายถึง "แปลโดยพยัญชนะ" ใช่ไหมคะ การ
แปลโดยพยัญชนะ มีประโยชน์ตรงที่ทำให้เราสามารถแปลกลับได้ เข้าใจสำนวนภาษาต้นทาง และเป็นการเก็บรักษาในรูปแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่สำหรับอ่านเอาใจความค่ะ
หากอ่านเพื่อศึกษาเนื้อความ ควรอ่านสำนวนแปลโดยอรรถ และเลือกสำนวนที่คนสมัยปัจจุบันแปล สื่อสารกับคนปัจจุบันได้มากกว่าสำนวนแปลที่แปลไว้เมื่อนานมากมาแล้ว
การกลับ (แปลไทยเป็นมคธ) กับการแปล (แปลมคธเป็นไทย) เป็นสิ่งที่ส่งเสริมกันในแง่การเรียนรู้ค่ะ บางสิ่งที่ผู้ศึกษาอาจไม่ได้สังเกตในวิชาแปล ก็อาจสังเกตในวิชากลับ การแปลกลับไปมาเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้
ฝึกฝนนักแปล การแปลพระธรรมเป็นภาษาทิเบตในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๘-๙ ก็ใช้วิธีแปล (สันสกฤตพุทธเป็นทิเบต) และตรวจสอบด้วยการกลับ (ทิเบตเป็นสันสกฤตพุทธ) ส่วนการแต่งไทยเป็นมคธ ป.ธ.๙ และ บ.ศ.๙ นั้น ต้องอาศัยพื้นฐานจากวิชากลับค่ะ เพราะไม่ใช่การกลับตรงๆ แบบวิชากลับ แต่มีการตีความ ตัดเนื้อความ ต่อความ เติมความ เป็นเหมือนวิชาการเขียนอย่างหนึ่ง