ครูที่ยังจำได้ชั่น ป.5.ก.(ตอนแรก)
ครูประจำชั้นที่ยังจำได้ ชั้น ป.5.ก. (ตอนที่ 1)
สมัยสอบผ่านชั้นประถมปีที่ 4 ก. ก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก. ตอนนี้ห้องเรียนได้ขยายเป็น 4 ห้องแล้ว จากเดิมป 1 ถึง ป 4 มีเพียง 3 ห้องคือ ก ข ค แต่เมื่อขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งห้อง เพราะจำนวนนักเรียนที่สมัครเรียนมากขึ้น รวมทั้งเด็กจำนวนหนึ่งเกือบทั้งห้องเป็นเด็กนักเรียนประจำ กินอยู่หลับนอนอยู่ที่โรงเรียน ได้กลับบ้านก็เสาร์อาทิตย์ ถ้าพ่อแม่มารับหรือมีหนังสืออนุญาตให้กลับบ้านเองได้ ส่วนถ้าไม่มารับหรือไม่อนุญาตให้กลับบ้านเองได้ ก็ต้องอยู่ประจำที่โรงเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ แต่จะมีบราเดอร์หรือครูพาเดินเที่ยวในหาดใหญ่ มีเพื่อนผมคนหนึ่งบ้านอยู่ในหาดใหญ่ ถูกพ่อแม่ดัดนิสัยให้มาอยู่โรงเรียนประจำ ปรากฎว่าครบเทอมจึงจะได้กลับบ้านตามเดิม ก็ไม่อยากกลับแล้วเพราะติดเพื่อนมากกว่าเดิม แต่เมื่อกลับไปอยู่บ้านก็จะเรียบร้อยและเป็นระเบียบกว่าอดีตมาก
ครูประจำชั้นคนนี้จำได้แต่ว่าชื่อ ครูประดิษฐ์ แต่จำนามสกุลไม่ได้แล้ว จำได้แต่หน้าเลา ๆ ว่า เป็นคนหน้าอวบอ้วน มีหนวดเคราที่โกนแล้วยังดูออกว่าผ่านการโกนหนวดเครามาแล้วเป็นเส้นแข็ง และเส้นผมและเส้นขนตามแขนก็จะมีลักษณะหยิกมากกว่าปกติ แม้ว่าหน้าตาจะเป็นลูกครึ่งจีนไทยก็ตามแต่ ในชั้นเรียนนี้เริ่มมีครูมาสอนภาษาอังกฤษหนึ่งคน ครูสอนดนตรีอีกหนึ่งคน ครูสอนภาษาไทยอีกหนึ่งคน และครูสอนวิชาพละอีกหนึ่งคน ครูสอนการฝีมืออีกคน งานฝีมือส่วนมากพอทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โรงเรียนก็จะคัดเลือกชิ้นงานดี ๆ แล้วไปเก็บไว้โชว์ที่ตู้โชว์ของโรงเรียน บางชิ้นงานก็จะนำไปขายตอนช่วงคริสมาสต์เข้าเป็นรายได้ของโรงเรียนต่อไป ส่วนชิ้นงานที่ไม่ได้เรื่องก็จะส่งคืนเด็กหรือบางทีก็เอาไปทำไม้ฟืนต่อไป ส่วนครูประจำชั้นผูกขาดสอนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
สำหรับครูสอนวิชาดนตรี ก็สอนการอ่านโนตดนตรี แล้วให้โจทย์มาคือ แต่งเพลงตามโนตดนตรีที่สอน ก็ปรากฏว่าสอบตกตามระเบียบเกือบทั้งห้อง แต่มีผลต่อคะแนนเรียนน้อยมากเพราะเก็บคะแนนเพียงยี่สิบคะแนนจากหนึ่งพันคะแนน คือ คะแนนจริง ๆ ก็คือสองคะแนน จากคะแนนเต็มร้อย เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจมาแต่แรกเริ่มหรือมีพื้นฐานแต่อย่างใดเลย เว้นแต่เด็กนักเรียนที่เป็นนักดนตรีวงดุริยางสากลของโรงเรียนที่สอบผ่าน เพราะจำโนตดนตรีที่ตนเองฝึกซ้อมทุกเช้าเที่ยงเย็นได้ น่าจะเป็นการกึ่งเชิญชวนและบังคับให้เด็กนักเรียนสมัครเป็นนักดนตรีโรงเรียนมากขึ้น แต่เด็กนักเรียนส่วนมากมักจะไม่สนใจ เพราะต้องมีการฝึกซ้อมทุกเช้าเที่ยงเย็น ทำให้หลายคนไม่สนใจหรืออยากจะเป็นนักดนตรีโรงเรียนมากนัก
ส่วนครูพละก็จะสอนเน้นแต่การเตะบอลล์ เลี้ยงบอลล์ เด็กนักเรียนที่ไม่มีเบสิคหรือพื้นฐานก็จะเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะมีการสอนเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวันเท่านั้น ลูกบอลล์สมัยก่อนก็เป็นอะไรที่แพงมากด้วยเช่นกัน การซ้อมบอลล์อย่างมากก็ลูกบอลล์พลาสติค ส่วนลูกบอลล์แข่งขันก็เฉพาะเด็กนักเรียนรุ่นใหญ่เท่านั้น ผลก็ปรากฎว่าเด็กนักเรียนส่วนมากสอบตกวิชานี้ แต่มีผลน้อยมากเพราะคะแนนเก็บเพียงสิบคะแนนจากหนึ่งพันคะแนน (ก็เช่นกันคะแนนจริง ๆ คือ หนึ่งคะแนนจากคะแนนทั้งปีการศึกษาหนึ่งร้อยคะแนน) คือให้หลักพันคะแนนแล้วทอนเหลือหลักร้อยคะแนน เผื่อปัดเศษ) ส่วนบาสเก็ตบอลแทบไม่ได้สอนเลย เด็กนักเรียนต้องไปเรียน/ฝึกกันเอง ยิ่งวิชาภาษาไทยสมัยนั้นเป็นอะไรที่เสียความรู้สึกมาก คือ ห้าคะแนนเท่านั้นเอง เรียกว่าไม่มีผลกระทบอะไรมาก ถ้าสามารถทำวิชาหลัก ๆ คือ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ซึ่งมีคะแนนหลักร้อยขึ้นไปทั้งนั้น ดังนั้น นักเรียนที่เรียนไม่ค่อยเก่งมากนักหรือไม่สนใจมากนัก ก็จะพยายามเดาหรือทำวิชาหลักเหล่านี้มากกว่าวิชาอื่น ๆ ที่คะแนนน้อยมากเช่นกัน
สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษมีตำนานและเรื่องเล่าขานมาก จะเขียนในบทต่อไป (กำลังลำดับความทรงจำ) เลยต้องรีบเขียนปฐมบทไว้ก่อนกันลืม
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 13:46:55 น. |
Counter : 907 Pageviews. |
|
|
|