ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
หาดใหญ่-ซื้อขายที่ดินเ้จ้าปัญหา

มีสมัยหนึ่งที่ยังทำงานที่ธนาคารไทยแห่งแรก
เพื่อนสนิทคนบอกช่วยไปหาพระมหาจรูญ
ที่สำนักสงฆ์บ้านในไร่ หลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
แกบอกว่ามหาจรูญ
(ด้วยความเคารพ ในการเขียนครั้งต่อไปจะแทนชื่อพระท่านว่า มหา)
ฝากมาตามตัวช่วยไปดูสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับนายดำ
โดยนายดำจะขายที่ดินสวนยางพาราหน้าสำนักสงฆ์แกให้สี่ไร่
ส่วนอีกสี่ไร่มีนายทุนจากหาดใหญ่มาซื้อร่วมด้วย
แต่มหาจรูญ ลำพังตัวแกไม่ค่อยไว้ใจคนขายเท่าใดนัก
เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่าคนในหมู่บ้านมีนิสัยเช่นใด

เลยแวะเข้าไปหามหาจรูญในช่วงเย็น
ได้ความว่า แกวางมัดจำไว้แล้วหนึ่งแสนบาท
จากเิิงินทอดผ้าป่าและกฐินของปีที่ผ่านมา
ถ้าได้อีกสี่ไร่รวมกับที่ดินสำนักสงฆ์เดิม
เนื้อที่ก็เพียงพอที่จะเสนอขอตั้งเป็นวัดได้

เลยถามมหาว่า "ซื้อมาไร่เท่าไร"
มหาบอกว่า "แค่ไร่ละสี่แสนบาท
ไม่ขอซื้อตอนนี้
ไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะซื้อได้หรือไม่"
พอคำนวณเสร็จราคารวมแค่ หนึ่งล้านหกแสนบาท
(ราคานี้เป็นราคาก่อนปี 2540)

เลยนั่งเซ็งร่วมกับมหา
เพราะจะหาเงินมาจ่ายกันได้ยังไง
กฐินผ้าป่าอย่างเก่งก็ปีละสองแสนบาท
ซื้อขายเกินกว่าปีหรือหลายปีคนขายคงไม่ยอมอยู่แล้ว
คงต้องพึ่งปฏิหารย์กันอย่างเดียวแน่แท้
หรือเรียกว่า ไปตายกันดาบหน้า
เผลอ ๆ มัดจำอาจจะโดนยึดแน่

แต่ตอนนี้ต้องมุ่งหน้าที่สัญญาจะซื้อขายที่ดินก่อน
เลยถามมหาว่า "จะทำกันที่ไหน"
มหาบอกว่า "จะทำกันที่วัดนีแหละ
และจะมีคนหาดใหญ่ที่จะมาซื้อที่ดินแปลงติดกัน
โดยนายดำจะไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินภายหลังให้
จะช่วยเป็นพยานบุคคลให้"

เลยถามมหาว่า "นายดำเป็นคนเช่นไร."
มหาบอกว่า "ชอบเล่นการพนันกับดื่มสุรา
หรืือภาษาชาวบ้านเรียกว่า คนล็อกแล็ก(เชื่อไม่ค่อยได้"
เลยตอบมหาว่า "นั้นไปทำกันที่บ้านกำนันคอหงษ์ดีกว่าในวันพรุ่งนี้วันเสาร์
มหาช่วยนัดนายดำ กับ กำนันไว้ที่บ้านแกสักเก้าโมงก็แล้วกัน"
มหาเลยบอกว่า "ดีเหมือนกัน เจอกันที่นั้นตอนเก้าโมง"
เลยเป็นหน้าที่ของมหาต้องเดิน/นั่งรถไปหาทั้งสองคน
(สมัยนั้น มือถือเป็นอะไรที่แพงมาก
ถึงมีบริเวณนั้นก็ไม่มีสํญญาณ)

รุ่งขึ้นวันเสาร์ ก่อนเวลานัดหมายสองโมงเช้าเศษ ๆ
รีบขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านกำนันคอหงษ์
ต้องถามทางชาวบ้านเพราะไม่รู้จักสถานที่มาก่อน
ไปถึงก็พบมหา นายดำ และคนหาดใหญ่
ที่จะมาซื้อที่ดินด้วยอีกสองคน
นั่งคุยกันสักพักหนึ่ง กำนัน ก็เดินเข้ามา
รูปร่างกำนัน ผิวคล้ำ หล่อแบบสรพงษ์
กล้ามเนื้อหรือซิกแพ็คสมบูรณ์
สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเศษ
วัยประมาณสามสิบปีเศษ
เพราะทำงานหนักทั้งงานส่วนตัว
กับงานในเรื่องของชาวบ้านในพื้นที่
กำนันทำมาหากินกรีดยางพารา
กับเลี้ยงวัวชน (เป็นอาชีพของคนมีระดับ
เคยเขียนไว้ในเรื่อง กำนันวร)
ตามอาชีพชาวบ้านท้องถิ่นที่มีอยู่
เสร็จแล้วกำนันเริ่มถามมหาก่อนว่า
"มหาซื้อที่ดินแน่นะ มีเงินจ่ายหรือเปล่า"
มหาบอกว่า " รอพระ รอเทวดา ช่วยเงินที่เหลือ "
กำนันเลยบอกว่า " ดีเหมือนกัน จะช่วยบางส่วน "

เสร็จแล้วกำนันก็หันมาถามว่า " ใครเป็นใครบ้าง "
พอหันมาถามคนหาดใหญ่ที่จะมาซื้อที่ดิน
พอสองคนนั่นบอกว่าเป็นคนซื้อ
กำนันก็เริ่มเปิดกัณฑ์เทศนา
ให้ฟังเรื่องราวที่ผ่านมาในตำบลของแก

แกเล่าว่า มีคนหาดใหญ่หลายราย
เที่ยวมาหาซื้อที่ดินชาวบ้าน
มักจะวางมาดอวดร่ำอวดรวย
นั่งรถเก๋งชั้นดีเข้ามาในหมู่บ้าน
บางคนก็มาคนเดียวตามลำพัง
บางคนมาพร้อมกับนายหน้าที่เป็นคนในพื้นที่
มาติดต่อซื้อขายที่ดินจากชาวบ้าน

พอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สำนักงานที่ดินเสร็จแล้ว
บางรายบอกชาวบ้านว่า
ให้ไปรับเงินส่วนที่เหลือที่ธนาคาร
เพราะพนักงานธนาคาร/ที่ธนาคารเตรียมเงินไว้แล้ว
เดี๋ยวไปเจอกันที่นั่น
พอคนขายไปที่ธนาคาร
คนซื้อก็หายหัวไปเลย
ไม่มาโผล่ที่ธนาคารอีกเลย
ชาวบ้านตามไปที่บ้านก็ไม่พบตัว
หรือถามคนในบ้านก็ไม่อยู่ประจำ

หรือบางรายขอจ่ายเงินเป็นเช็คให้กับชาวบ้าน
บอกว่าเช็คนี้แน่นอนไม่เด้ง
เชื่อใจคนซื้อได้ คนรวยออกอย่างนั้น
ตามคำรับรองของนายหน้า
หรือความซื่อไว้เนื้อเชื่อใจคนคิดคดทรยศ
ผลปรากฎว่าไปขึ้นเงินที่ธนาคาร เช็คเด้ง

คนประเภทที่ไม่มีความรับผิดชอบทางการเงิน
ภาษาชาวบ้านปาดังเบซาร์
สมัยที่เริี่มงานครั้งแรกที่นั่นด่ากันว่า
คนที่เชื่อถือเรื่องการเงินหรือเรื่องเช็คไม่ได้ว่า
เช็คของมัน ต่อให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง หรือผู้ว่าการธนาคารชาติ
เซ็นต์สลักหลังหรือรับรัอง ก็รับไม่ได้
เรียกว่า ด่ากันแรงมาก ถ้าใครโดนด่าแบบนี้

ชาวบ้านมักจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ฟ้องตำรวจก็ล่าช้ากว่าจะส่งฟ้องดำเนินคดี
แถมต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกในการตามเรื่องตามตัวผู้ต้องหา
ขณะเดียวกันก็กลัวว่า
กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็โอนเปลี่ยนมือไปแล้ว
เรียกร้องโอนกลับคืนก็ยาก
เรียกว่า เตะหมูเข้าปากหมา
เรื่องหมาจะคายกลับยากอยู่แล้ว
กลัวว่านายทุนจะเอาที่ไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไรบ้าง
ฟ้องศาลก็ต้องจ้างทนายความเดินเริ่องอีก
กว่าจะเสร็จเรื่องจบเรื่องคดีความนี้
เผลอ ๆ เงินได้รับกลับมาคงได้น้อยกว่าเดิมมาก

บางคนขี้กลัว ขี้รำคาญ ก็ตัดใจรับเงิน
จากคนขาย หรือนายหน้าที่ไปเจรจาขอเงินให้
มักจะได้เงินกลับมาน้อยกว่าเดิมที่ตกลงซื้อขายไว้มาก
เผลอ ๆ คนซื้อขอผ่อนจ่ายบ้าง ไม่จ่ายบ้าง
เรียกว่า ดึงเวลาไปมาก
จ่ายเงินแบบเบี้ยหัวแตกบ้าง
กว่าจะได้รับเงินครบหรือได้รับน้อยก็กว่าเดิม

กำนันเลยเล่าให้ฟังว่า
ถ้าชาวบ้านคนขายที่ดินแล้วมีปัญหาแบบนี้
ถ้ารีบมาปรึกษากับแกโดยเร็ว
แกจะไปหานายหน้าบังคับให้พาไปบ้านคนซื้อ
หรือถ้าคนซื้อมาติดต่อโดยตรงกับคนขาย
ก็จะให้พาไปที่บ้านของคนซื้อ
ถ้าไม่รู้จักก็จะสืบจนพบบ้านคนซื้อ
หรือบ้านของญาติพี่น้องของคนซื้อ

เมื่อพบคนซื้อที่จ่ายเช็คเด้ง
หรือถ้าไม่พบก็จะฝากบอกคนในบ้าน
หรือคนข้างบ้านของคนซื้อแบบว่า
"บอกกันง่าย ๆ ว่า ถ้าจ่ายเงินให้ไม่ครบ
จะไปขุดหลุมฝังศพไว้ในที่ซื้อ
รอฝังศพไว้ก่อนก็แล้วกัน"

ไม่ทันสิ้นวัน มักจะมีการจ่ายเงินกันทันทีไม่มีบิดพริ้ว
พร้อมกับเงินค่าเสียเวลาให้กับกำนันและคนขาย
นี่เป็นวิธีการจัดการแบบชาวบ้าน
หรือแบบกึ่งมาเฟีย ได้ผลรวดเร็วทันใจ
กว่าวิธีการตามกฎหมายของไทย
ที่ความยุติธรรมมักมาล่าช้าเสมอ
กลายเป็นความอยุติธรรมสำหรับคนดี
แต่เปิดช่องว่างกลายเป็นความยุติธรรมของคนเลว

พอกำนันเล่าเรื่องเสร็จ
ก็หันมาถามผมว่า " มาทำไร เป็นทนายความผู้ซื้อหรือ"
มหาบอกว่า " ไม่ใช่ มาช่วยดูเรื่องให้กับวัด(สำนักสงฆ์)
แกทำงานที่ธนาคารไทยแห่งแรก "
กำนันเลยถามว่า " รู้จักบ่าว ที่ทำงานที่เดียวกันหรือเปล่า "
ผมเลยถามแกว่า " ชื่อจริงชื่ออะไร "
พอแกบอกชื่อจริงให้ฟัง
เลยตอบกำนันว่า " รู้จักเพราะทำงานในที่เดียวกัน "
กำนันเลยบอกว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
โดยบ่าวเป็นลูกชายกำนันคนก่อนที่เป็นลุงของแก
ความเครียด ความอึดอัดใจ ที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไป
เพราะผลของการมีคนรู้จักมันคุ้นกับคนที่เป็นเครือข่าย
หรือเป็นญาติพี่น้องคนสนิทของกำนัน

กำนันเลยหันไปบอกนายดำว่า
" อย่าเหลวไหลละ เสร็จเรื่อง เสร็จเงิน จัดการให้เรียบร้อยด้วย "
พร้อมกับดูข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายทั้งสองฝ่าย
กับลงนามเป็นพยานบุคคลให้เสร็จสรรพ

พร้อมกับบอกมหาว่า " ขอให้หาเงินจ่ายค่าที่ดินได้นะ "
เสร็จเรื่องแล้วเลยขอบอกลา กำนัน นายดำ และคนหาดใหญ่ที่มาซื้อ
พามหาขึ้นรถจักรยานยนต์กลับสำนักสงฆ์
เพื่อเตรียมปรึกษาหาแนวทางว่าจะำทำกันอย่างไรต่อไป

กลับมาที่สำันักสงฆ์สัจจธรรมบ้านในไร่
นั่งปรึกษากับพระมหาจรูญ
คิดไม่ออก วิตกกันว่า จะทำอย่างไรกับเงินที่เหลือ
มหาก็หวังว่า เทพเทวดาจะมาช่วยเหลืออย่างเดียว
ตามคติ สร้างวัด สร้างโบสถ์ มักมีเทพเทวดาอุปถัมภ์
นั่งคุยกับมหา จนกระทั่งมหาฉันเพลเสร็จ
ก็เลยขอตัวกลับบ้านก่อน

ถึงบ้านแล้วก็นั่งคิดนอนคิด
เิดินไปหาเพื่อนสนิทหลายคน
ถามเืพื่อนว่าจะช่วยกันอย่างไรบ้าง
ก็คิดกันไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ต่างคนต่างเซ็งจิตในเรื่องนี้เช่นกัน

กลับบ้านก่อนนอน
ไปหยิบหนังสือธรรมะของวัดธรรมกายมาอ่านเล่น
เห็นหลากหลายเรื่อง
และโฆษณาชวนทำบุณย์แบบผ่อนส่ง
มานังคิดนอนคิดเล่น ๆ
ธุรกิจถ้าแบ่งงานกันทำก็จะเร็วขึ้นสะดวกขึ้น

ขายที่ดินยังแบ่่งกันเป็นไร่ เป็นงาน เป็นวา
ซื้อขายกันแบบผ่อนส่งก็ยังมี
อย่างโฆษณาหนังสือพิมพ์สมัยก่อน
ที่ขายผ่อนส่งเดือนละพันสองพัน
พาไปดูที่ดินก่อนแล้วค่อยตกลงซื้อขายกันผ่อนเงินกัน
ทำไมจะซื้อที่ดินวัดแบบผ่อนส่ง
หรือซื้อกันเป็นตารางวาหรือตารางเมตรไม่ได้บ้าง

แต่เรื่องที่ดินของคนภาคใต้มีวัฒนธรรมที่แปลกอย่าง
คือต้องซื้อขายกันเป็นห้องก่อน
หน้ากว้างสมัยก่อนห้าเมตร ปัจจุบันสี่เมตร ยาวเท่าไรก็ได้
น่าจะมาจากวัฒนธรรมการซื้อขายที่ดิน
แบบตึกแถวของคนจีนสมัยก่อน

เคยเจอที่ตลาดย่านยาว จังหวัดพังงา
ตอนตรวจนิติกรรมสัญญา
ที่ดินที่จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน
แผนที่สังเขป หน้าที่ดินกว้างห้าเมตร ลึกร้อยกว่าเมตร
สอบถามสาขาก็ยืนยันว่าจริง
พอไปดูสถานที่จริง/ตรวจเยี่ยมสาขากับหัวหน้าเลยทราบที่มาว่า
ตอนเหมืองแร่บูมมากสมัยก่อน
ชาวบ้านแถวนี้ตัดที่ดินสวนยางพาราเิดิมมาแบ่งขายกันเป็นห้อง ๆ
เลยถามว่า "แล้วสร้างบ้านเต็มเนื้อที่ไหม"
ชาวบ้านตอบกลับว่า "สร้างเฉพาะที่ใช้งาน
ส่วนทีเหลือข้างหลังก็ปลูกหญ้า ปลูกผัก เลี้ยงหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไปตามเรื่อง"

ขอวกกลับมาที่ดินวัดเนื้อที่สี่ไร่
ที่ดินหนึ่งไร่มีเนื้อที่สี่ร้อยตารางวา
ร้อยตารางวา เป็นหนึ่งงาน
สี่งานเป็นหนึ่งไร่

หนึ่งวา ความยาวเท่ากับสองเมตร
หนึงตารางวา พื้นที่เท่ากับสองคูณสองเมตร
หรือเท่ากับสี่ตารางเมตร
การแบ่งแยกที่ดินตามเสป็คคนใต้สมัยก่อนคือ
ที่ดินหนึ่งไร่จะแบ่งได้สิบหกห้องแถว
คือ หน้ากว้างห้าเมตร ได้สิบหกห้องจะเท่ากับยาว 80 เมตร
ส่วนด้านหลังต้องลึกอย่างน้อยยี่สิบเมตร
พื้นที่รวมเท่ากับ กว้าง*ยาว รวมแล้ว 1,600.ตารางเมตร
หารด้วย 4 ตารา่งเมตรเท่ากับ 1 ตารางวา ได้ 400 ตารางวา หรือ หนึ่งไร่
(หนึ่งตารางกิโลเมตร จะเป็นพื้นที่เท่ากับ หกร้อยยี่สิบห้าไร่)

เลยได้แนวคิดนี้ขึ้นมา
เช้าตรู่รีบขับรถจักรยานยนต์ไปปรึกษามหาจรูญ
นั่งคิดนั่งเขียนตัวเลขกัน
เลยได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า
น่าจะจัดโปรโมชั่นเสนอช่วยซื้อที่ดินสร้างวัด
เลียนแบบการตลาดแบบวัดธรรมกาย
ผนวกกับการซื้อขายที่ดินผ่อนส่งของกทม.
ที่โฆษณาขายกันตามหนัาหนังสือพิมพ์

โดยเอาสี่แสนบาทต่อไร่
ที่จัดว่าราคาแพงในละแวกนั้น/สมัยนั้น
และความรู้สึกชาวบ้านกับคนทั่วไป
เมื่อหารต่อไร่แล้วจะตกตารางวาละหนึ่งพันบาท
คนจะทำบุญจะคิดหรือจินตนาการ
เป็นรูปธรรมได้ว่า จะช่วยวัดได้เนื้อที่เท่าไร
ในการบริจาคเงินแต่ละครั้ง
มีความรู้สึกว่าไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป

ยัง เท่านั้น ยังไม่พอ
ยังจัดให้อีกแบบคือ
หารตารางวาออกเป็นตารางเมตร
เหมือนการขายกระเบื้องแผ่นเรียบ
ตกตารางเมตรละสองร้อยห้าสิบบาท
หรือตารางวาละหนึ่งพันบาท

จากนั้นมหาเริ่มส่งเสริมการทำบุญ
ด้วยการเขียนแบบง่าย ๆ ว่า
ช่วยวัดซื้อที่ดินตารางเมตรละสองร้อยห้าสิบบาท
หรือตารางวาละหนึ่งพันบาท
(ผมขอเงินจากแม่ไปช่วยวัดซื้อห้าพันบาท)

มหาจึงเริ่มเขียนตัวเลขบนกระดานว่า
เงินมัดจำค่าซื้อที่ดินสร้างวัด
ยังขาดเงินอยู่เพียงแค่ หนึ่งล้านหกแสนบาท
หารด้วยจำนวนไร่ ๆ ละ สี่แสนบาท
หารด้วยจำนวนงาน ๆ ละ หนึ่งแสนบาท
หารด้วยจำนวนตารางวา ๆ ละ หนึ่งพันบาท
หารด้วยจำนวนตารางเมตร ๆ ละ สองร้อยห้าสิบบาท

ชาวบ้านมาเห็นป้ายกระดานที่เขียนไว้ที่วัด
มักจะถามว่า " เขียนอะไร มหาบอกหวยหรือไง "
มหาบอกว่า " ช่วยซื้อที่ดินวัดในราคาเท่านี้
หรือตามจิตศรัทธาของแต่ละคน "

ผลปรากฏว่า ไม่ถึงสองเดือนวัดได้เงินค่าที่ดินครบ
แถมยังมีเงินเหลืออีกจำนวนหนึ่ง
เพราะชาวบ้านในพื้นที่กับคนหาดใหญ่ที่มาทำบุญ
เข้าใจและถือว่ามีส่วนร่วมในพื้นที่ที่ดินวัดตามจินตนาการ
ขออนุโมทธนาบุญนี้แด่ทุกท่านที่มีส่วนร่วมซื้อที่ดินให้วัด
และเทพเทวดา ตลอดจนสิ่งทีมาอำนวยให้คิดเช่นนี้ได้

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนสภาพที่ดินวัดในปัจจุบัน


หมายเหตุ ไว้จะเขียนอีกตอนถึงกลโกงการซื้อขายที่ดินที่พบเจอไม่เกียวกับเรื่องวัดนะครับ


Create Date : 20 เมษายน 2555
Last Update : 6 กันยายน 2555 22:39:51 น. 7 comments
Counter : 1721 Pageviews.

 
สมัยนี้จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังดี ๆ นะคะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจกันจนน่ากลัวหน่ะ


โดย: คมไผ่ วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:22:06:44 น.  

 
ม่ะได้บ่นไรเล๊ยยยย แค่แบ่งปันเรื่องราวของชีวิตการทำงานให้ฟังจ้า เพราะคุณภาพของงานหลายอย่างมันแย่ลงอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อพิจารณา "กิจ" ของตัวเองแล้วมั่นใจว่าไม่บกพร่องอย่างแน่นอน ถึงไปพิจารณากิจของลูกน้องไง ว่ามันบกพร่องกันตรงไหน ให้แก้ไข เรียนรู้ และพัฒนา รุ่นนี้ไม่เม้งแล้วหล่ะจ้า แค่เรียกคุยอย่างสุภาพชนด้วยเหตุและผลก็เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ...ถ้าทำไม่ได้ก็จะได้หาคนที่ทำได้มาทำแทน


โดย: คมไผ่ วันที่: 22 เมษายน 2555 เวลา:14:22:26 น.  

 
กระเปื้องมุงหลังคาโบสถ์ก็บริจาคกันเป็นแผ่น ๆ ค่ะ เดี๋ยวนี้



โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 22 เมษายน 2555 เวลา:16:35:41 น.  

 
แวะมาเยี่ยมยามเย็นร้อน ๆ ค่ะ


โดย: คมไผ่ วันที่: 23 เมษายน 2555 เวลา:17:45:16 น.  

 
ต้องไปหาที่เย็น ๆ ฉ่ำ ๆ เป็นที่สิงสถิตซะส่วนใหญ่หล่ะค่ะตอนกลางวัน คืนนี้ก็คงต้องเปิดพัดลม "จ่อ" กันไปตามประสาบ้านยากจนม่ะมีแอร์ใช้ 555 นอนหลับฝันดีนะคะ


โดย: คมไผ่ วันที่: 23 เมษายน 2555 เวลา:23:59:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ





พาใจไปตากฟ้า..............ตากดาว

เพื่อสบนัยน์ตาพราว........ผ่องพริ้ม

เดือนเคียงอยู่กลางหาว....มิห่าง

หวังสบใครหนึ่งยิ้ม..........เช่นนั้นเสมอไป
.
.
.


โดย: ploythana วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:14:20:28 น.  

 
สบายดีนะคะ สุข สดชื่นในวันนี้ค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 26 เมษายน 2555 เวลา:10:16:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.