ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.3 ก.

ครูที่ยังจำได้ ครูประถมศึกษาปีที่ 3 ก.

ครูผิน อรัญดร น่าจะเป็นลูกจีนเกิดในไทยแซ่ลิ้ม
(ภาษาจีนที่แปลว่า ป่าไม้) มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่อำเภอหาดใหญ่
ตำบลทุ่งลุง เกือบทั้งตำบลจะใช้แซ่ลิ้ม มีสมาคมตั้งอยู่ที่ตำบลดังกล่าว
นามสกุลนี้ก็มักจะขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วย วน วนา พนา พนัส เป็นต้น
ดังนั้น ถ้ามาจากอำเภอสงขลาบอกว่า แซ่ลิ้ม
ให้สันนิษฐานได้ร้อยละเก้าสิบ มักมาจากตำบลดังกล่าว

ครูผินเป็นครูที่ใส่แว่นตากรอบสีดำใหญ่
หน้าสี่เหลี่ยมใบหน้าผุ จากสิวเสี้ยนที่เป็นรอยบนใบหน้า
สมัยนั้นนักเรียนชั้นประถมปีที่สามถือว่าเริ่มเป็นเด็กนักเรียนใหญ่แล้ว
ต้องเข้าร่วมกิจกรรมการเดินขบวนพาเหรด
หรือกิจกรรมกีฬาระหว่างโรงเรียนสม่ำเสมอ
มักจะถุกบังคับให้เดินจากโรงเรียนแสงทองวิทยาไปสนามกีฬากลาง
หรือไปที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ช่วงวันปิยะมหาราช
ระยะทางก็กว่าสามถึงสี่กิโลเมตร

ช่วงประถมปีที่ 3 มีช่วงหนึ่งผมชอบถามมาก
เพราะช่วงประถมปีที่สองก็อ่านหนังสือแตกแล้ว
มักจะเอาหนังสือของพี่ชายพี่สาวมาอ่านทั้งที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
ถามไปได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง แกก็ตอบไปตามประสา
แต่เวลาสอนแกมักจะเล่าเรื่องการไปเดินป่าล่าสัตว์แถวบ้านแก
หรือสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำในเวลาสอน หรือการใช้ปืนสั้นปืนยาว
ซึ่งวัยเด็กสมัยนั้นชอบมาก หรือถือว่าโก้มากที่ใครรู้เรื่องเกี่ยวกับปืน
หรือเคยเห็นปืนจับปืนมาบ้าง

ในช่วงนี้ก็เน้นคณิตศาสตร์คิดในใจ และเริ่มเรียนการคูณการหาร
เลขสองหลักเป็นต้น (ถ้าจำไม่ผิด) มีวิชาภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์
เน้นการเขียนแผนที่ประเทศไทยเป็นหลัก
ก็เหมือนเดิมครูประจำชั้นคนเดียวหนึ่งคนต้องสอนคนเดียวทุกวิชา
รวมทั้งเวลาคุมสอบก็เป็นครูประจำชั้นคุมสอบเองด้วย

ช่วงสอบเทอมที่สองหลังจากทุกเช้าก็จะมีการประชุม
ที่ห้องประชุมโรงเรียนประมาณสิบถึงสิบห้านาทีทุกเช้า
ก่อนเข้าเรียนโดยมักจะเป็นการอบรมโดยคุณพ่ออธิการ
เกี่ยวกับเรื่องระเบียบบ้าง วินัยบ้าง การทำความดีบ้าง
เรื่องทั่ว ๆ ไปบ้าง (ถ้าเป็นโรงเรียนอื่นประชุมที่หน้าเสาธง)
หลังจากคุณพ่ออธิการเน้นย้ำในที่ประชุม
จะเอาเรื่องลงโทษนักเรียนที่ทุจริตในห้องสอบอย่างเด็ดขาด
โดยให้พบกับครูใหญ่และจะเรียกพ่อแม่มาพบที่โรงเรียนด้วย
หรือไม่ก็ลงโทษโดยการให้นักเรียนขึ้นมาบนเวทีประชุมแล้วตีบนหน้าเวที
ที่โรงเรียนนี้จะมีการประชุมตั้งแต่ประถมปีที่หนึ่งถึงมัธยมศึกษาปีที่สาม
ร่วมร้องเพลงชาติกันทุกเช้าและสวดมนต์
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงคุ้มครองสอดส่องดูแลเรา
ด้วยความรักและเมตตาอย่างยิ่ง โปรดประทานพรแก่ข้าพเจ้าให้ได้เรียนรู้
ในวันนี้ด้วยดี อาเมน ในตอนเช้าและตอนเย็นหลังเลิกเรียน
มีข้อแปลกอย่างว่าแม้จะมีการสวดมนต์กันอย่างนี้ร่วมสิบปีที่เรียนโรงเรียน
แต่ปรากฏว่ามีนักเรียนเปลี่ยนศาสนาไม่เคยเกินกว่าห้าคนในแต่ละปี
ทั้งที่สมัยผมเรียนมีนักเรียนประมาณหนึ่งพันห้าร้อยคนเศษเป็นชายล้วน
แต่นักเรียนที่นับถือศาสนาอิสลามในสมัยนั้นมีแต่ก็น้อยมาก ๆ

วิชาแรกของวันแรกหรือวันที่สองจำไม่ค่อยได้แล้ว
ในการสอบ อยู่ ๆ แกก็เรียกผมกับหัวหน้าห้องที่นั่งโต๊ะติดกัน
(จำชื่อไม่ได้แล้ว) การสอบในสมัยนั้นไม่มีการแยก
โต๊ะสอบกระจายออกจากกัน เพื่อป้องกันการลอกข้อสอบ
สมัยนั้นเขียนโจทย์ข้อสอบบนกระดานดำแล้ว
ให้นักเรียนตอบในกระดาษคำตอบที่เป็นของโรงเรียน
ยกเว้นวิชาคณิตคิดในใจ ที่ครูอ่านแล้วให้คิด
พร้อมเขียนคำตอบลงบนกระดาษเลย
ผมกับเพื่อนก็ถูกให้ออกไปยืนนอกห้อง
แล้วแกบอกในห้องเรียนกับครูประจำชั้นข้างห้องว่า
ผมกับเพื่อนห้องทุจริตในห้องสอบ
แล้วก็เดินไปปรามเด้กในห้องเรียนว่าใครทุจริต
ก็จะโดนอย่างนี้ แต่หลังจากอีกประมาณครึ่งชั่วโมง
ก็ให้ผมกับเพื่อนเข้าสอบตามปกติและไม่ได้มีการบันทึก
หรือส่งครูใหญ่ว่า มีการทุจริตในการสอบแต่อย่างใด
คล้าย ๆ กับเป็นการเชือดใก่ให้ลิงดูหรือเขียนเสือให้วัวกลัว
วันรุ่งขึ้นก็นั่งสอบได้ตามปกติ แต่ทั้งห้องก็นั่งสอบกันเงียบ
ไม่มีการยุกยิกหรือพูดคุยกันมาก เพราะกลัวว่าจะถูกจับ
ข้อหาทุจริตเหมือนผมกับเพื่อนอีกคน
ส่วนผลการสอบผมก็ติดกลุ่มหนึ่งในสิบเหมือนเดิม
ไม่มีโทษทัณฑ์จากการทำผิดหรือทุจริตในการสอบ
แต่อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นเลย

ภายหลังจากโตมากขึ้นก็รำลึกได้ว่า
น่าจะเป็นการจัดอีแวนต์หรือการแสดง
ที่ค่อนข้างไม่เข้าท่าหรือเป็นธรรมอย่างมาก
โดยเอานักเรียนมาแสดงให้คนอื่นเห็นพฤติกรรม
ที่ไม่เหมาะสมในห้องสอบเพื่อปราบคนอื่น ๆ
เพราะถ้าเด็กนักเรียนถ้าผิดจริง
ทำไมไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระเบียบโรงเรียน
หรือตักเตือนภาคทัณฑ์ตามระเบียบ
รวมทั้งมีผลต่อการสอบในรายวิชานั้น ๆ เลย

หลังจากนั้นผมก็เลิกมีคำถามกับแกและก็เลิกสนใจกับแก
เรียนไปตามประสา
เรื่องนี้พี่ชายที่เรียนห้องเดียวกันกับผมเคยบอกว่า
แกไม่ได้ฟ้องแม่ในเรื่องที่ผมโดนออกจากห้องเพราะ
ถูกจับว่าทุจริตในการสอบแต่อย่างใด
และแม่ก็ไม่ทราบในเรื่องนี้มาตลอดจนทุกวันนี้

แกมีวิธีการสอนที่เรียกว่าโหดพอสมควร
หรือถ้าเป็นปัจจุบันอาจจะถูกพ่อแม่เด็กนักเรียนร้องเรียนแน่
คือ ให้เด็กคัดลายมือภาษาอังกฤษ คำศัพท์ละไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัว
วันละไม่ต่ำกว่าสิบตัว บางครั้งก็เป็นประโยคไม่น้อยกว่าวันละสิบประโยค
แล้วให้ส่งทุกเช้าใครไม่ส่งจะถูกตีด้วยไม้หวาย
ขนาดปลายนิ้วก้อยเด็กประถมที่มือไม่ต่ำกว่าห้าที
แต่เวลาตรวจก็ตรวจแบบขีดผ่าน ไม่มีการตรวจอย่างจริงจัง
ถึงแม้ว่าผมจะไม่โดนตีแต่ก็ทำให้จนทุกวันนี้มีกระดูกโปนที่นิ้วกลาง
เพราะต้องกดดินสอคัดลายมือเพื่อเขียนส่งการบ้านทุกวันเพื่อไม่ให้ถูกตี

เรียกว่าหลังจากเลิกเรียนพิเศษภาษาจีนช่วงสี่โมงเย็น
กลับถึงบ้านก็ห้าโมงเย็นแล้ว อาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เริ่มเขียน
ตั้งแต่หกโมงเย็นกว่าจะเสร็จก็ทุ่มหนึ่งถึงสองทุ่มเป็นอย่างต่ำ
วันละไม่น้อยกว่าหนึ่งถึงสองชั่วโมงเฉพาะการคัดภาษาอังกฤษ
บางครั้งก็มีภาษาไทยและคณิตศาสตร์
เพื่อน ๆ ที่เขียนได้เร็ว ๆ ก็ไม่ต่ำกว่าคนละหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่าง่ต่ำ
ในวัยที่ยังอยากเล่นสนุกหรือมีความสุขตามประสาเด็ก
เรื่องนี้ แกก็เคยโม้ว่า พ่อแม่บางคนบอกว่าการบ้านน้อยไปควรมากกว่านี้
แกเลยถามในห้องเรียนว่าอยากได้เพิ่มอีกหรือไม่
เด็กนักเรียนในห้องบอกว่ามากพอแล้ว

วิธีการเรียนการสอนดังกล่าวก็ไม่ได้ช่วยให้
ผมจำคำศัพท์ได้เพิ่มขึ้นหรือมากขึ้น หรือเก่งภาษาอังกฤษแต่อย่างใด
เพราะไม่มีความสุขกับการเรียน/เขียนแบบนี้เลย
คำศัพท์และภาษาอังกฤษผมเริ่มมาดีขึ้นมากตอนช่วงมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง
เพราะไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนมงคลภาษา
(ครูมงคล กุลประเสริฐ)
และชอบวิธีการเรียนการสอนและขยันกับการทำการบ้านเองมากกว่า
การเรียนเพราะถูกบังคับจากครูหรือโรงเรียน

ภาษาอังกฤษช่วงประถมศึกษาปีที่สามถึงปีที่เจ็ด
ผมก็ไม่ได้คะแนนดีแต่อย่างไร เพราะไม่ชอบครูผู้สอน
กับวิธีการเรียนการบ้านเป็นอย่างมาก
หมายเหตุ ช่วงประถมปีที่ห้าถึงมัธยมศึกษาปีที่สาม
ภาษาอังกฤษจะใช้ Practicle English
ที่เขียนและอ่านไม่ค่อยเข้าใจในช่วงนั้น
ถ้าจำไม่ผิดเขียนโดย คาดินัล มีชัย กิจบุญชู
มีจำนวนทั้งหมด 6 เล่ม
ให้ใช้เรียนและทำแบบฝึกหัดตั้งแต่ ป.5-ม.ศ.3

ทราบข่าวครั้งสุดท้ายจากเพื่อนบางคนว่า
ครูผินหันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
แล้วไปเปิดร้านขายสินค้าหรือ MiniMart ที่บ้านนาสีทอง
อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เคยผ่านแถวนั้น
แต่ไม่ได้สนใจหรืออยากสอบถามว่าแกอยู่ร้านไหน
ก็คงเหมือน ๆ กันญาติผู้ใหญ่ที่สมัยเด็ก ๆ รู้สึกไม่ประทับใจ
ถ้าไม่ถูกพ่อแม่บังคับก็จะไม่ไป
แต่พอโตมากแล้วก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไปหรือไม่ไปก็ได้
กอปรกับเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางผ่านไปจังหวัดสตูล
ยังรู้สึกว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ดีและค่อนข้างเศร้าสลด
ที่มีต่อครูประจำชั้นคนนี้

แต่ก็ยังจำได้ถึงเรื่องดังกล่าวได้
จึงเขียนเพื่อเป็นจิตวิทยาบำบัดส่วนหนึ่ง
สำหรับคดีความ/อายุความตามกฎหมายเรื่องนี้
ก็หมดไปหลายปีแล้ว ก็ขออโหสิต่อกันก็แล้วกัน
เขียนไว้จากความทรงจำ
ก่อนที่จะเลือนหายไปในที่สุด




 

Create Date : 24 มกราคม 2553
3 comments
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 13:46:08 น.
Counter : 1037 Pageviews.

 

เล่าได้เห็นภาพในช่วงป.3 เลยค่ะ เป็นช่วงที่กำลังโตและสนุกกับการเรียนนะคะ

ครูคนเดียวสอนทุกวิชาคิดว่าต้องเหนื่อยสุดๆ ไม่รู้สมัยนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่รึเปล่านะคะ ไม่ได้เข้าไปโรงเรียนประถมเก่านานมากแล้วด้วย ครูเก่าๆ ก็คงเกษียณหรือย้ายไปโรงเรียนอื่นกันแล้ว คงเหลือแต่ครูใหม่ๆ ที่เราไม่รู้จัก

 

โดย: ส้มแช่อิ่ม 24 มกราคม 2553 21:49:06 น.  

 

จำไม่ได้แล้วค่ะว่าเรียนอะไรตอนไหน แต่จำได้ว่าเล่นอะไรที่ตรงไหน เช่น ป. 2 หัดปลูกถั่วเขียวในกระป๋องนมข้นหวาน ชอบเวลามันงอก

ใต้หน้าต่างชั้นป.2 มีที่เขาเรียกว่าตั้งเต ทางเหนือเรียกตาบ้า มีช่องที่กระโดดจะมีหลุมที่กระโดดกันมาหลายชั่วรุ่น เพราะดินตรงนั้นมันลึกเป็นรอยเท้าราว ๆ สี่นิ้วเลยค่ะ

สนุกเนาะเด็ก ๆ

 

โดย: tuk-tuk@korat 24 มกราคม 2553 22:12:50 น.  

 

หวานชุ่มฉ่ำค่ะ แตงโมจากที่นี่น่ะค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 26 มกราคม 2553 15:43:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.