จนและรวย คืออะไร
จนและรวย คืออะไร

    จนอย่างถูกต้องคือไม่ทุกข์ เราไปทำงานวันหนึ่งได้ ๓๐๐ บาท พอกินพอใช้ เราสบายใจ จะบอกว่าคนนี้จนหรือไม่ บอกว่าจน แต่จนสำหรับเขา แต่สำหรับเราแล้วรวย เพราะว่า เรามีความสุขของเรา เราทุกข์ตรงไหน แล้วเขารวย รวยไปหาอะไร ก็รวยไปเพื่อหาความสุข แล้วเราหาเงินแล้วเราไม่มีความสุข แล้วอย่างนี้เรารวยจริงไหม? ถ้าเรารวยแล้วไม่มีความสุขแล้วเราจะรวยจริงมั้ย เราอย่ามาวัดว่า "รวย" กับ "จน" ต้องดูที่ว่า "มีความสุข" หรือ "ไม่สุข" เหมือนกับประเทศภูฎาน กษัตริย์จิกมี่ ประเทศท่านจะไม่วัดด้วย GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product : GDP) ว่าหาได้เงินทองเท่าไหร่ แต่จะวัดว่าประชาชนของท่านมีความสุขหรือไม่ เท่าไหร่ นี่แหละปรัชญาของในหลวง

    ถ้าอย่างนั้น คิดเผื่อไว้มีเงินตอนแก่ ไม่สบายจะได้เอาเงินนี้มารักษาตัว 
    ในเมื่อเงินตรงนี้เราหามาได้ เราก็เก็บไว้ แล้วโอกาสจะมีแค่ ๓๐๐ บาทต่อวันอยู่ตลอดเหรอ แสดงว่าเราเหี้ยมาก ไม่สามารถพัฒนาตนเองให้มีคุณค่าสูงขึ้นมาได้ เราดูถูกตัวเองหรือเปล่า เราเหี้ยซะขนาดนั้นเหรอ

    ถ้าสมมติว่าเราไม่มีโอกาสทางสังคม

    แล้วเราถ้าเราสมมติว่าเรามีโอกาสทางสังคมบ้างล่ะ เราจะเล่นสมมติไม่ต้องเอาของจริง อยู่ที่ตัวของเราทำไม่ใช่เหรอ 

    ถ้าเราบอกว่า คนรวยมีเงินก็จะไปรักษาตัวได้ แล้วพอคนรวยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว คนรวยมาหาหมอดูทำไม? ถ้ามีเงินมารักษาแล้วจะมาหาหมอดูทำไม 

    แล้วคนทุกข์ คนยากจน บอกว่ากูไม่เจ็บอย่างมึง (คนรวย) เราไม่เป็นไร เราไม่เจ็บอย่างคนรวย แล้วอย่างไหนจะสุขกว่ากัน

    "จน" ไม่ใช่ "ไร้คุณค่า" เราจนแบบมีคุณค่า คุณค่านั้นคือ เข้าใจในธรรม หนึ่งเดียวกับธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม แค่นี้ก็เหนือกว่าแล้ว ถ้าเราเป็นอย่างนั้น คนจนไม่มีไปหาหมอหรอก คนรวยจะมาหาหมอดูเยอะเลย

    แล้วคนจนจะมาเข้าใจคุณค่านี้ได้อย่างไร ถ้าคนจนไม่เข้าใจต้องมาโทษผู้นำ มาโทษ พระ ผู้นำทางจิตวิญญาณ เพราะว่าผู้นำทางจิตวิญญาณส่งเสริม "คุณต้องรวยนะ" โรงเรียนสอนคุณต้องรวย ไม่ได้สอนว่า "สุข คือ อะไร?"

    ถามว่า พอดีกินของเขา กับในหลวงบอกอยู่อย่างพอเพียง แล้วจนตรงไหน

    อันนั้นสิจนแท้ พอตื่นขึ้นมากูไม่พอกูต้องรีบล่ะ จนมั้ย จนมากเลย เพราะว่าทั้งวันร้อนรน ไม่มีอันกินอันใช้ กินก็เร็ว พูดก็เร็ว

    คนบางคนทำไรก็ชิวชิว กินต้มยำ นี่แหละรวยแท้ จนแต่เราไม่ต้องไปดิ้นรนอย่างเขา ตกลงใครจนใครรวยแน่

    นิยาม ความสุข คือ เราได้ปฏิบัติธรรม หนึ่งเดียวกับธรรม (ปฏิบัติตามธรรม ไปตามครรลองครองธรรม ย่อมมีความสุขด้วยธรรม) นี่แหละมีความสุข

    จน คือ ผู้ที่หันหลังให้กับธรรม คือ ผู้ไม่ปฏิบัติตามธรรม ผู้ที่หันหลังให้กับธรรมย่อมสูญเสียทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าเรายังมีเงินอยู่เลย นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสูญเสีย เช่น เงินตรงนี้ทำให้เราเสียนิสัยมั้ย ทำให้ลูกของเราเสียนิสัยมั้ย ทำให้ลูกของเราเป็นลูกผลาญมั้ย เริ่มต้นแห่งความทุกข์อยู่แล้ว เริ่มต้นแห่งปัญหาอยู่แล้ว

    รวย คือ ต้องรวยด้วยคุณธรรม เรารวยมีเงินหนึ่งพันล้าน รวยด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ไปลักขโมย โกงเขามา เราโกงเขามาหนึ่งพันล้าน เราจะมีความทุกข์แค่ไหน เรายิ่งมีมากก็ยิ่งทุกข์ เพราะว่าไปโกงเขามา

    เดี๋ยวนี้โรงเรียนเราสอนผิด สอนว่าทำยังไงต้องให้ได้เงินเยอะๆ พอหาเงินได้เยอะก็ต้องแกร่งแย่งชิงดี ชิงเด่น โกงกัน เอาหมด เพราะว่ามีตัวกิเลส

    เขาไม่ได้สอนว่า มีกิเลสอย่างนี้ (อยากมีเงินเยอะๆ) ต้องทำด้วยวิธีอะไร ใช้วิธีอะไร เขาก็เล่นมิจฉา (ทางผิด) จึงทำให้โลกวุ่นวาย

    เช่น พี่ทิพย์ขายซาลาเปา ผมก็ขายซาลาเปา ผมต้องขายแข่งกับพี่ทิพย์ แล้วอย่างนี้จะถูกมั้ย อย่างนี้ก็ถูก เพราะเราต้องแข่งกันด้วยความดี ผมจะแข่งกันด้วยความดีอย่างไร ก็ต้องแข่งกันทำความดีด้วยการทำซาลาเปาอร่อย บริการลูกค้า นี่ถึงจะถูกต้อง

    ถ้าแข่งขันทางธุรกิจผิด เช่น จ้างนักเลงไปเผาบ้านเขา หรือว่าเอาของไปใส่เครื่องปรุงเขาแล้วทำให้เขาเดือดร้อน ทำร้ายเขา เป็นมิจฉาแล้ว

    อย่างเช่น ในตลาดมีเขียงหมูตั้ง ๑๐ เขียง แต่ทำไมคนขายเนื้อหมูไม่ขาดทุนสักราย ทั้งๆ อยู่ข้างๆ กัน

    ถ้าอย่างนั้น ผมทำธุรกิจดีจนคู่แข่งก็ต้องเจ๊งไป แล้วผมจะไม่บาปหรืออย่างไร ถ้าหากว่าเรากลัวบาป เราก็ไปสอนเขาบ้างสิ 

    แต่ถ้าเราสอนเขาทำ เขาเป็นคู่แข่งของเรา เราก็เจ๊งนะสิ 

    แล้วเราจะรวยด้วยกันไม่ได้เหรอ เป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกันไม่ได้เหรอ กินด้วยกันได้มั้ย นี่แหละมุฑิตา คุณมีมุฑิตามั้ยล่ะ หรือว่าคุณไม่มีมุฑิตา หรือว่าลุ้นให้เขาเจ๊ง ล้มละลาย

    เราต้องทำให้เขาเราดีก่อน บางครั้งเราเห็นว่าเขาทำซาลาเปาแล้วเจ๊ง เห็นว่าเขาทำไม่ถนัดเราเห็นแววเขาถนัดอย่างนั้น เราก็เอาเงินให้เขาไปลงทุนทำอย่างอื่นที่ถนัดกว่า ทำอย่างนี้จะได้มั้ย นี่แหละ มีคุณธรรมมุฑิตา เป็นกัลยาณมิตรแก่กัน นี่แหละรวยอย่างมีคุณธรรม

^_^  ..._/_...  ^_^ 
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต



 



Create Date : 30 กรกฎาคม 2563
Last Update : 30 กรกฎาคม 2563 11:52:54 น.
Counter : 243 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2563

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31
 
 
30 กรกฏาคม 2563
All Blog