|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
พุทธานุสติถึงสมาบัติ
วันนี้จะได้พูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานต่อ เมื่อวานนี้ได้พูดมาถึงการเจริญกรรมฐานด้านพุทธานุสสติกรรมฐาน จากระบบปฏิบัติตามแบบที่พิจารณาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใคร่ครวญตามความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสั่งสอนตามแบบนี้ที่ในวิ สุทธิมรรคท่านกล่าวว่า การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานย่อมมีกำลังแค่อุปจารสมาธิ แต่สำหรับพระอาจารย์ผู้สอนที่มีความฉลาด ท่านสอนต่อ ๆ กันมา คือสามารถดัดแปลงเอาพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌาน สมาบัติจนกระทั่งเข้าถึงฌาน ๔ ได้ วันนี้ก็จะได้อธิบายการเจริญพระกรรมฐานในด้านพุทธานุสสติจากอารมณ์อุปจาร สมาธิมาเป็นฌาน ๔ การเจริญพระกรรมฐานถ้ามีความเข้าใจ กรรมฐานทุกองค์ก็ทำเป็นฌาน ๔ ได้เหมือนกันหมด แล้วก็ต่อเป็นสมาบัติ ๘ ก็ได้
การ เจริญพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌาน ท่านก็ใช้คำภาวนาเป็นพื้นฐาน คือ ใคร่ครวญตามความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตามแบบที่กล่าวมาแล้ว ถ้าต้องการให้เป็นฌานอย่างยิ่ง ก็งดการพิจารณานั้นเสีย จิตน้อมยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า ที่ชื่อว่าจิตน้อมยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้านี่ เราไม่ได้ถือเนื้อถือหนัง ถือรูปร่างเป็นสำคัญ เนื้อหนังรูปร่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามิได้ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความเป็นพระพุทธเจ้ามาจากการบรรลุธรรมะพิเศษ ไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ในตอนที่จะเข้าสู่การดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ว่า
อานันทะ ดูกรอานนท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนเธอทั้งหมดนี่จะเป็นศาสดาสอนเธอ ศาสดานี่แปลว่าครู นี่เราจะเห็นได้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรมคำสั่งสอนนั่นเอง
เรา มาเปลี่ยนแปลงจากการพิจารณาความดี เอาจิตเข้ามาจับความดีจุดเล็ก คือ แทนที่จะเป็นการใคร่ครวญ กลับมาภาวนา นึกว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ เราจะผูกใจของเราให้จับอยู่เฉพาะความดีของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านจึงสอนให้ใช้คำภาวนาแทนที่จะพิจารณา แต่ว่าเราก็ไม่ทิ้งคำพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ให้จิตเข้าถึงความดีของพระองค์ เป็นการสร้างธรรมปิติ ความมั่นใจในความดีก่อน
เมื่อเราพิจารณาความดีใคร่ครวญความดีของพระองค์ แล้ว เมื่อใจสบายก็จับอารมณ์เป็นสมาธิพิเศษ คือใช้อานาปานสติกับพุทธานุสสติควบกันไป โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธนี่ง่ายดี ความจริงการภาวนาในด้านพุทธานุสสติกรรมฐานนี่ว่าได้หลายอย่าง อิติปิโสเบื้องต้นทั้งหมดทั้ง ๙ ข้อ เราว่าได้ทุกข้อ จะว่าข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ก็ชื่อว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานทั้งนั้น แต่ว่าการที่ท่านตัดเอาใช้คำว่าพุทโธ เพราะเป็นการสะดวกแก่บุคคลผู้ฝึกจิตในตอนแรก
ในตอนต้นให้พิจารณาลมหายใจ เข้าออกพร้อมคำภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ แค่นี้ให้จิตสบาย พอจิตมีความสบาย มีกำลังเป็นสมาธิสูงขึ้น จิตจะรู้ลมหายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือจมูก
ถ้า ปรากฏว่าลมกระทบ ๓ ฐานมีความรู้สึกแบบสบาย หรือมีจิตใจละเอียดไปยิ่งกว่านั้น รู้สึกลมไหลลงไปตั้งแต่ต้นยันท้อง ไหลจากท้องมายันจมูก ออกทางจมูกอย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ ที่จะมีความรู้สึกอย่างนี้ต้องปล่อยลมหายใจเข้าออกตามธรรมดา อย่าหายใจแรง ๆ ยาว ๆ หรือบังคับให้หนัก ๆ อันนี้ไม่ได้ ต้องปล่อยลมหายใจไปตามกฎธรรมดา ที่เราจะรู้ได้ก็ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะของเรามันดีหรือมันเลวเท่านั้น ถ้าสติสัมปชัญญะของเราดี จิตเป็นสมาธิมากก็รับสัมผัสได้สามฐาน ถ้ามีอารมณ์ละเอียดไปกว่านั้นก็รู้ลมไหลเหมือนกับน้ำไหลเข้าน้ำไหลออก
ถ้ารู้ลมได้ ๓ ฐานก็ดี หรือรู้ลมไหลออกไหลเข้าตลอดเวลา อย่างนี้ชื่อว่าจิตเป็นฌาน เรียกว่าปฐมฌาน พร้อมกันก็ทรงคำภาวนาไว้ด้วย
ถ้า ภาวนาไปภาวนาไป รู้สึกว่าลมหายใจเบาลง เบาน้องลง จิตใจมีความชุ่มชื่น คำภาวนาหายไปหยุดภาวนาไปเฉย ๆ แต่มีใจสบาย ลมหายใจอ่อนลง มีความชุ่มชื่นมากกว่าจิตทรงมากกว่า อย่างนี้เป็นฌานที่ ๒
ถ้าต่อไปความ ชุ่มชื่นหายไป มีแต่อาการเครียด จิตใจสบาย ลมหายใจเบาลงไปได้ยินเสียงภายนอกน้องลงไป เบาลงไปมาก จิตใจทรงตัวดิ่ง มีอาการไม่อยากเคลื่อน มีร่างกลายคล้ายกับมีอาการทรงตัวเหมือนหลักปักแน่น ๆ หรือว่าใครเขามัดตัวตรึงไว้เฉย ๆ ไม่อยากเคลื่อน ใจสบาย แนบนิ่ง นิ่งสนิท จิตไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหน อันนี้เรียกว่าฌานที่ ๓ นี่คำภาวนาไม่มีเหมือนกัน คำภาวนานั้นมีแค่ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือปฐานฌานเท่านั้น
ต่อไปเริ่ม ต้นเราจับคำภาวนา แล้วก็ต่อมาปรากฏว่าจิตมีอารมณ์สว่างสดใส มีจิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัวเป็นปกติไม่เคลื่อนไหวไปไหน ทรงตัวแบบสบาย มีความโพลงอยู่ในใจ เป็นความสว่างมาก แต่ว่าไม่ปรากฏลมหายใจ หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก แม้จะเอาปืนใหญ่หรือพลุมาจุดใกล้ ๆ ก็ไม่ได้ยิน อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๔
ถ้าจะถามตอบกันตามแบบฉบับของการเจริญสมาธิ ไอ้เรื่องยุงกินริ้นกัดนี่ มันไม่กวนใจเราตั้งแต่อุปจารสมาธิ พอจิตผ่านปิติเข้าถึงสุข มันจะมีความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ไอ้เรื่องเสียงที่เราได้ยินก็เหมือนกัน มันไม่กวนใจ ใจเราก็มีความสบาย ร่างกายก็ไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่มีอะไรทั้งหมด มันสุขจริง ๆ มีแต่จิตใจชุ่มชื่น ยุงกินริ้นกัดหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่ายุงกินหรือเปล่า แต่ว่าส่วนมากยุงไม่กวน แต่บางท่านก็กวนเหมือนกัน บางทีนั่งพอเลิกแล้วเป็นตุ่มหมดทั้งตัวปรากฏว่ายุงกัด แต่เวลาขณะที่ปฏิบัติทรงจิตเป็นสมาธิไม่รู้สึกว่ายุงกัด นี่ความจริงเรื่องการสัมผัสกับอาการภายนอก แต่จิตไม่ยอมรับสัมผัสจากประสาทเริ่มมีตั้งแต่ตอนสุข เพราะคำว่าสุขนี่มันต้องไม่มีคำว่าทุกข์ มันสุขจริง ๆ หาตัวทุกข์ไม่ได้ ถ้าเมื่อยมันก็ไม่สุข ถ้ารู้ว่ายุงมากวนที่หูมันก็ไม่สุข ถ้ารู้ว่ายุงกินคนแล้วคันหรือเจ็บมันก็ไม่สุข มันเป็นทุกข์ นี่คำว่าสุขตัวนี้ก็ตัดอาการเหล่านี้ไปทั้งหมด
ความ จริงเรื่องเสียงก็ดี ที่เราจะรำคาญภายนอก หรือยุงกินริ้นกัดก็ดี มันตัดกันแค่สุขยังไม่ถึงปฐมฌาน แต่ว่าอาการของความสุขและปฐมฌานนี่มันใกล้เคียงกันมาก เขาบอกว่าห่างกันแค่เส้นผมผ่า ๘ เท่านั้น ขอบรรดาทุกท่านจำไว้ด้วย ถ้าว่าใครเขาถามละก็ตอบเขาแบบนี้ ถามว่ายุงกินไหม บอกบางองค์กินบางองค์ไม่กิน ถามว่าทำไมยุงกินหรือไม่กิน กัดหรือไม่กัดไม่เหมือนกัน บางองค์ก็ถูกกวนบางองค์ก็ไม่ถูกกวน ก็ต้องตอบว่าถ้าองค์ใดหรือท่านใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน มีจิตทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ท่านผู้นั้นยุงไม่กินริ้นไม่กัด ถ้าบกพร่องในพรหมวิหาร ๔ มันกัดแน่ มันกินแน่ นี่ตอบเขาอย่างนี้ แล้วก็ตอบตัวของเราเองเสียด้วย
นี่ เป็นอาการของฌาน ๔ ตามปกติ เมื่อถึงฌาน ๔ แล้วก็ต้องพยายามทรงฌานทรงสมาธิจะเป็นอันดับไหนก็ตาม ให้มันมีการคล่องตัวที่เรียกว่า วสี จะเป็นฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ อะไรก็ตาม ให้มันคล่องจริง ๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรจิตเป็นสมาธิทันที เดินไปเดินมาเหนื่อย ๆ นั่งปั๊ปจิตจับปุ๊ปเป็นสมาธิทันที ทำงานมาเหนื่อย หาบน้ำหาบ่ามาอย่างหนัก ทำงานหนักวางของปั๊ปนั่งปุ๊ปจิตจับเป็นสมาธิทันทีทรงตัวได้ทันที นี่ต้องหัดให้คล่องอย่างนี้จึงชื่อว่าผู้ได้ฌานหรือผู้ทรงฌาน ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันส่งเดชไป อารมณ์มันจะใช้แต่เป็นพรหมไม่ได้ ถ้าจิตเราสามารถจะทรงฌานได้ทุกขณะจิตละก็เป็นพรหมได้แน่นอน เพราะเวลาที่ป่วยไข้ไม่สบายเกิดทุกขเวทนามาก เราก็เอาจิตจับเข้าฌานทันที ทุกขเวทนามันก็คลายตัว ดีไม่ดีไม่รู้สึกตัวเพราะจิตและประสาทมันไม่ยอมรับรู้ซึ่งกันและกัน มันแยกจากกันเด็ดขาด
ภาพใสสะอาด ขึ้น มีการทรงตัวมากขึ้น มีความแจ่มใสมากขึ้น ความชุ่มชื่นหายไปมีอาการเครียด จิตทรงตัวแนบนิ่งสนิท แล้วก็ลมหายใจน้อย ได้ยินเสียงภายนอกเบา อันนี้เป็นฌานที่ ๓
การเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเป็น กรณีพิเศษ สว่างไสวคล้ายกับพระอาทิตย์ทรงกลด หรือว่าคล้ายกับกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดดดวงใหญ่ ใจไม่ยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่น เป็นอุเบกขารมณ์ทรงสบาย เห็นแนบนิ่งสนิท จะนั่งนานเท่าไรก็เห็นได้ตามความปรารถนา หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็นฌานที่ ๔ ก็ยังเป็นรูปฌานอยู่
ทีนี้ถ้าหก ว่าเราจะทำเป็นอรูปณาน จะทำอย่างไร เราจะทำถึงฌาน ๘ กันนี่ นี่เป็นวิธีแนะนำปฏิบัติตามผลแห่งการปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่เกาะตำราเสียจนแจ แล้วไปไหนไม่พ้น เขาทำแบบนี้
จับภาพพระพุทธเจ้าองค์นั้นแหละ ที่เป็นประกายพรึกอยู่ เพ่งจับจุดให้จิตจับดี เมื่อจิตทรงอารมณ์ดีแล้วก็เพิกภาพนั้นให้หายไป คำว่าเพิกเป็นภาษาโบราณ คือนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป จับอากาสานัสจายตนะแทน คือพิจารณาอากาศว่า อากาศนี้หาที่สุดมิได้ มันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีจุดจบ จับอากาศเป็นอารมณ์อย่างนี้ เรียกว่าอากาสนัญจายตนะจิตทรงอยู่ในด้านของฌาน ๔ จับอากาศ ความหวั่น การเคลื่อนไหวของอากาศว่า ว่างมาก โลกนี้หาอะไรเป็นที่สุดมิได้ หานิมิตเครื่องหมายอะไรไม่ได้เลย หาจุดจบไม่ได้ จนกระทั่งจิตทรงอารมณ์ทรงตัวดีแล้ว อย่างนี้จัดเป็นอรูปฌานที่ ๑ ถ้าจะเรียกกันว่าฌาน ก็เป็นที่ ๕ สมาบัติที่ ๕
เมื่อ จับอารมณ์ของอากาศให้แบบสบาย ๆ ใจสบาย นึกขึ้นมาว่าอากาศมันเวิ้งว้าง ทุกอย่างมันว่างเปล่าเป็นอากาศไปหมด โลกทั้งโลกไม่มีอะไรทรงตัว คนเกิดมาแล้วก็ตาย สัตว์เกิดมาแล้วก็ตาย ต้นไม้เกิดมาแล้วก็ตาย ภูเขาไม่ช้ามันก็พัง บ้านเรือนโรงก็พัง ผลที่สุดมันก็ว่างไปหมด อย่างนี้เรียกว่าจิตเข้าถึงอากาศได้เป็นอย่างดี เป็นอากาสานัญจายตนะ
ที นี้ก็มาเป็นวิญญานัญจายตนะ นึกถึงวิญญาณ คือจิต สภาวะของจิต ที่มีอารมณ์คิดเป็นปกติ มันก็ไม่มีอาการทรงตัว มันหาที่สุดไม่ได้ มันไม่มีอะไรทรงอยู่เฉพาะแน่นอน เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็คิดอย่างโน้น ขึ้นชื่อว่าเอาจิตมีอารมณ์เกาะว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา นี่มันไม่ใช่มีอะไรจริง ความจริงจิตมีสภาพไม่นิ่ง จิตมีสภาพไม่แน่นอน เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ต้องการอย่างโน้น จึงถือว่าอารมณ์ของจิตนี่หาที่สุดมิได้ นี่เราไม่มีความต้องการอารมณ์อย่างนี้ จนกระทั่งอารมณ์จิตของเรานี้มีความแนบแน่นสนิท ไม่มีความผูกพันอะไร ในด้านร่างกายก็ดี ในวัตถุก็ดี ไม่เอา แล้วก็ไม่สนใจ ต้องการอย่างเดียวอากาศ คือความว่างเปล่าปราศจากแม้แต่จิต ถ้าจิตมันทรงตัว มีอารมณ์ว่างหาที่สุดมิได้ ถ้าเราเกาะโลกอยู่เพียงใด ก็ชื่อว่าเราเป็นผู้มีทุกข์
นี่ อาการอย่างนี้คล้ายคลึงวิปัสสนาญาณมาก อย่างนี้เรียกว่าได้วิญญาณณัญจายตนะฌาน นี่เป็นอารมณ์ เราพูดกันถึงอารมณ์ ถ้าไปอ่านตามแบบบางทีจะค้านกัน เมื่อเราได้วิญญาณัญจายตนะฌานแล้ว ก็ชื่อว่าได้สมาบัติที่ ๖ อย่าลืมนะว่า เราต้องจับภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณก่อน ต่อมาเราก็เพิกให้หายไป ถือเอากสิณนำให้จิตมันจับเป็นอารมณ์ทรงตัวก่อนนั่นเอง เพราะกสิณเป็นของหยาบ ภาพพระพุทธรูปเป็นของหยาบ จับให้ทรงตัวแล้วจงนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป
นี้ก็มาพิจารณาฌานที่ ๗ สมาบัติที่ ๗ คือ อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเหลือเลยนี่ มันพังหมด มันสลายตัวหมด ตึกรามบ้านช่อง เขาสร้างขึ้นมาอย่างดี ๆ ก็พัง บ้านเมืองเก่า ๆ เขาสร้างแข็งแรงก็พัง กำแพงเมืองใหญ่อย่างกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองไทย กำแพงเมืองฝรั่ง เขาสร้างแข็งแรงมากที่สุด มันก็พัง ภูเขามันก็มีอาการผุ เขาเอาดินมาทำลูกรังมันก็ผุจมหายไปหมด คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี เรืองโรงก็ดี นี่เมื่อถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อากิญจัญญายตนะ นี่เขาแปลว่าหาอะไรเหลือไม่ได้ จิตใจว่างจากอารมณ์ เลยไม่ยึดถือะไรทั้งหมด อะไรเล่าที่จะเป็นสาระสำหรับเราไม่มี แม้แต่ร่างกายของเรานี้ไม่ช้ามันก็พัง การทรงร่างกายอยู่อย่างนี้มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมีร่างกายอีก ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันทรงตัวได้ดีแล้ว ก็ชื่อว่าเราได้อากิญจัญญายตะฌานเป็นสมาบัติที่ ๗
นี้มาสมาบัติ ที่ ๘ จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ทรงอารมณ์แจ่มใสให้ใจสบายเป็นอุเบกขารมณ์ อรูปณานนี่ก็ทรางณาน ๔ นั่นเอง แต่มาจับเป็นส่วนอรูป อารมณ์มันเท่ากัน มาจับเวสัญญานาสัญญาตยฌาน เรา มีสัญญาความรู้สึก ทำตนเหมือนคนไม่มีสัญญา เพราะ
เห็นว่าร่างกายไม่มีสาระ ร่างกายไม่มีแก่นสาร ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ วัตถุทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีอะไรเป็นที่อาศัยจริงจัง ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ที่นี้เวลาร่างกายมันจะหิว มันมีอาหารกินก็กิน ไม่มีกินก็ทำสบาย รู้สึกว่าหิวแล้วทำเหมือนว่าไม่หิว มันหนาวมันไม่มีอะไรจะเป็น
เครื่องปกปิดก็นอนมันเฉย ๆ ไม่ร้อน ใครเขาด่าว่าอะไรก็ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกะคนที่ไม่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกะคนที่ไม่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนกะคนที่นี้มาสมาบัติ
ที่ ๘ จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ทรงอารมณ์แจ่มใสให้ใจสบายเป็นอุเบกขารมณ์ อรูปณานนี่ก็ทรางณาน ๔ นั่นเอง แต่มาจับเป็นส่วนอรูป อารมณ์มันเท่ากัน มาจับเวสัญญานาสัญญาตยฌาน เรา มีสัญญาความรู้สึก ทำตนเหมือนคนไม่มีสัญญา เพราะเห็นว่าร่างกายไม่มีสาระ ร่างกายไม่มีแก่นสาร
ร่างกายเป็น ปัจจัยของความทุกข์ วัตถุทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีอะไรเป็นที่อาศัยจริงจัง ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ที่นี้เวลาร่างกายมันจะหิว มันมีอาหารกินก็กิน ไม่มีกินก็ทำสบาย รู้สึกว่าหิวแล้วทำเหมือนว่าไม่หิว มันหนาวมันไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องปกปิดก็นอนมันเฉย ๆ ไม่ร้อน ใครเขาด่าว่าอะไรก็ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกะคนที่ไม่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกะคนที่ไม่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนกะคนที่ไม่มีความจำ ทำแบบนี้แล้วจิตมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จิตมันเป็นสุขถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา หนาวก็หนาวไป ช่างหัวมันไม่สนใจ ร้อนก็ร้อนไป มันอยากหิว หิวก็หิวไป ไม่มี
จะกินก็แล้วไป ไม่มีจะกินก็แล้วไป มีกินก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน มันอยากจะแก่ก็แก่ไป มันอยากจะป่วยก็ป่วยไป มันจะตายเมื่อไรก็ช่างหัวมัน ขันธ์ ๕ ไม่ดีไม่มีประโยชน์ เพราะเรามีขันธ์ ๕ คือ มีร่างกาย เราจึงมีร้อน มีหนาว มีสุข มีทุกข์ มีหิว มีกระหาย มีปวดอุจจาระปัสสาวะ ขันธ์ ๕ มันไม่ดี เราไม่ตั้งใจจะคบเลย ไม่ต้องการจำอะไรมันทั้งหมด ไม่สนใจอะไรกับมันเลยทั้งหมด อย่างนี้เรียกว่าเป็นสมาบัติที่ ๘ นี่อาการมันใกล้วิปัสสนาญาณเต็มที ฉะนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงกล่าวว่า คนที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาณาณพระโบราณจารย์สมัยโบราณท่านบอกว่าเพียงแค่เคี้ยวหมาก แหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์
หากว่าเราได้สมาบัติ ๘ แบบนี้แล้ว ใช้สมาบัติ ๘ เป็นพื้นฐาน พิจารณาวิปัสสนาญาณในด้านสังโยชน์ ๑๐ คือมีสักกายทิฏฐิ เป็นต้น
หรือว่าพิจารณาอริยสัจ ๔ วิปัสสนาญาณ ๙ หรือพิจารณาขันธ์ ๔ ก็ตาม ประเดี๋ยวเดียวมันก็เป็นพระโสดาสกิทาคา อนาคา พอเข้าถึงพระอนาคามี
เรา ได้ปฏิสัมภิทาญาณ มีกำลังครอบงำวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมด เราได้ไปหมดเลย ไม่ต้องไปฝึกกันเหมือนสมัยเป็นณานโลกีย์ อะไรก็ตามที่พระวิชชา ๓ รู้หมด เข้าใจหมดทุกอย่าง มีความฉลาดในการย่อข้อความที่เยิ่นเย้อ ข้อความที่ยาวเราย่อให้สั้นแบบได้ความ เขาพูดมาสั้น ๆ เราขยายออกไปให้ยาวให้ได้ความชัด เราทำได้อย่างดี อย่างนี้เรียกว่าปฏิสัมภิทาญาณ
เอาละบรรดาทุกท่านวันนี้เราพูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานถึงจุดนี้ สมาบัติ ๘ ซึ่งท่านทั้งหลายไม่เคยฟังมาก่อน แต่ว่าผมทำมาก่อน ผมทำได้ ที่ พูดให้ฟังนี่ผมทำได้ แต่ว่าทำตามอาจารย์สอนไม่ใช่ผมสร้างขึ้นเอง ความจริงความรู้นี้องค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงแนะนำไว้ แต่ว่าไม่มีใครนำมาสอนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเลยนะ มีใครมาสอนกันผมก็ไม่รู้ ที่ผมรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะอาจารย์รุ่นก่อนท่านมีความฉลาด
สามารถดัด แปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ไม่ใช่ดัดแปลงหรอก เอามารวมกัน เอาอนุสสติ คือพุทธานุสสติ อานาปานสติ กสิณเข้ามารวมกันเข้าหมดเป็นจุดเดียวกันเมื่อได้เข้าถึงณานที่ ๔ แล้ว ก็จับเอาภาพพระพุทธรูปนั้นเป็นกสิณยืนโรงแล้วก็เพิก จับอรูปณาน นี่ความฉลาดของการเจริญพระกรรมฐานมีคุณแบบนี้
เอาละสำหรับวันนี้การ พูดสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
************
ที่มา www.watpanonvivek.com
ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว
รายชื่อผู้ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพกฐิน จ.สุรินทร์
1. คุณ มินทิวาและครอบครัว..................... 1,000.00 2. คุณ แคทรียาและครอบครัว.................... 2,000.00 3. น.ส. ณัฐชนัญ อัศวจารุวรร....................... 500.00 4. นาย นาริโทชิ ฮายาชิ.............................. 500.00 5. คุณ อิสราภรณ์ ศิรคุณ.......................... 1,000.00 6. คุณ ธัญรัศม์ จิรจรัสธีรโชติ + คุณ รัชดากร ศรีธราพิพัฒน์.......................500.00 8. นู๋บี Beee_bu......................................... 100.00 9. ป้ากุ๊กไก่ ณ ร่มไม้เย็น.............................. 300.00 10. คุณ กาญและครอบครัว.......................1,000.00 11. นางบุษรัสกรณ์ เบามัณณ...................... 500.00 12. คุณนิดและครอบครัว............................ 150.00 13. คุณปัทมาและครอบครัว .......................1000.00 14. คุณนุ่มและครอบครัว............................ 300.00 15. คุณอริญชยา ศรีขาว + John Anthony Early............................ 1000.00 17. คุณอ้อ(เริงฤดี).................................... 345.00 18. กระป๋องแป้งฝุ่น และครอบครัว .................300.00 19. คุณอุ้มและครอบครัว.............................123.00
ยอด ณวันเสาร์ ที่ 10 ตุลาคม 2552 เป็นเงิน 10,495.00 บาท
ที่มา: ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคี สร้างพระอุโบสถ
Create Date : 20 ตุลาคม 2552 |
|
53 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 20:29:59 น. |
Counter : 1817 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 20 ตุลาคม 2552 20:33:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: อะนิตา IP: 212.198.64.196 20 ตุลาคม 2552 20:41:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 20 ตุลาคม 2552 20:54:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 21 ตุลาคม 2552 4:42:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 21 ตุลาคม 2552 8:07:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตัวp_box 21 ตุลาคม 2552 11:03:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 21 ตุลาคม 2552 11:24:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตัวp_box 21 ตุลาคม 2552 12:49:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) 21 ตุลาคม 2552 13:04:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าทลายโจร (ป้าอิ่ม ) 21 ตุลาคม 2552 14:04:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่นู๋อ้อ (pinuaoo2006 ) 21 ตุลาคม 2552 14:10:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 21 ตุลาคม 2552 16:56:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: Budratsa 21 ตุลาคม 2552 18:46:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) 21 ตุลาคม 2552 19:42:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 21 ตุลาคม 2552 20:54:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องดา IP: 124.120.155.213 21 ตุลาคม 2552 22:08:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 22 ตุลาคม 2552 5:39:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 22 ตุลาคม 2552 8:30:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 22 ตุลาคม 2552 9:02:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: sawkitty 22 ตุลาคม 2552 12:57:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตัวpคนสวย.อิอิ.. IP: 124.120.90.138 22 ตุลาคม 2552 15:11:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 22 ตุลาคม 2552 15:57:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: Budratsa 22 ตุลาคม 2552 19:20:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: Budratsa 22 ตุลาคม 2552 21:59:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่นู๋อ้อ (pinuaoo2006 ) 23 ตุลาคม 2552 0:10:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 23 ตุลาคม 2552 1:03:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 23 ตุลาคม 2552 6:26:45 น. |
|
|
|
|
|
|
|
มาศึกษาพุทธานุสติกรรมฐานให้เป็นฌาณค่ะ
ว่าจะอัพเรื่อง วิธีการ "ดูจิต" ด้วยค่ะ
เชิญพี่ไผ่ ติดตามด้วยนะคะ
ส่งพี่ไผ่เข้านอนเลยนะคะ
ฝันไม่ร้าย ราตรีสวัสดิ์ค่ะ