เรื่อยเปื่อยกับเสาร์ที่ 24 ต.ค 52 (ชั่วฟ้าดินสลาย)
ตอนนี้ฝนตกแทบทุกวัน วันละหลายๆ รอบบางทีท้องฟ้ายังดูแจ่มใสอยู่เลยแป๊บเดียวฝนก็ลงแล้ว บ่อยครั้งที่ออกไปข้างนอกโดยไม่ได้พกร่มต้องประสบปัญหาเข้าบ้านและที่ทำงานไม่ได้ต้องรอจนกว่าฝนจะหาย...จริงๆ แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนสามารถแสดงน้ำใจที่ดีต่อกันได้ง่ายๆ อย่างที่ทำงานแค่เราเคยคุ้นหน้ากันถึงแม้ไม่รู้จักก็สามารถแสดงน้ำใจที่ดีต่อกันได้...เห็นใครติดฝนอยู่โดยไม่มีร่ม เราก็แสดงน้ำใจด้วยการไต่ถามว่าจะไปด้วยกันไหม...มีบ้างเหมือนกันที่แสดงน้ำใจให้คนร่วมงานที่ไม่รู้จักกัน แล้วเค้าตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร ซึ่งอาจเป็นเพราะเกรงใจเราเพราะร่มไม่ได้คันใหญ่มากกางสองคนคงเปียกทั้ง 2 คนล่ะ แต่อย่างน้อยยังเอาหัวหลบใต้ร่มได้นี่นา ก็เลยตอบกลับไปว่าไม่เป็นไรดีกว่ายืนรอฝนหายหรือเดินตากฝนโดยไม่มีอะไรเลย..ถึงจะเปียกปอน..แต่สิ่งที่ได้ คือ น้ำใจและเพื่อนคนใหม่สังคมสมัยนี้ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวเอง ไม่มีใครคิดถึงใคร อาจเพราะทุกอย่างต้องเร่งรีบจนลืมฉุกคิดถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวและคนรอบข้างไป...แต่จะมีใครสักกี่คนที่คิดได้บ้างว่า สิ่งที่คนอื่นเดือดร้อน หรือสิ่งที่คนอื่นต้องการความช่วยเหลือ ที่ในตอนนั้นเราคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เราควรใส่ใจ สักวันหนึ่งเรื่องราวเหล่านั้นอาจมาถึงเราก็ได้ไม่วันใดวันหนึ่ง...มีครั้งหนึ่งที่ทำงานตัวเอง วันนั้นฝนตกหนักตั้งแต่เช้า ตอนออกจากบ้านไม่ได้พกร่มเพราะก่อนออกจากบ้านไม่ได้มีเค้าว่าฝนจะเทมา...แต่ระหว่างเดินทางฝนกลับเทลงมา และใกล้จะถึงที่ทำงานแล้ว ฝนยังกระหน่ำลงมาอย่างกะฟ้ารั่ว ฝนก็ยังไม่หยุดเทเมื่อรถถึงป้ายที่จะลง เธอต้องตัดสินใจลงที่ป้ายนั้น ทั้งที่ไม่มีหลังคาและที่พักผู้ัโดยสาร เธอจึงวิ่งหลบฝน เพื่อรอให้ฝนหายที่ตึกแถวหน้าที่ทำงาน เธอยืนรออยู่หน้าที่ทำงาน...คนเดินผ่านไปผ่านมาต่างกางร่ม แต่ไม่มีเพื่อนที่เธอรู้จักสักคนเดินผ่าน เวลาก็รีบเร่งเพราะงานต้องเข้าก่อน 8.30 น. ตอนนั้นเวลาก็ 8.25 น. เธอก็เลยตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนและเปียกปอนไปทั้งตัวเข้าที่ทำงานเพื่อจะได้เซ็นชื่อได้ทันเวลา...แต่....เธอก็ช้าไปเกือบ 5 นาทีเพราะเสียเวลาในการเดินทางฝ่าสายฝน และเมื่อเธอไปถึงเธอเห็นหัวหน้างานกำลังจะขีดเส้นปิดเวลาเข้าทำงาน...หัวหน้าหันมามองเธอ... เธอใช้สายตาวิงวอน แต่หัวหน้าก็ขีดเส้นไปทันทีทันใดดูใจร้ายมากเลยเนอะจากสิ่งที่เล่า มองเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกน้องที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของการทำงานซึ่งเป็นสิ่งถูกต้องที่ทุกคนต้องมาให้ทันตามเวลาที่กำหนด..แต่...ทุกอย่างในโลกนี้ก็มีช่องว่างของคุณธรรม ที่เป็นข้อยกเว้นในเวลาที่จำเป็นบ้าง อย่างเรื่องนี้ถ้าฝนไม่ตกเธอก็ไม่ต้องยืนรอในตอนแรกเพื่อให้ฝนหาย จนเธอรอไม่ไหวเลยตัดสินใจฝ่าสายฝนเพื่อให้เข้าไปเซ็นชื่อให้ทันเวลา...เธอไม่ผิด สายฝนเป็นตัวกำหนดเป็นความผิดของฝนฟ้าที่ตกมาไม่ดูเวลา..สำหรับหัวหน้างานนั้น..ผิดไหม..ไม่ผิดแต่ขาดคุณธรรมของความเป็นผู้นำที่ดี เอากฏกติกาที่กำหนดมาปฏิบัติโดยไม่ดูความเป็นจริง..บางครั้งกฏกติกามีไว้ปฏิบัติก็จริง แต่บางทีถ้าหากมีเหตุการณ์ที่นอกเหนือไม่สามารถปฏิบัติตามได้ก็น่าจะมีข้อยกเว้นสังคมจะได้น่าอยู่ขึ้นผลจากเรื่องนี้ที่ได้ คือ ความรู้สึกของคนสองคนต้องสูญเสียความรู้สึกที่ดีต่อกัน สิ่งที่ตามมาก็คือเรื่องงาน เกิดความรู้สึกต่อต้าน ไม่เคารพยำเกรง ไม่เกรงใจ สิ่งที่เหลือคือ แค่หัวหน้าที่เป็นแค่หัวโขนที่สวมใส่หลอกตากันอยู่ แต่ความเป็นมนุษย์สูญเสียไปนับตั้งแต่ตัดสินใจขีดเส้นนั้น...สังคมต้องการความเข้าใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งนิ่งดูดายคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ใครจะเดือดร้อนก็ช่างไม่ใช่เรื่องของเรา แล้วคิดกันบ้างไหมว่า สักวันสิ่งที่คิดว่าไม่เกี่ยวกับเราสักวันอาจกลับมาเป็นเรื่องของเราเองก็ได้อย่างบทความข้างล่างนี้ล่ะ
ไหนๆ ก็พูดถึงที่ทำงานก็ขอพูดให้จบถึงการอยู่ร่วมกันที่ทำงานอีกเรื่องเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงยึดถือและปฏิบัติแล้วจะทำให้บรรยากาศของที่ทำงานน่าอยู่ และอยู่กันอย่างมีความสุขก็คือ<<>>ควรระมัดระวังการพูดคุยควรพูดจาดีมีน้ำใจต่อกันด้วยความจริงใจไม่เสแสร้งแกล้งทำ <<>>ไม่นินทาว่าร้ายกันไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง <<>>ไม่จับผิดผู้อื่น เห็นความผิดคนอื่นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ปกปิดความผิดของตัวเอง <<>>ไม่ประจบประแจง เป็นสิ่งที่บอกถึงความไม่จริงใจคงไม่มีใครชอบนัก<<>>ไม่หยิบยืมเงิน หรือทรัพย์สินของผู้อื่น <<>>ไม่ควรเอาแต่ใจตัวเองควรแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน <<>>ไม่ดูถูกดูแคลนผู้อื่นหรือชอบทำตัวเหนือกว่าคนอื่นในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว <<>>อย่าเอางานนอกมาทำในเวลางาน <<>>อ่อนน้อมถ่อมตนไม่เป็นคนก้าวร้าว รู้ว่าใครเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่<<>>ทำในสิ่งที่ถูก ใครถูกว่าไปตามถูกใครผิดก็ว่าไปตามผิด <<>>ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เล่นพวก เอาแต่พวกตัวเองถ้าต่างสีแล้วไม่ใช่อะไรแบบนี้<<>>เป็นคนมีเหตุมีผล อย่าเอาอารมณ์ในการตัดสินในทุกๆ เรื่อง <<>>รับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับให้ดีพอ และทำให้เสร็จให้ทันเวลา<<>>ไม่เป็นคนลักเล็กขโมยน้อยอยากได้ของคนอื่น <<>>ไม่เป็นคนชอบโยนความผิดให้ผู้อื่นต้องหัดยอมรับความจริงกล้าทำก็กล้ารับในสิ่งที่ทำผิดพลาด <<>>ไม่เป็นคนขาเม้าท์ตัวแม่ อย่าถือคติ เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา <<>>ไม่เป็นคนทำตัวตามสบายเกินไปเพราะที่นี่ที่ทำงานไม่ใช่ที่บ้าน <<>>หัดช่วยเหลือตัวเองให้ได้ไม่ขอความช่วยเหลือชาวบ้านพร่ำเพรื่อเกินเหตุ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจแค่เฉพาะสังคมที่ทำงานแม้สังคมอื่นๆ เค้าก็รังเกียจค่ะถ้าหากใครปฏิบัติได้ตามนี้รับรองค่ะว่า..ที่ทำงานนั้นมีความสุขแน่นอน ...แต่ถ้าหัวหน้าไม่ดีชอบทำร้ายลูกน้องต้องทำแบบนี้ค่ะ......555555....
แวะมาทักกันวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะโห โหดเนอะจริงเหรอเนี่ยอย่างงี้หัวหน้าใหญ่กว่าต้องเรียกมาไต่สวนแล้วค่ะ
แวะมาทักทายกันวันอังคารแสนสุขใจจ้าแวะมาอ่านเรื่องราวดีดีนะคะ
เข้ามารับฟัง นิทานเรื่องนี้สนุกดีค่ะ
เห็นด้วยเลยค่ะ สังคมเริ่มจากคน คนเดียว วันนี้ฝนกำลังจะตกค่ะ อากาศมัวซัว
หลายบ้านบ่นว่า เบื่อและเซ็งในอารมณ์กันค่ะ
รักษาสุขภาพกายและใจนะค่ะ