Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
 
29 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 62 กลับมาที่จุดเริ่มต้น

สนามบินที่โปขรานี้ ดูเก่าๆทึมๆ โทรมกว่าที่กาฐมาณฑุ ให้ความรู้สึกเหมือนหมอชิตยุคก่อน

เราเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักตามระเบียบ เจ้าหน้าที่สนามบินเห็นสัมภาระของพวกเราแล้วก็ตกใจ มีใครเขาขนของข้ามเมืองกันมากมายขนาดนี้บ้าง อย่างดีก็มีแค่กระเป๋าเดินทางใบย่อมๆ อย่างพี่ซิปเท่านั้น เราเองก็ลุ้นเสียแทบแย่ ด้วยเกรงว่าน้ำหนักกระเป๋าจะเกิน 15 กิโลกรัมต่อคน

ดีว่าเขาชั่งรวมกันเป็นกลุ่ม กระเป๋าของพี่ซิปและศิวะเลยช่วยลดค่าเฉลี่ยที่กระเป๋าของพิมทำไว้ได้ กระเป๋าของทั้งกลุ่มก็เลยผ่านการชั่งอย่างฉิวเฉียด

หลังจากจ่ายภาษีสนามบินแล้ว รออีกไม่นานนักพวกเราก็ได้เข้าไปรอขึ้นเครื่อง แน่นอนว่าต้องผ่านการตรวจหาไม้ขีดไฟอย่างเข้มงวด…ด้วยปากเปล่าก่อน

เครื่องบินที่จะพาพวกเรากลับสู่กาฐมาณฑุ ก็คือเครื่องบินของสายการบิน Mountain Air เหมือนกันทุกอย่างทั้งสี ทั้งแบบ ทั้งรุ่น และขนาดกับเครื่องบินที่เป็น Mountain Flight เห็นอย่างนี้แล้วพวกเราก็หวาดหวั่น เครื่องบินลำเล็กแค่นี้ ต้องบรรทุกกระเป๋าเดินทางแสนหนักของพวกเราไปด้วย แล้วมันจะถ่วงให้เครื่องบินตกไหมนี่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสยอง แต่เอาน่ะ…ก็ชั่งน้ำหนักผ่านแล้วนี่นะ คงไม่เป็นอะไรหรอก

เราใช้เวลาอยู่ในเครื่องบินประมาณ 45 นาที ถึงจะทำให้หูอื้อ จนต้องนอนหลับตาเฉยๆ ก็ยังดีกว่าขามาที่ต้องทนนั่งรถตู้โขยกเขยก แถมยังเสี่ยงถูกหินถล่มใส่อีก ที่นั่งก็ยังคงเป็น Window Seat แต่เราก็มองอะไรไม่เห็นนอกจากเมฆ หมอก

เมื่อมาถึงสนามบินตรีภูวัณ พวกเราก็เดินออกทาง ‘ประตูคุก’ เหมือนเคย ไม่มีรถเข็นคันเล็กๆ สำหรับขนกระเป๋า หากมีบริการขนกระเป๋าด้วยรถลากขนาดใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะพวกแขกยกกระเป๋าจะกรูเกรียวมายกกระเป๋าของเราขึ้นรถไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากวิ่งตามรถที่ยึดกระเป๋าของพวกเราไปแล้วเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ต่อรองราคาค่าขนกระเป๋า ไม่มีสิทธิ์จะ ‘Just Say No’ เลย

ที่จอดรถก็อยู่ใกล้นิดเดียว กระเป๋าก็ลากกันเองได้สบาย ๆ ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วยสักหน่อย ทำไมต้องจ่ายเงินให้คนฉวยโอกาสพวกนี้ด้วยนะ

Tip : มีบริการขนกระเป๋าเดินทางออกจากสนามบิน อย่านึกว่าเป็นน้ำใจใสบริสุทธิ์ที่หาที่สุดไม่ได้ เพราะไม่ฟรี ถ้าไม่อยากเสียเงิน ต้องยึดกระเป๋าเดินทางของตัวเองให้มั่น คั้นให้ตาย หวงกระเป๋าราวกับกลัวจะถูกปล้น อย่างให้ใครขนกระเป๋าลงรถเข็นได้ (นี่กระเป๋านะ ไม่ใช่ผัก)

แต่ถ้าพลาดท่า กระเป๋าเดินทางได้ลงไปแอ้งแม้งอยู่บนรถเข็นแล้ว ให้รีบวิ่งตามรถเข็นให้ทัน มิฉะนั้นอาจจะเสียกระเป๋าแทนเงิน

ศิวะจัดรถตู้มารอรับพวกเราอยู่แล้ว เดินเพียงครู่เดียว ‘แขกนักขน’ ก็ยกกระเป๋าเดินทางของพวกเราลง แล้วแบมือขอเงิน 200 รูปี กับการเข็นรถไม่ถึง 5 นาที นี่เป็นราคาที่ต่อรองแล้วนะ เมื่อเทียบกับค่าแรงลูกหาบบนเขาวันละ 100 รูปี ต่อคนแล้วอย่างนี้ต้องเรียกว่าปล้น

พิมหงุดหงิดและหมั่นไส้ ไม่เต็มใจควักเงินส่งให้พวกฉวยโอกาสพวกนี้เลย ทำท่าจะหักคอให้แค่ 150 รูปีเท่านั้น เพื่อนๆต้องบอกว่าจ่ายเขาไปให้ครบๆ เถอะ เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับเมืองไทยหรอก ไม่เสีย 50 รูปี อยากจะเสีย 1,200 รูปีหรือไงกัน

ทำไงได้ นี่เป็นช่องทางทำมาหากินของเขานี่นะ คิดในทางที่ดีก็ต้องบอกว่าดีกว่าเขาไปปล้น (จริงๆ) หรือไปค้ายาเสพติดเสียเป็นไหน ๆ

แล้วรถตู้ก็พาพวกเราเข้าไปส่งในทะเมล ที่พักในคืนนี้ไม่ต้องเสียแรงหา เพราะศิวะมีเกสท์เฮาส์ให้เช่าด้วย ต่อรองกันแล้ว แค่ 4 USD เท่านั้นเอง

เกสท์เฮาส์ของศิวะอยู่ในทะเมลเลย ชื่อ Shangri-la Guest House (เอาไปอำเพื่อนได้เลยว่าเคยนอน Shangri-la มาก่อน ใครๆ ก็ต้องนึกว่าเป็นโรงแรม 5 ดาว) ถึงแม้จะต้องชอกซอนเข้าซอยไปสักหน่อยก็ยังนับว่าสะดวกดีอยู่ ห้องหับก็พอใช้ได้ มีห้องน้ำในตัวด้วยถึงจะไม่มีทีวีก็ไม่เสียหายอะไรนัก

ศิวะบอกว่าเกสท์เฮาส์แห่งนี้ เขาซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมที่ทำธุรกิจขาดทุน ซึ่งคงจะเป็นเพราะทำเลของเกสท์เฮาส์แห่งนี้หลบซ่อนมิดชิดเหมาะจะเป็น เซฟเฮาส์ สำหรับหลบหนีการตามล่า มากกว่าเป็นเกสท์เฮาส์ที่มีผู้คนเข้าพักกันพลุกพล่าน

เก็บกระเป๋าเข้าห้องพักแล้ว พวกเราก็ออกไปชมกาฐมาณฑุกันต่อ

รถตู้พาพวกเราไปส่งแถวๆถน ดะระบาร์ มารกะ (Durbar Marg) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจหรูหราน่าจะ เทียบได้กับถนนสีลมบ้านเรา มีโรงแรม 4 ดาว 5 ดาว อยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนน ที่ทำการของธนาคารต่างชาติชื่อดัง และที่ทำการของสายการบินนานาชาติก็มารวมกันที่ถนนนี้ ร้านไอศกรีมยี่ห้อ Moven Pick ที่มีขายแถวๆยุโรปก็มาโผล่ที่นี่ร้านหนึ่งด้วย

ทั้งที่อากาศยามบ่ายใกล้ๆเย็นจะออกหนาวนิดๆแล้ว อารมณ์ตะกละก็มารบกวนพิมให้อยากกินไอศกรีมแต่เพื่อนๆ ม่อยากแวะด้วย พิมเลยได้แต่กลืนน้ำลาย

พออากาศเย็น เหงื่อก็ไม่มีให้ออก พิมก็ชักอยากจะเข้าห้องน้ำเสียแล้ว ห้องน้ำที่ไหนจะเหมาะเท่าห้องน้ำของโรงแรม ยังไงก็ต้องห้องน้ำโรงแรม เพราะไม่มีห้องน้ำที่ไหนให้เข้าแล้ว

จะเข้าที่สำนักงานของการบินไทยก็สายเกินไปเสียแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังเลื่อนประตูเหล็กลงพอดี พิมเลยแอบแว่บเข้าโรงแรมที่อยู่เลยที่ทำการการบินไทยไปหน่อย โรงแรมนี้น่าจะได้ 4 ดาวเป็นอย่างน้อย มีสระว่ายน้ำเสียด้วย น่าขนลุกที่มีฝรั่งว่ายน้ำกำลังว่ายน้ำอยู่ ไม่ใช่อะไร ไม่มีผีหรือน้ำสกปรกแค่รู้สึกหนาวจนขนลุกแทนเท่านั้นเอง

หลังจากเสร็จภารกิจที่ลิขิตโดยธรรมชาติแล้ว พิมก็ออกจากโรงแรมมาพบเพื่อนๆกำลังเริงร่าถ่ายรูปให้เห็นฉากหลังเป็นหอนาฬิกาอยู่

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินดุ่มๆขึ้นสะพานลอยที่มีอยู่น้อยแห่งนักในเนปาล ถ้าไม่ได้ขึ้นเราจะรู้สึกว่ามาไม่ถึงกาฏมาณฑุ ผู้คนหนาแน่นมาก จนเราต้องกระชับกระเป๋าเงินเอาไว้ให้มั่น ด้วยกลัวว่าจะถูกล้วงกระเป๋า ความหวาดระแวงนี้ เราติดมาจากกรุงเทพฯ อารมณ์ประมาณซื้อของในสำเพ็ง

เมื่อเดินลงจากสะพานลอย พวกเราก็พบสระรานีโปขรี (Rani Pokhari หรือ Lani Pukhu) แปลว่าสระราชินี (Queen’s pond) เป็นสระกว้างมีศาลสีขาวขนาดเล็กอยู่กลางสระ สระนี้สร้างขึ้นโดยโดยพระเจ้าประทัปมัลละเพื่อราชินีของพระองค์หลังจากพระราชโอรสที่สิ้นพระชนม์ ที่กลางสระมีศาลน้อยทีพระศิวะประดิษฐานอยู่



เราอยากเข้าไปถ่ายรูปข้างใน เพราะสระดูสวยมาก ต้นไม้ร่มรื่น แต่ประตูเหล็กปิดสนิท เห็นแต่คุณลุงคนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ สระแห่งนี้จะเปิดเพียงปีละครั้งเท่านั้นในวัน Bhaitika (Brother’s day) ระหว่างเทศกาล Tihar (Diwali)

พี่ปุ๊กับพี่เจก็เลยได้แต่ยื่นกล้องเข้าไปในประตูรั้ว เพื่อถ่ายรูป นี่ถ้าพลาดพลั้งทำกล้องตกลงไปล่ะก็เรื่องใหญ่ คุณลุงจะยอมเก็บให้หรือเปล่าก็ไม่รู้
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าตรอกเพื่อเดินดูตลาดกัน พอเดินผ่านร้านขนมเบเกอรี่แขก เป็นโรตีกรอบสีสันจัดจ้าน ชมพูแปร๋นก็ยังมี กับขนมหน้าตาไม่รู้จักอีกหลายอย่าง พี่ป๋อก็ให้สนใจยิ่งนักอยากจะลองชิมดู อุตส่าห์มาถึงเนปาลทั้งทีไม่ได้ลองชิมขนมเขาเลยก็ยังไงอยู่นะ

พี่อ้อต้องปรามว่า อย่าลองเลยดีกว่า พวกเราไม่คุ้นอาจจะท้องเสียเอาง่ายๆ วัคซีนไทฟอยด์ไม่ใช่ยาสารพัดนึกที่ป้องกันได้ทุกโรค มาต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องระวังเสียจนดูดัดจริตอย่างนี้แหละ

เพื่อนๆคนอื่นๆ ไม่หิวอย่างพิมกับพี่ป๋อหรือไงกัน วันนี้เราเพิ่งได้กินไปมื้อเดียวเท่านั้นนะ

เรามาวางใจกล้าหาขนมกินกันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตทันสมัยอยู่ตรงต้นๆตรอก ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้เป็นตึกแถวสมัยใหม่ ดูแปลกแยกจากร้านรวงรอบข้าง ที่เป็นบ้านเรือนแบบโบราณมากเหลือเกิน

ตู้แช่ไอศกรีม Moven Pick ตั้งหราหน้าเคาร์เตอร์จ่ายเงินหน้าร้าน แล้วอย่างนี้ใครจะอดใจไหว ไอศกรีมมีหลายขนาด กล่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น ขนาดเล็กสุดเป็นไอศกรีมแท่ง ราคาแท่งละ 40 รูปี รสช็อคโกแลตออกขมๆหน่อยอร่อยมาก รสสตอเบอรี่ก็เปรี้ยวกำลังดี ทีอย่างนี้ล่ะกล้ากิน ไอติมตัดสีขาวแถมขี้ฝุ่นดำๆที่แสร้งว่าเป็นสาคูมันคงน้อยใจแย่

หลังจากได้กินอะไรรองท้องบ้างแล้ว เราก็เดินผ่านตรอกที่หน้าตาไม่ค่อยถูกอนามัย ที่เราเคยเดินมาแล้วเมื่ออยู่ในกาฐมาณฑุช่วงแรก แต่ตอนที่เข้าทะเมลเราเลือกผ่านซอยที่ยังไม่เคยเดินมาก่อน จนมาพบ Blue Diamond Hotel (ที่เราจองไว้ แต่ไม่มีใครมารับ) เข้าโดยบังเอิญ ดูจากภายนอกก็เป็น

โรงแรมที่ดูดีและน่าอยู่พอใช้ได้ทีเดียว แถมยังอยู่แถวๆชายขอบทะเมล ดังนั้นจึงไม่เงียบเหงาและพลุกพล่านจนเกินไปนัก น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้พักที่นี่

พอเข้ามาในทะเมล เราก็เริ่มช็อปปิ้งกันได้อีกแล้ว ข้าวของที่ขายก็เหมือนๆกับที่โปขรา แถมแถวนี้จะมีให้เลือกมากกว่าด้วย ร้านขายเสื้อยืดปักก็มีอยู่หลายร้าน ต่อรองราคาแล้วยังถูกกว่าซื้อที่โปขราเสียอีก

นอกจากร้านเสื้อยืดปักที่เป็นงานโหลจะมีอยู่ดาษดื่นแล้ว ร้านรับปักชนิด Made to Order ก็มีด้วย ลวดลายที่ปักก็แล้วแต่จะเลือก จะให้วิจิตรพิสดารแค่ไหนก็ได้ ตัวอย่างที่เห็นทำให้พี่ปุ๊ตาลุกวาว รูปนกตัวเบ้อเริ่มเทิ่มปักเต็มหลังเสื้อ เหมือนจริงเสียจนนึกว่ามันจะบินออกมาจากเสื้อได้

ตอนนั้นเองที่ฝรั่งตัวโตมหึมา มารับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นขนาด มี X 10 ตัวนำ แล้วตัว L ค่อยโผล่ออกมาจากหลืบ ปักเป็นรูปเสือดาวตัวใหญ่มากเต็มหลังเสื้อ ฝีมือเนี้ยบมาก ยิ่งเห็นพี่ปุ๊ก็ยิ่งอยากได้ เขายิ่งเป็นนักนิยมไพรอยู่ด้วย

เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็พอต่อรองกันได้ แต่มันมาติดที่เรื่องเวลา สั่งเย็นนี้จะมารับพรุ่งนี้เช้าเลย ทางร้านเขาไม่รับปากว่าจะทำเสร็จ ลำพังฝีมือปักของเขา เขามั่นใจว่าปักทันแน่ๆ ถ้าจักรไฟฟ้าของเขาใช้ได้ล่ะนะ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่า Electricity Holiday เป็นเหตุการณ์ที่จะอุบัติขึ้นเมื่อใดก็ได้ พี่ปุ๊ก็เลยได้แต่ข่มความอยากได้ กลับไปเป็นลูกค้าขาประจำของอุทยานแห่งชาติบ้านเราต่อไป

ร้านค้าอีกประเภทที่สะกดสายตาคนไม่ชอบช็อปปิ้งอย่างพี่ปุ๊ได้ก็คือร้านอัด ล้าง ขยายภาพที่มีอยู่มากมายหลายร้าน เพราะร้านพวกนี้มีภาพภูเขาสูง ถ่ายกันชนิดเผาขน เอาไว้ทั้งโชว์และขายด้วย ชนิดขยายใหญ่มาก ๆ ก็มี

ร้านแผนที่ ที่ทั้งร้านเต็มไปด้วยแผนที่ ส่วนใหญ่เป็นแผนที่บนภูเขาสำหรับ Trekking ส่วนโปสการ์ดและปฏิทิน ก็เป็นภาพภูเขาสวยๆ ทั้งนั้น พี่ปุ๊ซื้อแผนที่สำหรับ Trekking มาด้วย ยังมีอีกหลายเส้นทางที่พี่ปุ๊อยากพิชิต พี่ปุ๊คงคิดจะมาทำมาหากินเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวขึ้น Trek กระมัง ไหนๆหน้าตาก็กระเดียดไปทางคนแถวนี้เต็มทีแล้ว

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2553
2 comments
Last Update : 29 สิงหาคม 2553 20:17:24 น.
Counter : 605 Pageviews.

 

แวะเข้ามาดูครับ ชอบมากเลยการท่องเที่ยว ^^

 

โดย: MaFiaVza 7 กันยายน 2553 7:17:21 น.  

 

อยากให้ได้ไปเที่ยวเองจังเลยค่ะ คุณ MaFiaVza

 

โดย: ชัชชมนต์ 7 กันยายน 2553 23:40:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.