Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
 
26 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 59 Horn Please หอนเถอะ

ยิ่งเดินนานฝนยิ่งตกแรง จนพวกเราต้องหลบฝนใต้ชายคาบ้านของชาวบ้านแถวนั้น พื้นบ้านเป็นดินสีน้ำตาล ปกติก็เรียบแน่นดีอยู่ พอพวกเราไปยืนหลบฝน รองเท้าเปียกๆของพวกเราก็ทำพื้นบ้านของเขาเปียก เละเป็นรอยรองเท้าเสียหมด เมื่อฝนหยุดแล้วเจ้าของบ้านคงต้องลำบากมาเกลี่ยพื้นหน้าบ้านให้เรียบเหมือนเดิมอีก เราไม่ทันได้เห็นหน้าเจ้าของบ้านที่ป่านนี้คงบูดบึ้งเซ็งชีวิตไปแล้ว

นางฟ้าองค์ไหนสักองค์คงอกหักถูกเทวดาฟันแล้วทิ้งเลยร้องไห้ไม่รู้เลิก ฝนก็เลยยังคงตก พอซาลงหน่อยเราก็ต้องรีบออกเดินกันต่อ นานไปฝนจะยิ่งตกหนักไปกว่านี้แน่ๆเลย

พวกเราเดินมาเรื่อย ๆ จน ‘กลับมายืนที่เดิม’ Check Post แห่งแรกที่เราพบเมื่อขาขึ้น เราเดินข้ามสะพานเหล็กกลับมาอีกฟากของแม่น้ำ

โอ๊ย…เสียวไส้ ยามนี้น้ำเต็มตลิ่ง ไหลเชี่ยวกราก ฝนตกหนักขึ้นจนเราต้องหลบเข้าชายคาบ้านของชาวบ้านแถว ๆ ริมแม่น้ำ



ห้องน้ำ…ห้องน้ำอยู่ไหน เดินมาตั้งนานแล้ว อากาศก็เย็นจนหนาวสั่น จะไม่ให้ปวดฉี่ได้อย่างไร จะให้พิมแอบเข้าข้างทางก็ไม่ได้ แถวนั้นมันโล่งแจ้งไปหมด พิมถามเจ้าของบ้านว่ามีห้องน้ำไหม พี่ชายคนนั้นก็เอาแต่ยิ้มลูกเดียว สงสัยจะฟังไม่รู้เรื่อง

พี่ป้อมอาสาเป็นล่ามให้ อย่างนี้ต้องใช้ภาษาใบ้ ว่าแล้วพี่ป้อมก็ลุกขึ้นมาเขย่ากางเกงทำท่าจะรูดซิบ จะบ้าตาย ภาษาใบ้ของพี่ป้อมสากลมาก ดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าต้องการอะไร

อีตาเจ้าของบ้านตอบเป็นภาษาอังกฤษหน้าตาเฉย “โน่นไง” เขาชี้ไปที่แม่น้ำหน้าบ้าน

สรุปว่าเขาฟังออกตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เราน่ะจะทนคำตอบได้ล่ะหรือ พิมคงจะฉี่ลงแม่น้ำได้หรอกถ้าแถวนั้นมีต้นไม้ใบหญ้าให้บังเสียหน่อย อ้อ…แค่หน่อยไม่ได้ด้วย ต้องมากๆ แถวนั้นเป็นชุมชน ผู้คนก็เดินผ่านกันครึ่ด ใครจะไปปลดทุกข์ได้ลง

ศิวะบอกว่าไม่ต้องอายหรอก เอาผ้าปิดหน้าตัวเองเสียก็ไม่เห็นคนอื่นแล้ว ใครเห็นเราก็ช่างมัน แต่เราไม่เห็นใคร แล้วจะอายไปทำไม เด็ดไหม พ่อไดเร็คเตอร์อารมณ์ดีคนนี้

เรานั่งรอให้ฝนซาฟ้าเปิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกเดินทางกันต่อ ทั้งๆ ที่เปียกชื้น เนื้อตัวก็หนาวสั่น ถนนหนทางปริ่มน้ำ เฉอะแฉะไปหมด เราต้องเดินด้วยความยากลำบาก และแล้วเราก็ได้ยินเสียงสวรรค์ อา…เสียงที่เราไม่ได้ยินมาห้าวันแล้ว

‘แปร๊นๆ’ เสียงโหยหวนของแตรที่เราเคยรำคาญนักหนา หากยามนี้ช่างเพราะพริ้งราวกับเป็นทิพยดุริยางค์

เรากลับมาถึง Nayapoo แล้ว แค่ปีนขึ้นเนินไป พวกเราก็จะได้นั่งรถกลับไปพักที่โรงแรมกันเสียที

ผู้คนมากมายต่างมุ่งหน้าไต่ขึ้นเนิน ใครเดินตามหลังพิมก็ซวยหน่อยละ แม่เจ้าประคุณค่อยๆก้าวขึ้นบันได ก็มันกลัวตกนี่ อุตส่าห์เดินมาห้าวันโดยไม่บาดเจ็บ แล้วมาแอ้งแม้งกันแถวนี้ จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่โรงพยาบาล

เราขึ้นมาพักที่ศาลาริมทาง รอให้ศิวะจัดการหาทางกลับโรงแรมให้พวกเรา ที่นี่เราได้พบกับพี่ๆขาลุยกลุ่มเดิม เลย ได้โอกาสเมาท์แตกถึงเส้นทางหฤโหดที่ระหกระเหินกันมา

ถึงตอนนี้ก็ได้เวลาถีบลูกหาบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานแล้วนี่ ไม่ใช่อย่างนั้น ถึงเวลาจ่ายทิปต่างหากล่ะ เพราะลูกหาบสองคนเป็นชาวบ้านแถวนี้ก็ต้องลาจากพวกเราแล้ว

หลังจากประชุมลับกันมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเราก็สรุปว่าจะให้ 500 รูปีเท่ากันทุกคน ยกเว้นลูกหาบที่มาเพิ่มทีหลัง เราจะให้เพียง 300 รูปีเท่านั้น

ตอนแรกสาวๆ ก็ออกความเห็นว่าอยากจะให้ลูกหาบหน้าฝรั่งมากหน่อย เพราะเทคแคร์ดีเหลือเกิน แต่หนุ่ม ๆ เห็นว่าให้เท่าๆกันดีกว่าเพื่อความยุติธรรมเพราะลูกหาบหน้าฝรั่งคนนั้นรับผิดชอบแบกของน้อยกว่าคนอื่นๆ

เงินทิปนี้สำหรับพวกเราแล้วไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่สำหรับพวกเขาแล้วน่าจะเอาไปใช้จุนเจือครอบครัวได้ไม่น้อย



ขากลับนี้ไม่มีรถตู้เตรียมไว้ เพราะศิวะไม่แน่ใจเรื่องจุดที่จะกลับมา และเวลาที่จะเดินมาถึงตีนเขา ศิวะบอกว่าพวกเราคงต้องนั่งรถเมล์ นี่ความทุกข์ทรมานยังไม่จบสิ้นกันอีกหรือ

รถเมล์แถวๆนี้สภาพแย่ยับกว่ารถ บ.ข.ส.สีส้มของบ้านเราเสียอีก ผู้โดยสารแออัดยัดเยียดกันเต็มไปหมด ไหนจะสัมภาระบ้าหอบฟางของลูกคุณช่างขนทั้งหลายอีก สุมบนหลังคารถแล้วก็ยังไม่พอ ต้องเอาไปเบียดไว้ในรถด้วย

เรารอรถกันอยู่พักใหญ่ก็ยังหารถกลับโปขราไม่ได้ ฝนตก ถนนลื่น รถเมล์ก็เลยมาถึงช้า คนรอรถก็มาก รถมาทีก็แห่ขึ้นรถจนเบียดแซกไม่ได้ ศิวะเลยหาแท็กซี่มาบริการเราสองคัน

แท็กซี่เนปาลคันเล็กนิดเดียว เก่าโทรม โบราณมาก พี่ป้อมบอกว่ารถรุ่นนี้ แม่พี่ป้อมเคยใช้ขับพาพี่ป้อมไปเรียนหนังสือเมื่อตอนเด็กๆ ผ่านมาเกือบสามสิบปีแล้วแถวนี้ยังใช้งานอยู่เลย

ศิวะให้ลูกน้องสองคนขึ้นรถเมล์ขนถุงนอนตามไป ส่วนศิวะจะไปกับพวกเราด้วย เพื่อดูแลให้พวกเราถึงที่หมายถูกที่ถูกทาง

แท็กซี่สองคันกับคนสิบเอ็ดคน พร้อมกระเป๋า จะยัดลงไปยังไงล่ะนี่ คันแรกมี พิม พี่ซิป พี่ก้อด บีม และพี่ป๋อ พี่อ้อวิ่งตามมาจะขอนั่งด้วยคน เพื่อนๆร้องโวยวายกันใหญ่ นื่ไม่ใช่รถขนหมูนะ ให้พิมกับพี่อ้อขึ้นรถคันเดียวกัน เบาะที่ไหนมันจะไปพอนั่ง

พิมได้ดีเพราะสะโพก ได้นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ ให้หนุ่มๆ ไปนั่งเบียดกันด้านหลัง

ส่วนรถอีกคัน ด้านหน้าพี่เจต้องนั่งเบียดไปกับศิวะ จนแทบจะขี่กันอยู่แล้ว ส่วนด้านหลังมีพี่ป้อม พี่น้อย พี่อ้อ และพี่ปุ๊นั่งรวมกันเป็นเนื้อเดียว

ทั้งๆที่รถหนักไปด้วยคนและข้าวของ รถแท็กซี่ก็ยังซิ่งฝ่าสายฝนไปได้

ฝนยังตกอยู่ สาดเข้ามาในรถด้วย พอพี่เจจะไขกระจกปิด คนขับก็ส่งไขควงให้ เพราะที่ไขกระจกมันหลุดไปนานแล้ว

ส่วนที่ปัดน้ำฝนก็ใช้การไม่ได้ กระจกหน้าเป็นฝ้าไปหมด คนขับก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวขับรถต่อไปได้ จนศิวะทนไม่ไหวต้องเอามือเช็ดละอองไอน้ำบนกระจกด้านในรถ ทำให้วิสัยทัศน์ดีขึ้นบ้าง

แท็กซี่แล่นฉวัดเฉวียนไม่หวั่นศักดิ์ศรีรถสิบล้อที่แล่นสวนมาเลย เสียแตรโหยหวนคอยหอนขอทางดังสนั่น

พอสิบล้อเฉียดมาใกล้ที พิมก็จะร้องโวยวาย “โอ๊ย…เสียว”

จนพี่ซิปทนไม่ได้ “พิมนั่งด้านฟุตบาทจะกลัวอะไร พี่สิต้องกลัวมากกว่า ถ้าถูกชน พี่ก็โดนก่อน”

แหม…ก็มันเสียวนี่ ถ้าโดนชนจริงๆ แท็กซี่คันน้อยก็ทนแรงอัดของสิบล้อไม่ได้หรอก คงตายโดยเท่าเทียมกันทั้งรถ ชั่วแต่ว่าศพใครจะเละกว่ากันเท่านั้นเอง!

หลังจากทนทั้งเบียด เสียว และเกร็ง (เอ่อ…หมิ่นเหม่อยู่นะ) อยู่นานนับชั่วโมง แท็กซี่โกโรโกโสก็พาพวกเรากลับมา Bed Rock Hotel โดยสวัสดิภาพ ไม่มีใครได้รับอันตรายหรือข้าวของแตกหักเสียหายเลย เฮ้อ…โล่งอก

ทางโรงแรมจัดห้องพักให้เราที่ตึกใหม่ ห้องหับดูสะดวกสบายกว่าห้องพักคราวก่อนเสียอีก

แล้วก็มาถึงบันได โอ้…บันไดอีกแล้ว ทั้งที่บันไดโรงแรมเตี้ยๆแค่นี้กระจอกออกจะตายไป พวกเราก็ยังไม่อยากจะย่างเท้าขึ้น น่องทั้งล้า ทั้งเมื่อย ฝ่าเท้าก็ระบม กว่าจะยกขาขึ้นบันไดได้แต่ละขั้น ก็ต้องใช้แรงใจมากเหลือเกิน ส่วนแรงกายหมดไปนานแล้ว

คนที่ดูจะอาการหนักกว่าใครเพื่อนก็คือ พี่ป้อม ตอนนี้เขาเดี้ยงแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ต้องเดินลากขาเขย่งเก็งกอย เอาเท้าซ้ายยัน ขาขวาลากตาม ไม่เหลือลายนักรักบี้เก่าเลย

ส่วนพิมก็เดินสะดุดบันได ลงไปวัดพื้นโรงแรม วัดแล้วก็ไม่สูงเลย ทำไมถึงล้มกลิ้งได้นะ

พอเข้าห้องพักได้ พวกเราก็แทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยได้สนิท ห้องน้ำกว้างขวางอยู่ในห้องพักเลย ไม่ต้องเดินไปหาที่ไหนอีก พื้นห้องน้ำก็ปูกระเบื้องอย่างดี ผนังก็ไม่มีร่องมีรูให้ระแวง น้ำอุ่นก็มีให้

พวกเราใช้เวลาขัดสีฉวีวรรณกันอยู่นาน ใครอาบน้ำเสร็จแล้วก็แอบงีบรอเพื่อนไปพลางๆก่อน เตียงนอนหนานุ่มสะอาดเอี่ยม ไม่ต้องเสียเวลาทำใจยามล้มตัวลงนอน

หน้าต่างห้องพักของพิมกับบีมใหญ่มาก ที่จริงสามารถเป็นประตูออกไประเบียงใหญ่ชั้นสองได้เลย ในขณะที่พิมเก็บข้าวของอยู่นั้น ก็เห็นอะไรแว่บๆที่หน้าต่าง

อุ๊ย…ว้าย ตายจริง ตัวอะไรน่ะ สูงๆมายืนยิ้มเผล่อยู่ เนปาลก็มีเปรตหรือนี่ พิมตกใจจะแย่กว่าจะเห็นถนัดว่าเป็นพี่ก้อด เรี่ยวแรงยังมีพอที่ใช้หลอกคนอื่นอีกนะ

หลังจากที่ทุกคนได้อาบน้ำชำระร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพใกล้เคียงเดิมแล้ว (ได้แค่ใกล้เคียง เพราะตอนนี้ทุกคนดูโทรมลงไปมาก ดูแก่และเดี้ยงไปถนัดใจ) พวกเราก็ออกไปหาอาหารเย็นรับประทานกัน

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

มาถึงตอนนี้ ฉันเกลียดการขึ้นบันไดมากค่ะ เลี่ยงได้เลี่ยง ขอบันไดเลื่อนกับลิฟท์ได้มั้ยคะ




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2553
0 comments
Last Update : 26 สิงหาคม 2553 22:06:45 น.
Counter : 598 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.