Blog ของชัชชมนต์ คนดีค่ะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
 
30 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

Nepal ตอน 63 โซ้ยสั่งลา

หลังจากเดินช็อปปิ้งได้ของบ้าง ไม่ได้ของบ้างอยู่พักใหญ่จนฟ้าเริ่มมืด ก็ได้เวลาไปดินเนอร์กันที่ร้านอาหารสุดเริ่ด Kilroy’s of Kathmandu
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านดังในทะเมล เจ้าของเดียวกันกับ Naked Chef พวกเราฝันถึงร้านนี้ตั้งแต่อยู่บนเขาแล้ว กินข้าวไข่เจียวไปก็ฝันถึงKilroyไป จะแพงแค่ไหนก็ไม่ว่า ขอให้อร่อยถูกปากก็พอ

Kilroy อยู่ใกล้กับเกสท์เฮาส์ที่เราพัก อยู่บนถนน Jhatha เลยจากร้านนี้ไปหน่อยก็เป็นซอยเข้า Shangri-la Guest House แล้ว ทางเข้าร้านก็ดูธรรมดา หากพอโผล่พ้นประตูเข้าไป ก็ต้องร้อง ว้าว…

Outdoor Seating อยู่ในสวนน่ารัก มีน้ำตกจำลองบนผาหิน แสงสว่างจากแสงจันทร์ และเทียนดวงน้อยบนโต๊ะอาหาร ทำให้บรรยากาศโรแมนติกและเริ่ดหรูสุด ๆ

โต๊ะที่ศิวะจองให้เป็น Indoor Seating อยู่ในอาคาร เป็นโต๊ะยาว มีเทียนจุดให้เป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนด้วยเหมือนกัน ทุกโต๊ะก็ใช้เทียนเหมือนกันหมด แต่ก็มีไฟสีส้มสลัวๆพอไม่ให้ต้องคลำทางเดิน

จุดเทียนอย่างนี้ก็ดีไปอย่าง ถึงคราวที่มี Electricity Holiday ก็แค่จุดเทียนเพิ่มอีกหน่อยก็พอแล้ว บรรยากาศก็ยังคงเหมือนเดิม

อาหารของ Kilroy ก็คล้าย ๆ กับของ Naked Chef มีทั้งอาหารเนปาลและอาหารฝรั่ง

Royal Nepalese ‘Dal bhat’ เป็นข้าว มีกับข้าวมาในถาดทองเหลืองเป็นอาหารชุดแบบเนปาล

ส่วนพอร์คชอปของที่นี่อร่อยมาก จนเราต้องสั่งอยู่ 2 – 3 ที ส่วนฟิช แอน ชิพ นี่ออกจะธรรมดาไปหน่อย ที่ชิพ จริง ๆ ก็คือ แพง…ชิพ…
สเต็กสารพัดอย่างก็อร่อยสุดๆ จะ Buff หรือ Beef ก็ช่างเถอะ Who care

แน่นอนว่าไฮไลท์ของมื้อนี้ก็ต้องเป็นของหวาน เมนูแทบจะเท่ากันทุกประการกับของ Naked Chef ราคาเป็นมาตรฐานเท่ากันหมด คือ 145 NRS

Cinamon and Clove Scented Apple Crumble with Old Fashioned Custard Source กับ Warm Chocolate and Orange Foudant ยังต้องสั่งเหมือนเดิม รสชาติเยี่ยมยอด ไม่แพ้ที่ Naked Chef เลย

แถมวันนี้ที่ Kilroy ยังมีขนมให้เลือกมากกว่าด้วย Butter Scotch Caramelised Banana’s with Local Rum จานนี้เป็นกล้วยเชื่อมเหล้ารัมกินกับไอศกรีมช็อคโกแลต ช่างเป็นกล้วยเชื่อมที่หอมหวานอะไรอย่างนี้ จานเดียวไม่พอต้องขอเบิ้ล

อีกเมนูเด็ดที่พวกเราอยากลิ้มรสมาตั้งแต่ที่ Naked Chef ก็คือ Lemon Tart พอมากินที่ Kilroy จานนี้ก็ได้ชื่อว่า Kilroy’s Lemon Tart เป็นทาร์ตที่เปรี้ยวหวานกำลังดี สรุปว่าของหวานทุกจาน รับประกันความผิดหวัง บริกรเก็บจานไปแต่ละที เด็กล้างจานยิ้มแก้มแทบปริเพราะแทบไม่ต้องเสียแรงล้างจานเลย

หลังจากสวาปามอาหารทุกจานลงกระเพาะแล้ว ก็ถึงคิวศิวะกล่าวอะไรเล็ก ๆ น้อย (แต่ที่จริงแล้วยาวมาก) บอกความในใจถึงทริปที่เราผ่านมาด้วยกัน

ศิวะบอกว่าตามปกติแล้ว เขาในฐานะไดเร็คเตอร์ไม่ได้นำทัวร์เอง หากครั้งนี้เรามากันเป็นคณะใหญ่ เขาก็ต้องดูแลเราให้ดีเป็นพิเศษ ให้เราประทับใจ วันหน้าวันหลังจะได้มาใช้บริการกันอีก หรือบอกเพื่อนฝูง ญาติโกโหติกาให้มาใช้บริการกับเขา

ในทริปที่ผ่านมาก็มีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง อย่างที่ร้านอาหารบนเขา ที่ทำอาหารกันเฉื่อยแฉะเต็มที เขาก็ต้องบุกเข้าครัวไปเทครัว เอ๊ย… เพื่อไป ‘อำนวยการผลิต’ เสียเอง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกินข้าวกันละ
แล้วภาพเหตุการณ์วันแรกที่เรามาถึงเนปาล มะงุมมะงาหรามาพบศิวะที่โรงแรมเมลังเซก็รีวายกลับมาฉายซ้ำ

วันแรกที่เราพบศิวะ ในใจมีแต่ความหวาดระแวง กลัวเขาหลอก เขาลวง เขาล้วงหัวใจ เอ๊ย…ไม่เกี่ยว ค่าที่เราเคยได้ยินเรื่องเล่าจากนักท่องเที่ยวคนอื่นที่เคยถูกทัวร์ทำเจ็บ เช่น ขึ้นเขาไปแล้วค่อยบอกว่าค่าน้ำร้อนไม่รวมกับค่าทัวร์ ไม่จ่ายเพิ่มก็ได้ แต่ต้องทนหนาวตายคาเขาไปเองนะ

เราต้องส่งเงินก้อนใหญ่ให้กับคนไม่รู้จัก ถ้าศิวะเชิดเงินหนี เราจะไปทำอะไรได้ พวกเราถึงต้องแบ่งงวดจ่ายเงินให้มันวุ่นวาย หรือถ้าเขาไม่โกงเราแต่ให้บริการไม่ดี ข้าวปลาอาหารให้กินอย่างอดๆอยากๆล่ะจะทำอย่างไร (เหมือนไอ้มื้อแรกที่ขึ้นเขาน่ะ)

แต่เมื่อทริปได้ดำเนินมาเรื่อยๆ เราก็พบว่าความหวาดระแวงได้ค่อยๆละลายออกจากใจของพวกเรา กำแพงภูเขาหิมะได้ทลายลง จนถึงตอนนี้สัมพันธภาพของพวกเรากับศิวะในแบบลูกค้ากับพ่อค้าก็ได้กลายเป็นสัมพันธภาพในแบบเพื่อนไปแล้ว จากที่กลัวว่าจะต้องผจญกับ ‘หมู่มาร’ กลับพบพาน ‘มิ่งมิตร’

พอถึงวันนี้ พวกเราก็ไม่เหลือความกังวลใจ ความไม่สบายใจอีกเลย (ก็แหงล่ะสิ เที่ยวมาจนครบแล้วนี่) หนทางพิสูจน์ลา (ในเนปาลนี้ เห็นมีแต่ลา มีม้าให้เห็นสักกี่ตัวกันเชียว) การเวลาพิสูจน์แขก

ศิวะ เราจะไม่ลืมยอดไดเร็คเตอร์คนนี้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง

ยังไม่จบเรื่องหรอกน่ะ แค่จบดินเนอร์มื้อสุดท้ายในเนปาลเท่านั้น ใครกำลังจะร้องไห้รีบสะกัดทำนบน้ำตาไม่ให้ล้นทะลักโดยด่วน

ดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดหรูมื้อนี้ ก็ทำให้พวกเรากระเป๋าเบาไปเยอะ เหมือนที่ Naked Chef ประมาณ 4,000 กว่ารูปีเชียวนะนั่น หลังจากที่ลด 10 % แล้วด้วย



เราควัก ‘บัตรเบ่ง’ ที่ได้มากจาก Naked Chef ให้บริกร เอาไปให้แคชเชียร์ลดค่าอาหาร ดูท่าทางมันจะเป็นแค่นามบัตรธรรมดา ทางร้านเลยไม่เต็มใจลดราคาให้

สุดท้ายก็ได้ศิวะ ‘คนกว้างขวาง’ ของที่นี่ ช่วยจัดการให้ได้ลด 10 % สมใจอยาก นี่ถ้าศิวะขอลดค่าอาหารไม่ได้ พวกเราก็กะจะลองวิธีสุดท้าย คือใช้ Official Passport ของพี่ก้อด เป็นป้ายอาญาสิทธิ ขอลดค่าอาหาร…ฮาๆ

แหม…ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ศิวะน่าจะเลี้ยงอาหารมื้อนี้เสียเลย แต่ถ้าเลี้ยงที่นี่ศิวะคงล่มจมกันพอดี เขาก็เห็นอยู่แล้วว่าพวกเรากินกันราวกับจะเกิดทุพภิกขภัยก็ไม่ปาน เรายังอดคิดไม่ได้เลยว่าทริปนี้ บริษัทของศิวะคงได้กำไรน้อยกว่าที่เคย และจากประสบการณ์การรับทัวร์พวกเราครานี้ คงทำให้ต้องตั้งนโยบายราคา (แพง) เป็นพิเศษสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้ศิวะก็ต้องเลี้ยงอาหารเช้าพวกเราที่ร้านเฮเลนนาเพราะเขาสัญญากับเราไว้แล้วตั้งแต่ก่อนซื้อทัวร์ น่าสงสารศิวะจริงๆ
นัดแนะกันแล้ว เราก็แยกกับศิวะ ศิวะก็กลับเกสท์เฮาส์ของเขา ส่วนพวกเราก็ออกไปเดินเล่นในทะเมลอีกสักพัก เผื่อจะซื้ออะไรได้บ้าง

พี่ซิปไปสั่งเสื้อยืด ให้ทางร้านปักเป็นลายเดียวกันเกือบ 20 ตัว เพื่อเอาไปฝากทีมงานที่บริษัท คืนนี้ก็ต้องลุ้นว่าอย่าได้มี Electricity Holiday เลย

บีมไปคว้าเหล้า Local Brand ของเนปาลเอาไปฝากเพื่อนได้ 1 แบน ข้ออ้างหรือเปล่า เอาไปดื่มเองก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกน่ะ บีมแมนออกอย่างนั้น

ส่วนพี่ปุ๊ซื้อได้ Local Tissue เพราะกระดาษชำระที่ติดตัวมาจากเมืองไทยหมดแล้ว กระดาษชำระม้วนละ 15 รูปี หรือ 9 บาท แพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย แต่ออกจะหยาบกระด้าง คุณภาพเข้าใกล้กระดาษทราย จนเกรงว่าอาจจะไปกระตุ้นให้เกิดริดสีดวงทวารได้

“อย่าซื้อเลยพี่ปุ๊ พิมยังมี” พิมท้วง

“ไม่เป็นไร” พี่ปุ๊ว่า แต่ ‘เป็นไร’ หรือเปล่าก็ไม่รู้ด้วย

Tip : เตรียมกระดาษชำระไปให้พอ Local Tissue ในเนปาลราคาพอทน แต่คุณภาพ…ทนไม่ไหว

มืดลงทุกที ร้านรวงก็เริ่มปิด พวกเราก็ได้เวลากลับที่พักกันเสียที เดินอยู่เพียงครู่เดียวก็กลับถึงที่พัก พวกเราแยกย้ายกันเข้าห้องนอน แต่พี่เจกับพี่ก้อดอาจจะแอบไปชิม ‘รักชี’ (ragshi) กับศิวะก็ได้ ก็อุตส่าห์มาถึงเนปาลทั้งที น่าจะชิมเหล้าพื้นเมืองของที่นี่สักหน่อย

รักชี เป็นสุรากลั่นในครัวเรือน (แปลว่าเหล้าเถื่อนสินะ) มาจากข้าวสาลีหรือข้าว อย่างนี้ก็กระแช่ดี ๆ นี่เอง

แล้วค่ำคืนสุดท้ายในเนปาลก็จบลงอย่างสงบสุข จะมีคนรู้สึกไม่ค่อยสงบสุขเท่าไหร่อยู่คนหนึ่ง ก็คือพิม

ก็หัวโขนเจ้าของเกสท์เฮาส์ของศิวะน่ะ ทำให้เขามีกุญแจสำรองของห้องพักทุกห้องไม่ใช่หรือ ล้อเล่นน่ะ ก็คุณไดเร็คเตอร์ศิวะ เป็นเพื่อนกับพวกเราแล้วนี่ จะมาหวาดระแวงอะไรเขาอีกนะ

สรุปว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ย้ำ…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

*** โปรดติดตามตอนต่อไป ***

หากมีโอกาสอีกสักครั้ง อยากกลับไปดินเนอร์ที่ Kilroy’s of Kathmandu จังค่ะ อยากรู้ว่าเรายังจะรู้สึกอร่อยได้เท่าเดิมอีกหรือเปล่า เอ…หรือเก็บไว้เป็นความทรงจำแสนดีก็ดีอยู่แล้ว




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553
1 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2553 21:53:25 น.
Counter : 607 Pageviews.

 

 

โดย: MaFiaVza 7 กันยายน 2553 6:11:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชัชชมนต์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชัชชมนต์เป็นแค่คนธรรมดา ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ

ทุกวันนี้ความฝันได้เป็นจริงบ้างแล้ว และยังหวังจะพัฒนาฝีมือ ให้ฝันนี้จริงจังกว่าเดิมค่ะ

งานเขียนในบล็อกนี้เขียนด้วยใจ อ่านกันได้ คุยกันได้ แต่อย่าลอกกันนะคะ ทั้งนี้มี พรบ. ลิขสิทธิ์คุ้มครองค่ะ

Friends' blogs
[Add ชัชชมนต์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.